ในอดีต มีครูดาบคนหนึ่งตั้งสำนักสอนเพลงดาบ
โดยครูผู้นี้มีฝีมือในเพลงดาบอย่างยอดเยี่ยมยากจะมีผู้เสมอเหมือน จึงมีผู้สมัครเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชาด้วยจำนวนมาก
เมื่อเปิดสอนเพลงดาบเป็นเวลานานปี ก็ยิ่งมีศิษย์เพิ่มขึ้นโดยลำดับ
ผู้ที่เรียนสำเร็จจนมีผีมือพอในแล้วก็ลาออกจากสำนักไป ผู้ที่ต้องการเรียนก็เข้ามาเป็นศิษย์อีกรุ่นแล้ว
รุ่นเล่า จนเวลาล่วงเลยไปช้านาน ครูก็แกตัวลงเพราะอายุสูงขึ้น แต่ว่ายิ่งแก่ก็ยิ่งมีความสุข
เพราะมีศิษย์มากมาย ศิษย์ที่รู้คุณทั้งหลายต่างไม่ทอดทิ้งครูตนโดยต่างมีน้ำใจช่วยกันสนองคุณครูด้วยการส่งเงินทองเสื้อผ้า
ข้าวปลาอาหาร ตลอดจนสิ่งของต่างๆ ให้ครูได้มีใช้สอย โดยไม่ขาดแคลน
ครูผู้นี้จึงเป็นอยู่อย่างสะดวกและมีความผาสุก เพราะสมบูรณ์ด้วยสมบัติโดยควรแก่อัตภาพ
ต่อมา มีชายคนหนึ่งมามอบตัวสมัครเป็นศิษย์ขอเรียนวิชากับครูท่านนี้ด้วย
เมื่อครูรับศิษย์แล้วเขาได้ตั้งใจเรียนและฝึกซ้อมด้วยความเอาใจใส่
ขยัน และรับใช้ใกล้ชิดช่วยปรนนิบัติครู จนครูมีความเมตตาต่อเขาอย่างมาก
จึงถ่ายทอดวิชาที่มีให้แก่ศิษย์ผู้นี้โดยไม่ปิดบัง รู้อย่างไรมีฝีมืออย่างใดก็สอนและฝึกฝนให้ได้รู้ได้มีฝีมือเหมือนกับครูทุกประการ
จนศิษย์คนนี้มีความสามารถเก่งกาจที่คนทั้งหลายต่างยกย่องเลื่องลือ
ว่ามีความรู้และความสามารถเทียบเท่ากับครูไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย
ศิษย์ของครูคนนี้แม้จะเจริญด้วยความรู้และมีความสามารถในวิชาเพลงดาบอย่างดีเสิศแล้วก็ตาม
แต่เป็นคนมีใจชั่วร้าย เขามองข้าวของสมบัติ ของครูด้วยความอิจฉาที่ครูสมบูร์ด้วยทรัพย์ทั้งปวงและยังมีผู้คนทั้งหลายยกย่องสรรเสริญครูนั้น
แสลงหูและเสียดแทงหัวใจเขามากเพราะเขาคิดว่าหากไม่มีครูผู้นี้แล้ว
เขาย่อมสามารถตั้งตัวเป็นครูสอนเพลงดาบแทนได้ ด้วยได้รับถ่ายทอดความรู้และความชำนาญจนมีความฉลาดและเชี่ยวชาญไม่แพ้ครู
ถ้าครูยังมีชีวิตอยู่เขาย่อมต้องรอเสียเวลาที่จะเริ่มตั้งตัวให้มีฐานะร่ำรวยได้รวดเร็ว
ฉะนั้น เขาจึงคิดที่จะจัดการกำจัดครูของเขาโดยพยายามคิดหาวิธีที่เหมาะสมอยู่
จนวันหนึ่งครูมีธุระต้องเดินทางไป ณ
สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากสำนัก จึงชวนศิษย์ผู้คิดปองร้ายไปเป็นเพื่อนร่วมเดินทางด้วย
โดยไปกันเพียงสองคน เขาดีใจมากเพราะอาจมีโอกาสได้กำจัดครูในครั้งนี้
แต่ระงับใจไว้ไม่แสดงอาการที่ผิดปกติให้ปรากฏ เมื่อเดินทางกันไปจนพ้นหมู่บ้านคนเข้าบริเวณป่าละเมาะระหว่างทางเป้นที่เปลี่ยว
ชายผู้เป็นศิษย์ชั่วได้ถามครูว่า
"ข้าแต่ครู มีวิชาเพลงดาบใดบ้างที่ครูยังไม่ได้สอนข้าพเจ้า?"
ครูตอบตามตรงว่า
"ไม่มีแล้ว ขึ้นชื่อว่าเพลงดาบที่ข้าศึกษาและฝึกฝนมามีอยู่เท่าไรข้าได้ถ่ายเทสอนเจ้าจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ"
เมื่อตอบไปแล้ครูมีความสงสัยในคำถามของศิษย์ จึงถามศิษย์บ้างว่า
"เจ้าถามเรื่องนี้ด้วยความประสงค์อันใด?"
ศิษย์ทรยสฟังครูตอบด้วยความดีใจรีบชักดาบที่สะพายอยู่ออกมา
ถือกระชับมือมั่น ตอบครูว่า
"ดีแล้วตาเฒ่า เมื่อสอนวิชาแก่ข้าหมดทุกอย่างแล้วก็ควรตายได้
อย่าอยู่ให้เป็นเครื่องขวางความเจริญของข้าเลย"
พูดจบขยับตัวรำดาบเข้าหาครู ครูดาบไม่มีอาวุธติดตัวมาด้วย
มีแต่ร่มกระดาษไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่ถือกางแดดมาคันเดียว ได้โบกมือห้ามศิษย์เนรคุณและซักเพื่อทราบความต่อไปว่า
"เดี๋ยว ! เดี๋ยวก่อน ! เมื่อเจ้าจะทำร้ายข้าก็คงไม่ยาก
อะไรหรอก เพราะเจ้ายังหนุ่มอยู่ แต่ข้าแก่แล้ว เจ้ามีอาวุธคือดาบส่วนข้ามีเพียงร่มกระดาษคันเดียวจะสู้เจ้าได้อย่างไร
?
แต่ข้าอยากรู้ว่าข้าทำอะไรผิดพลาดล่วงเกินจนเจ้าแค้นเคืองอย่างมากหรือ
? เจ้าจึงอาฆาตและต้องการฆ่าข้าช่วยบอกให้ข้ารู้ตัวก่อนเถิด"
"เปล่า ! ตาเฒ่า แกไม่ได้ทำอะไรล่วงเกินให้ข้าต้องแค้นเคือง"
ศิษย์ชั่วตอบ
"ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะฆ่าข้าทำไม?" ครูถามต่อไป
ศิษย์เลวทรามผู้นั้นจึงชี้แจงว่า
"เวลานี้ข้ามีความรู้ทัดเทียมแกแล้ว หากแกยังมีชีวิตอยู่ข้าก็ไม่มีโอกาสทำหน้าที่เป้นครูและยังมีผู้ที่เก่งเสมอกันเหลืออยู่
แต่ถ้าแกตายก็จะมีคนเก่งเฉพาะข้าเพียงคนเดียว ซึ่งไม่มีใครเทียมเท่าข้าจึงคิดมานานแล้วที่จะฆ่าแก
และเพิ่งได้โอกาสวันนี้เอง" พูดจบศิษย์ถ่อยผู้นั้นใช้ดาบของตนไล่ฟันครูเป็นพัลวัน
ครูได้ฟังรู้เรื่องตลอด หมดความเมตตาต่อศิษย์ชั่ว
คิดว่า "เป็นกรรมของสัตว์" บุญเขาหมดเพียงนี้ " เบี่ยงกายหลีกหลบคมดาบแล้วใช้น้ำเย็นล่อ
โดยหลอกถามศิษย์ที่หวังร้ายต่อตนว่า
"ข้าสงสัย ดาบของเจ้าดูท่าจะไม่คมพอที่ละลิ้มเลือดในร่างข้ากระมัง?"
"ไม่ต้องสงสัย อย่างไรเสียแกต้องตายแน่วันนี้ ดาบของข้าลับไว้คมกริบแล้ว
" ศิษย์โง่ตกหลุมพราง ครูจึงพูดต่อว่า
"เอาเถิด ถ้าเจ้าว่าดาบของเจ้าคมลองฟันร่มข้าดูซิว่าคันร่มจะหักไหม?"
พูดจบ ครูยกร่มที่หุบแล้วส่งยื่นล่อ
ศิษย์ทรามผู้นั้นชะล่าใจยกดาบฟันฉับลงมาบนร่ม ซึ่งครูหลอกให้ฟันลงตรงท่อนปลาย
พอเขาฟันลงครูก็ตวัดร่มรับให้คมดาบตัดปลายร่มขาดพอดีกับไม้ไผ่คันร่มที่ถือไว้
กลายเป็นไม้ที่แหลมเป็นปากฉลามคือเรียวแหลมแล้ว ได้ใช้ความรวดเร็วทิ่มปลายไม้ที่แหลมคมนั้นพุ่งสวนเข้าสู่ลำคอ
ของศิษย์ทรยศอย่างแรงสุดกำลัง โดยเขาไม่อาจป้องกันตัวได้ทัน และไม่เคยเรียนวิธีแก้เรื่องนี้มาก่อนเลย
ซ้ำเมื่อครูทิ่มปลายไม่อันเป้นคันร่มนั้นเข้าลำคอเขาจนเป็นเแลลึกทะลุแล้ว
ยังทิ้งคาคันร่มที่แทงให้ติดคอเขาอีก ได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดแสน
สิ้นกำลังไม่อาจทรงตัวยืนอยู่ได้ ล้มลงแทบเท้าของครู ดาบหลุดจากมือ
แต่ก่อนจะขาดใจตายเขายังมองดูหน้าของครู เห็นครูยิ้มกับเขา และแว่วได้ยินครูพูดกับเขาเป็นครั้งสุดท้ายว่า
"วิชานี้ เรียกว่าวิชาไม้เล็กสู้ดาบ
ข้าลืมไปไม่ได้สอนเจ้า เจ้าจึงไม่ได้เรียน ขาดอยู่เพียงวิชานี้วิชาเดียวแท้
ๆ นอกนั้นข้าสอนเจ้าจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ"

|