กาลครั้งหนึ่ง
สมัยก่อนพุทธกาล ณ เมืองพาราณสี แคว้นกาสี ตรงกับรัชสมัยพระเจ้้าพรหมทัต
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายเศรษฐีคนหนึ่ง เลี้ยงวัวไว้ใช้งานสองตัวกับหมูเจ้าสำราญตัวหนึ่งชื่อ
"มุณิกะ"
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นวัวชื่อ
"มหาโลหิตะ" พระอานนท์เกิดเป็นวัวชื่อ "จูฬโลหิตะ"
วัวมหาโลหิตะกับวัวจูฬโลหิตะ ต่างก็เป็นพี่น้องกัน
วัวมหาโลหิตะเป็นพี่ วัวจูฬโลหิตะเป็นน้อง วัวทั้งสองมีเจ้าของเป็นคนเดียวกันกับหมูมุณิกะ
วัวกับหมูแม้จะอยู่กับเจ้าของคนเดียวกัน
แต่ความเป็นอยู่นั้นแตกต่างกันมาก วัวมหาโลหิตะกับวัวจูฬโลหิตะถูกใช้ให้ทำงานหนักกลางแดดกลางฝนเกือบทั้งวัน
เวลาถึงคราวกินก็ได้กินแต่ข้าวลีบ ส่วนหมูมุณิกะไม่ต้องทำงานหนักนอนพลิกไปพลิกมาอยู่ตามใต้ถุนบ้าน
หรือไม่ก็ออกไปหากินนอกบ้านตามสบาย ถึงเวลาอาหารที่บ้านก็ได้กินอาหารดีดี
ในวันหนึ่ง ขณะวัวทั้งสองกำลังพักผ่อนอยู่
วัวจูฬโลหิตะผู้น้อง พูดขึ้นว่า
"พี่มหาโลหิตะ น่าอิจฉาเพื่อนมุณิกะนะ
ขณะที่เราทั้งสองต้องทำงานหนัก แต่เขากลับสบาย"
"อย่าอิจฉาเขาเลยน้องจูฬโลหิตะ
เรากับเขาเกิดต่างเผ่าพันธ์กัน เราเกิดมาเพื่อทำงานหนัก แต่เขาเกิดมาเพื่อกินแล้วก็นอน
อย่าคิดอะไรเลย ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดดีกว่า"
วัวทั้งสองพี่น้องมักคุยกันอย่างนี้อยู่เสมอ
ซึ่งฝ่ายที่เริ่มต้นคุยก่อนมักเป็นวัวจูฬโลหิตะ ทั้งนี้เป็นเพราะเห็นหมูมุณิกะแล้วอดนำมาคิดเปรียบเทียบไม่ได้
วัวมหาโลหิตะเข้าใจความรู้สึกของวัวน้องชายได้ดีจึงคอยปลอบอยู่ตลอดเวลา
เจ้าของวัวกับหมูมีฐานะความเป็นอยู่ถึงขั้นเศรษฐี
ส่วนภรรยาของเขาได้คอยปรนนิบัติรับใช้ตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี
สองสามีภรรยามีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง รูปร่างสวยงาม
อายุเพิ่งรุ่นสาว ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ขยันขันแข็งช่วยทำงานบ้านงานเรือนมิได้ขาด
เป็นที่รักไคร่ของพ่อแม่มาก แม้แต่คนในหมู่บ้านที่ได้รู้เห็น ยังกล่าวสรรเสริญถึงความดีงามของลูกสาวเศรษฐีอยู่เสมอๆ
อยู่มาวันหนึ่งมีเศรษฐีอีกตระกูลหนึ่งได้ยินข่าวร่ำลือของนาง
ต้องการอยากได้นางมาเป็นลูกสะใภ้ จึงเดินทางมาสู่ขอนางให้กับลูกชายของตน
"เพื่อน ตระกูลของเราก็ทัดเทียมกัน
ท่านเป็นเศรษฐี ข้าพเจ้าก็เป็นเศรษฐี ท่านมีลูกสาว ข้าพเจ้ามีลูกชาย
หากตระกูลของเราทั้งสอง ได้เกี่ยวดองกัน เราจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครนะ"
เศรษฐีจากต่างตระกูลเปิดฉากเจรจา
"เราสองคนเป็นผู้ใหญ่อาจจะมองว่าดีแต่ในแงของเรา
แต่ไม่รู้ว่าเด็กๆ เขาจะคิดกันยังไง" เศรษฐีลูกสาวสวยแบ่งรับแบ่งสู้
"ลูกสาวท่านคิดยังไงไม่รู้ แต่ลูกชายข้าพเจ้าแอบรักลูกสาวท่านมานานแล้ว
ที่มาวันนี้ก็จะมาขอลูกสาวท่านให้ลูกชายข้าพเจ้า"
"ข้าพเจ้าคิดว่าควรจะให้เด็กได้รู้จักกันให้มากกว่านี้
ไม่ดีหรือ"
"โฮ่ย... เขารู้จักกันมามากพอแล้ว
เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก เราเองก็ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน
ถึงจะมาดูใจกันอีก"
เศรษฐีลูกสาวสวย เมื่อเห็นเศรษฐีจากต่างตระกูลรุกหนักและไม่ทราบว่าจะตัดสินใจอย่างไร
จึงบอกให้คนรับใช้เรียกลูกสาวมาหา
"ลูกพ่อ ลุงเศรษฐีมาขอลูกให้แต่งงานกับลูกชายเขา
ลูกจะว่ายังไง" เศรษฐีบอกลูกสาวพลางมองดูหน้าหล่อน
"คุณพ่อ" ลูกสาวเศรษฐีพูดกับบิดา
"หนูเป็นสมบัติของคุณพ่อ แล้วแต่คุณพ่อจะตัดสินใจ หนูทำตามคุณพ่อได้ทุกอย่าง"
เศรษฐีลูกสาวสวยยิ้มที่มุมปากหลังจากได้ยินลูกสาวให้โอกาสตนเช่นนั้น
เขามองหน้าลูกสาวแล้วหันมาทางเศรษฐีจากต่างตระกูลพร้อมกับพูดว่า
"ท่านเศรษฐี เมื่อลูกสาวให้ข้าพเจ้าตัดสินใจ
ข้าพเจ้าก็ยินดียกเธอให้แก่ลูกชายท่านตามที่ท่านขอ"
เศรษฐีจากต่างตระกูลดีใจมากที่ขอลูกสาวเศรษฐีให้ลูกชายได้สำเร็จ
เขาจับมือเศรษฐีนั้นไว้แน่นพลางกล่าวขอบคุณและให็สัญญาว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง
จากนั้น เศรษฐีทั้งสองก็ตกลงหมั้นหมายกันและกำหนดวันแต่งงานไว้เสร็จสรรพ
ครั้นแล้วเศรษฐีจากต่างตระกูลก็ลากลับไป
ฝ่ายเศรษฐีลูกสาวสวย ครั้นเศรษฐีจากต่างตระกูลกลับไปแล้วก็เรียกภรรยามาปรึกษาหารือกัน
ถึงเรื่องการจัดงานแต่งงานให้สมกับฐานะของตน
"วันแต่งงานของลูกสาวเรา ซึ่งจะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าจะมีคนมาเยอะ
ควรที่จะต้องจัดหาอาหารอย่างดีมาเลี้ยงรับรองแขกเหรื่อที่มาในงาน"
เศรษฐีผู้สามีกล่าวกับภรรยา "ดังนั้นพี่ขอมอบงานด้านการจัดทำอาหารให้น้องดูแล"
"แล้วเราจะทำอาหารอะไรเลี้ยงเขาดีล่ะ"
"น้องว่าทำแกงมัสมั่นหมูเลี้ยงคงจะดี"
ภรรยาเสนอแนะ
"พี่ว่าเข้าท่าดีเหมือนกัน"
เศรษฐีเห็นด้วย
เมื่อตกลงกันเช่นนั้นแล้ว สองสามีภรรยาก็ช่วยกันเลี้ยงหมูให้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
โดยให้กินอาหารชนิดซึ่งเมื่อกินแล้วจะทำให้ได้เนื้อขึ้น หมูมุณิกะเองก็นึกกระหยิ่มอยู่ในใจที่ได้กินอาหารชนิดดี
โดยที่ตัวเองหารู้ไม่ว่าจะถูกฆ่าเอาเนื้ออยู่อีกไม่นานแล้ว
"พี่มหาโลหิตะ เวลานี้สังเกตเห็นหมูมุณิกะไหม
เดี๋ยวนี้ อ้วนพีขึ้นเรื่อยๆ แต่ละมื๊อเห็นกินอาหารดีๆ" วัวจูฬโลหิตะฟ้องมหาโลกหิตะ
"จูฬโลหิตะน้องรัก..." วัวมหาโลหิตะปลอบวัวจูฬโลหิตะ
"น้องอย่าริษยาหมูมุณิกะเลย เพราะขณะนี้เขากำลังกินอาหารที่เป็นเหตุให้ตัวเองต้องตาย
พี่อยากให้น้องพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้เถิด เราได้กินข้าวลีบกันเป็นประจำมันก็ดีแล้ว
เพราะมันจะทำให้น้องอายุยืน"
วัวจูฬโลหิตะไม่เข้าใจความหมายที่วัวมหาโลหิตะบอกนัก
แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ถาม เพราะเคารพในพี่ชายนั่นเอง แต่หลังจากนั้นมาใกล้ถึงวันงาน
วัวจูฬโลหิตะก็เข้าใจ เพราะได้เห็นคนฆ่าหมูมาจับหมูมุณิกะไปฆ่า แล้วชำแหละเอาเนื้อไปปรุงอาหารเลี้ยงแขกที่มางานวันแต่งงานของลูกสาวเศรษฐี
"พี่มหาโลหิตะ น่าสงสารหมูมุณิกะจังเลยนะ
อยู่ดีดี ก็ถูกเขาจับฆ่ากิน" วัวจูฬโลหิตะปรารถกับวัวมหาโลหิตะ
"น้องรัก..." วัวมหาโลหิตะเอ่ยขึ้น
"น้องเข้าใจตามที่พี่บอกแล้วใช่ไหม เศรษฐีเลี้ยงหมูมุณิกะจนอ้วนก็เพราะต้องการเนื้อ
ดังนั้นอาหารที่หมูมุณิกะกินเข้าไปเท่ากับไปช่วยเร่งให้ตัวเองอายุสั้น"
"เข้าใจแล้วพี่มหาโลหิตะ"
วัวจูฬโลหิตะรับคำก่อนที่จะก้มหน้ากินข้าวลีบ หญ้าแห้ง และฟางแห้งอย่างที่เคยกินมาต่อไป
นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าหลงระเริงอยู่กับความสุขสบายที่ได้รับจนเกินไป เพราะความสุขสบายนั้น
อาจนำภัยพิบัติมาให้ได้ เหมือนอย่างอาหารชนิดดีนำความตายมาให้หมูมุณิกะ
ฉะนั้น
|