พุทธศาสนายุคหลังพุทธปรินิพพาน-พ.ศ.๒๐๐
(Buddhism after Buddha'S
passing away-B.E.200)
ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ได้มีพระมหาเถระได้นิพพานก่อนไปแล้วหลายองค์
เช่น พระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้าย
พระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา พระอัญญาโกณฑัญญะ
พระอุรุเวลกัสสปะ เป็นต้น
ฝ่ายคฤหัสถ์หลายท่านก็ได้สวรรคตไปก่อน
เช่น พระเจ้าสุทโธทนะพระเจ้าปัสเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร
เป็นต้น ส่วนพระมหาเถระที่ยังเหลืออยู่เป็นกำลังสำคัญต่อมาคือ
พระมหากัสสปะ พระอานนท์ พระอนุรุทธะ เป็นต้นเมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพานแล้ว
โทณพราหมณ์ก็ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น
๘ ส่วนแล้วมอบให้แก่เมืองต่าง ๆ ที่ส่งตัวแทนมาขอเหตุการณ์อันเป็นรอยร้าวของคณะสงฆ์ก็เริ่มเกิดขึ้นจากบุคคล
๒ คน คือ พระสุภัททะบรรพชิตผู้เฒ่าและพระปุราณกับพวก
อันนำไปสู่การสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๑.การสังคายนาครั้งที่
๑ (The First Buddhist Synod)
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
และเมื่อข่าวนี้กระจายออกไปทั่วชมพูทวีปทั้งหมด
พุทธศาสนิกชนต่างร่ำให้โศกาดูร พระสาวกที่เป็นปุถุชนก็เช่นกัน
ต่างร่ำไห้ถึงการจากไปของพระพุทธองค์ ต่างคร่ำครวญว่าพวกเรายังเป็นปุถุชนอยู่ยังไม่ถึงฝั่ง
พระพุทธองค์ก็มาเสด็จจากไปเสียแล้ว แล้วใครจะเป็นที่พึ่งให้เราได้
เมื่อพระองค์ไม่อยู่ ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งให้เรา
แต่หลังจากพุทธปรินิพพานได้
๗ วันก็ปรากฏว่ามีพระแก่รูปหนึ่งนามว่าสุภัททะ
ได้กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยและแสดงอาการปีติ
กล่าวว่าท่านทั้งหลายจะมามัวร้องไห้รำพันอยู่ทำไม
พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานก็ดีแล้ว เพราะเมื่อพระองค์ทรงอยู่ทรงสอนโน้น
สอนนี้ ทรงห้ามโน้น ห้ามนี้ บัดนี้เราหมดพันธะัแล้ว
เป็นอิสระแล้วเป็นต้น
ในขณะที่มหากัสสปะเถระเจ้ากำลังพำนักอยู่
ณ เมืองปาวา ใกล้เมืองกุสินาราแดนปรินิพพานเมื่อได้ทราบข่าวจากพระสงฆ์ว่า
พระสุภัททะพูดเช่นนั้น จึงเกิดธรรมสังเวชในใจว่าพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไม่นานนักเพียง
๗ วันเท่านั้น ก็มีภิกษุ อลัชชีไม่มียางอายจ้วงจาบพระธรรมวินัยในท่ามกลางสงฆ์เช่นนี้
ต่อไปภายภาคหน้าจะมียิ่งไปกว่านี้อีกหรือ อย่ากระนั้นเลย
เราควรเรียกประชุมสงฆ์เพื่อหาทางป้องกันและกำจัดอลัชชีให้หมดไป
เมื่อถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว
พระมหากัสสปเถระเจ้าจึงเรียกประชุมสงฆ์ ยกวาทะของพระสุภัททะมากล่าวอ้าง
ที่ประชุมจึงเห็นควรให้มีการสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยเป็นหมวดหมู่และคัดเลือกพระอรหันต์
และภายหลังจึงได้บรรลุก่อนการทำสังคายนา
๑.๑ เมืองราชคฤห์เป็นที่ประชุม
เมืองราชคฤห์
มีหลายชื่อ เช่นเมืองวสุมติ เมืองภารหะธรถะปุระ
คิริวราชา กุสากระปุระ และราชคฤห์ (Rajgriha)
คำว่า วสุมติ พบในคัมภีร์รามายณะ โดยมีพระเจ้าวสุเป็นผู้ก่อตั้งเมืองราชคฤห์เป็นองค์แรก
พระเจ้าวสุเป็นโอรสของพระพรหม ได้รับคำสั่งให้สร้างเมืองนี้ขึ้น
คำว่า เมืองภารหะธรถะปุระ พบในคัมภีร์ มหาภารตะ
และคัมภีร์ปุราณะ ตั้งตามชื่อกษัตริย์ พฤหัสธรถะ
ปู่ของพระเจ้าชราสันธะที่เคยเสด็จมาที่นี่ คำว่าคิริวราชา
เพราะเมืองนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา ๕ ลูกล้อมรอบทุกด้าน
ภูเขาทั้ง ๕ คือ ๑.เวภาระ ๒.ปัณฑวะ
๓.เวปุลละ ๔.อิสิคิริ ๕.คิชฌกูฏ
ในคัมภีร์มหาภารตะเรียกชื่อภูเขาทั้ง ๕ ต่างกับคัมภีร์
บาลีคือ ๑.ไวภาระ ๒.วลาหะ ๓.วฤศภะ ๔ฤาษีคิริ
๕.ไชยยากะ และปัจจบันชายอินเดียเรียกดังนี้
๑. ไวภาระ ๒. วิปุลละ ๓. รัตนะ ๔ .ฉหัตถะ ๕.
ไสละ
คำว่า
กุสากระปุระ พบในจดหมายเหตุที่พระถังซัมจั๋งกล่าวไว้นอกจากนั้นยังเจอในวรรณกรรมของศาสนาเชน
แปลว่า เมืองที่รายรอบด้วยหญ้ากุสะ และคำว่า
ราชคฤห์ ภาษาบาลีคือราชคหะ แปลว่าเมืองหรือพระราชวังของพระราชา
หลังพุทธปรินิพพาน ปกครองโดยพระเจ้าอชาตศัตรู
พระโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร
 |
face="MS Sans Serif" size="2" color="#990000">พระอรหันต์ประชุมทำสังคายนา
ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา เมืองราชคฤห์ |
จากสถานที่ประชุมเพลิงศพของพระพุทธองค์
คือ เมืองกุสินาราเป็นระยะที่ไกลมาก พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายน่าจะทำสังคายนาที่เมืองกุสินารา
แต่ที่ท่านเลือกเมืองราชคฤห์เป็นที่ทำสังคายนา
เพราะเหตุว่า
๑. ราชคฤห์เป็นเมืองที่เหมาะสม
ชัยภูมิที่สะดวก
๒. ปัจจัย ๔ หาได้ สะดวกเพราะเป็นเมืองใหญ่
๓. พระเจ้าแผ่นดินคือพระเจ้าอชาตศัตรูทรงมีความเลื่อมใสพุทธศาสนาเพราะเป็นเมืองใหญ่
๔. แคว้นมคธเป็นแคว้นใหญ่เป็นรัฐมหาอำนาจ และภาษามคธก็เป็นภาษาราชการ
เมื่อตกลงเป็นที่เรียบร้อย
แล้ว พระมหาเถระเจ้าทั้งหลายจึงออกเดินทางจากเมืองกุสินาราสู่เมืองราชคฤห์
เมื่อไปถึงแล้วจึงแจ้งเรื่องให้พระเจ้าอชาตศัตรูทราบ
พระองค์ทรงยินดีให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่
พระองค์รับสั่งให้ปราบหน้าถ้ำสัตตบัณณคูหาให้สะอาด
และรับสั่งให้ปูลาดอาสนะทำซุ้มปะรำ ถวายภัตตาหารตลอดการประชุม
สังคายนาครั้งนี้ได้เกิดขึ้นหลังพุทธปรินิพพาน
๓ เดือน พระมหากัสสปะ เป็นประธานและเป็นองค์ปุจฉา
พระอุบาลีเป็นองค์วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์เป็นองค์วิสัชนาพระสูตร
๑.๒ ปรับอาบัติพระอานนท์
ในการประชุมสังคายนาครั้งนี้
พระมหาเถระเจ้าทั้งหลายได้มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับอาบัติพระอานนท์
แม้ว่าท่านจะบรรลุพระอรหันต์แล้วก็ตามเพราะเหตุว่า
๑.
ไม่ได้ทูลถามว่าสิกขาบทเล็กน้อยที่ให้ถอนได้หมายเอาสิกขาบทใด
๒.
ข้อที่เหยียบผ้าวัสสิกสาฏกของพระพุทธองค์
๓.
ปล่อยให้สตรีถวายบังคมพระพุทธสรีระก่อน และนางร้องไห้จนน้ำตาเปียกพระสรีระ
๔.
ไม่อ้อนวอนพระศาสดาให้ทรงอยู่ตลอดกัปป์แม้ทรงจะมีนิมิตโอภาส
๕.
ช่วยเหลือให้สตรีบวชในพุทธศาสนา
พระอานนท์กล่าวแก้่ข้อกล่าวหาทั้ง
๕ ข้อดังต่อไปนี้
๑.
ไม่ทูลถามสิกขาบท เพราะไม่ได้ระลึกถึง
๒.
ที่เหยียบเพราะพลั้งเผลอ ไม่ใช่เพราะไม่คารวะ
๓.
ให้สตรีถวายบังคมก่อน เพราะค่ำมืดเป็นเวลาวิกาล
๔.
ไม่ทรงอ้อนวอนพระศาสดา เพราะถูกมารดลใจจึงไม่ได้อ้อนวอน
๕.
เพราะเห็นว่าพระนางประชาปดีโคตมีนี้ เป็นพระมารดาเลี้ยงถวายขีโรทก
(น้ำนม) แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าในวัยเยาว์ จึงขวนขวายให้สตรีบวช
แม้พระอานนท์จะทราบว่าตัวเองไม่ผิด
แต่เมื่อสงฆ์พิจารณาลงโทษ ปรับอาบัติท่านก็ยอมรับ
ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด เพราะความเป็นนักประชาธิปไตยของท่าน
๑.๓ พระปุราณะคัดค้านการประชุม
การสังคายนาครั้งนี้ได้กระทำขึ้นโดยสงฆ์ฝ่ายที่นับถือพระมหากัสสปเถระ
แต่ยังมีสงฆ์ฝ่ายพระปุราณะที่ไม่ยอมรับการประชุมครั้งนี้
จึงได้พาบริวาร ๕๐๐ รูป เดินทางจากทักขิณาคิริชนบทมาสู่เวฬุวัน
เมืองราชคฤห์ พระสงฆ์ฝ่ายที่สังคายนาเสร็จแล้วได้แจ้งให้พระปุราณะทราบ
แต่ท่านกลับตอบว่า "พวกท่านทำสังคายนาก็ดีแล้ว
แต่พวกผมได้ฟัง ได้รู้มาอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น"
ความจริงพระปุราณะยอมรับการสังคายนาทั้งหมด
แต่มีสิกขาบท ๘ อย่างที่ยังไม่ยอมรับคือ
๑.อันโตวุตถะ
ของอยู่ภายในที่อยู่ ๒. อันโตปักกะ ให้สุกภายในที่อยู่
๓. สามปักกะ ให้สุกเอง ๔. อุคคหิตะ
หยิบของที่ยังไม่ได้รับประเคน ๕.ตโตนีหฏะ
ของที่ได้มาจากการนิมนต์ ๖. ปุเรภัตตะ
ของรับประเคน ในเวลาก่อนภัตร ๗. นวัฏฐะ
ของอยู่ในป่า ๘. โปกขรฏฐะ ของอยู่ในสระ
พระปุราณะกล่าวว่าพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ปฏิบัติได้
แต่พระมหากัสสปะแย้งว่าทรงอนุญาตจริง แต่ในเวลาข้าวยากหมากแพงเท่านั้นเมื่อพ้นสมัยแล้วทรงให้ยกเลิก
แต่พระปุราณะก็ไม่เชื่อเพราะไม่ได้ยิน แล้วพาคณะไปทำสังคายนาใหม่
แต่ไม่มีหลักฐานว่าทำที่ไหน เมื่อไหร่ ใช้ภิกษุกี่รูป
นี้เป็นรอยแยกครั้งแรกในสังฆมณฑลหลังพุทธปรินิพพาน
๑.๔ ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ
พระฉันนะเป็นข้าราชบริพานของพระเจ้าสุทโธทนะ
และเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช นายฉันนะก็ได้ตามเสด็จจนถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที
แล้วจึงกลับ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้และสั่งสอนเวไนยสัตว์จนพุทธศาสนา
แผ่ไปกว้างไกล ฉันนะจึงพร้อมด้วยเจ้าศากยะหลายองค์ตามออกบวช
เมื่อบวชแล้วกลับมีความหยิ่งจองหอง ดูหมิ่นเหยียดหยามภิกษุอื่น
เพราะถือว่าตัวเองใกล้ชิดพระพุทธองค์และตามเสด็จออกบวชด้วย
และด่าบริภาษภิกษุอื่นว่าตอนที่พระองค์เสด็จออกบวชไม่เห็นมีใคร
แต่พอเป็นพระศาสดาแล้วกลับอ้างว่า คนนี้คือสารีบุตร
คนนี้คือโมคคัลลานะ คนนี้คือพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก
เป็นต้น
แม้จะถูกพระพุทธองค์ตรัสห้ามก็หาได้ยุติไม่
พระองค์จึงให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ คือประกาศมิให้ภิกษุรูปอื่นตักเตือนว่ากล่าว
ห้ามพูดคุยห้ามช่วยเหลือ เป็นต้น ในภายหลังสำนึกตัวเตือนว่ากล่าว
ห้ามพูดคุยห้ามช่วยเหลือ เป็นต้น ในภายหลังเกิดสำนึกตัว
และแสดงโทษต่อคณะสงฆ์ ต่อมาขวนขวายประพฤติธรรมจนสามารถบรรลุพระอรหันต์
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">บทสรุปการสังคายนาครั้งที่
๑
๑.
ทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา บนภูเขาเวภาระ กรุงราชคฤห์
แคว้นมคธ
๒.
พระมหากัสสปะเป็นประธาน และเป็นองค์ปุจฉา พระอุบาลีเถระเป็นองค์วิสัชนาพระวินัย
ส่วนพระอานนท์เป็นองค์วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม
๓.
พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์ศาสนูปถัมภ์
๔.
พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เข้าร่วมประชุม
๕.
ปรับอาบัติพระอานนท์
๖.
ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ
๗.
พระปุราณะคัดค้านการประชุม และแยกตัวไปทำสังคายนาใหม่
๘.
วัตถุประสงค์เพื่อร้อยกรองพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่
๙.
เริ่มทำเมื่อหลังพุทธปรินิพพานได้ ๓ เดือน
๑๐.
ใช้เวลา ๗ เดือน จึงสำเร็จ
๑๑.
มีการฉลองถึง ๖ สัปดาห์
เมื่อการสังคายนาสำเร็จลงแล้ว
สถานการณ์ในสังฆมณฑล ก็สงบลงพอสมควร แต่ก็ยังมีคณะสงฆ์อีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับการสังฆายนา
แล้วไปทำต่างหากคือคณะของประปุราณะ อย่างไรก็ตามผลสำเร็จของการสังคายนาครั้งนี้ที่เห็นชัดเจนในครั้งนี้คือ
๑.
ทำให้การร้อยกรองพระไตรปิฎกเป็นหมวดหมู่ขึ้นเป็นครั้งแรก
๒.
ทำให้พุทธศาสนากระจายไปสู่ถิ่นอื่นอย่างรวดเร็ว
๓.
ทำให้พุทธศาสนามั่นคงและสืบทอดมาจนทุกวันนี้
๔.
การปฏิบัติของพระอานนท์และการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะเป็นแบบอย่างที่ดีในหลักประชาธิปไตยและ
ธรรมาธิปไตยอย่างชัดเจน
๕.
แสดงถึงความสามัคคีของภิกษุที่ได้พรั่งพร้อมทำสังคายนาเพื่อรักษาพุทธศาสนา
|