นานมาแล้ว
เมื่อตายังหนุ่มแน่นแข็งแรงและเป็นโสด ตาได้เที่ยวซอกแซก ไปตามตรอกเล็กซอยน้อยในพระนครจนทั่ว
คืนวันหนึ่ง ขณะที่ตากำลังเดินอยู่ในตรอกแคบ ๆ แห่งหนึ่ง แถวรองเมือง
เท้าของตาได้สะดุดเข้ากับสิ่งนั้นมีลักษณะนิ่ม ๆ คล้ายเนื้อหนังมนุษย์
ด้วยความสงสัยใคร่จะรู้ความจริง
ตาจึงก้มลงพิจารณาอย่างใกล้ชิดในที่สุดก็ทราบความจริงว่า สิ่งนั้น
คือชายคนหนึ่งกำลังนอนสลบไสลคลุกฝุ่นอยู่กลางถนนในซอย เพราะความมึนเมา
กิ่นสุราฟุ้งตลบไปหมด
ตาหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งว่าจะทำอย่างไรดี
ถ้าจะเดินเลยไปเสียก็คงได้อย่างสบาย แต่อีกใจหนึ่งคิดว่า "ถ้าปล่อยให้เขานอนอยู่ที่นั่นเขาอาจจะถูกคนอื่นเดินมาเตะถีบหรือชนเอา
เพราะมองไม่เห็น เขาอาจได้รับอันตราย บางทีสัตว์ร้ายเช่นงูหรือตะขาบมันอาจจะมากันมาต่อยเอาก็ได้
ยิ่งกว่านั้น
ภรรยาและบุตรของเขาที่อยู่ทางบ้านอาจจะกำลังตั้งตาคอย คิดไปคิดมาความเมตตากรุณาก็เป็นฝ่ายชนะ
ตาก้มลงอุ้มชายขี้เมาคนนั้นขึ้นแบกบนบ่า แล้วก็เดินไปยังห้องแถวใกล้
ๆ ที่มีไฟสว่างวอมแวมออกมา ตาโผล่หน้าเข้าไปที่ประตูแล้ว ถามเจ้าของบ้านว่า
รู้จักชายคนนี้หรือเปล่า เจ้าของบ้านหัวเราะแล้วบอกว่าชายคนนั้นคือตาแฉ่งจนทราบแน่นอนแล้ว
ก็แบกเขาเดินต่อไปด้วยความลำบากอย่างยิ่ง
หลังจากเดินล้มลุกคลุกคลานมาเป็เวลาเกือบ
๑๕ นาทีตามาถึงห้องแถวที่เป็นบ้านของตาแฉ่ง ตาวางเขาลงนอนไว้ที่พื้นซีเมนต์หน้าห้องแถวแล้วก็เอามีอเคาะที่ประตู
เมื่อประตูถูกเปิดออก หญิงอายุกลางคน ๆ หนึ่งก็เปิดประตูผลั๊วะออกมา
นางจ้องดูหน้าของตาแล้วก็ก้มลงนอนตาแฉ่งซึ่งนอนคุดคู้แทบเท้าด้วย สายตาแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่ง
ขณะที่ตากำลังจะเอ่ยปากรายงานเรื่องราวให้นางทราบนั่นเองนางก็เองนางก็เอามือชี้หน้าแล้วก็พูดขึ้นว่า
"นี่เองคือคนที่พาผัวของข้าไปกินเหล้าเมาหยำเปทุกวัน ข้าจับได้แล้ว"
ก่อนที่ตาจะได้อธิบายความจริงให้นางฟัง
หญิงคนนั้นก็คว้าไม้คานที่วางอยู่ข้าง ๆ ฝามาประเคนลงไปบนศีรษะของตาอย่างแรงดีแต่ว่าตายกมือทั้งสองขั้นรับไว้ทัน
ศีรษะจึงไม่แตกเลือดไหลโทรม
ขณะที่นางเงื้อไม้คานขึ้นจะกระหน่ำตีตาอีกเป็นครั้งที่สอง
ตาก็ถอยหลังออกไปพ้นรัศมีไม้คานเสียก่อน หญิงผู้ใจร้ายเงื้อไม้คานเผ่นตามจะตีตาอีก
ตาจึงจำเป็นต้องวิ่งหนีเพื่อความปลอดภัย ได้ยินแต่เสียงด่าแช่งชักหักกระดูกตามมาข้างหลัง
ตาออกมานั่งลูบแขนที่บวมโนเพราะฤทธิ์ไม่คานที่ร้านกาแฟปากซอยพลางคิดอยู่ในใจว่า
"เราอุตส่าห์แบกสามีไปส่งจนถึงบ้านด้วยความหวังดี แม้แต่คำว่า
"ขอบใจ" คำเดียวก็ไม่ได้รับ ตรงกันข้ามกลับถูกด่าถูกตีจนเจ็บตัวทำดีไม่ได้ดีหนอ?"
ตั้งแต่นั้นมาตาก็ไม่ได้ช่วยเหลือใครโดยไม่จำเป็น
ตาเชื่อว่าทำดีไม่ได้ดี แน่ ๆ แต่ต่อมาภายหลังตาได้เล่าเรื่องนี้ให้พระองค์หนึ่งฟังท่านสอนตาว่า
ทำดีต้องได้ดีแน่
ๆ ความดีใด ๆ ที่เราทำแล้วจะอยู่ที่ตัวเราเองลาภยศสรรเสริญเป็นแต่เพียงผลพลอยได้จากหวังดี
ไม่ใช่ตัวความดี บางทีเราอาจจะได้ แต่บางทีก็อาจจะไม่ได้ แต่ตัวความดีนั้นเราได้แน่
ๆ
ฉะนั้น
จงทำความดีเพราะรักในความดี อย่าทำความดีเพื่อหวังผลตอบแทน ถ้าทำความดีเพื่อหวังผลตอบแทน
ความดีที่เราทำจะไม่ใช่ความดีแท้ เปรียบเหมื่อนการให้ทานแก่คนอื่น
ถ้าเราให้โดยหวังสิ่งหนึ่งตอบแทนการให้นั้นไม่จัดเป็นทานแต่เป็นการค้าเพื่อหวังผลกำไรไป
เมื่อได้ทราบความจริงเช่นนี้
ตาก็กลับทำความดีอีก คราวนี้ทำเพื่อความดีจริง ๆ ไม่หวังผลตอบแทนใด
ๆ บางครั้งตาก็ต้องเสียผลประโยชน์เพราะการทำความดี บางครั่งก็ถูกคนติฉินนินทาด่าว่าบางครั้งก็ประสบความลำบาก
แต่ตาก็ยังทำความดีต่อมาจนกระทั่งบัดนี้

|