ในรัชกาลของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์หนึ่ง
มีพระราชาต่างแคว้น ๗ พระองค์ ยกทัพมาล้อมเมืองพาราณสีเพื่อชิงราชสมบัติ
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเรา เกิดเป็นม้าสินธพอาชาไนยของพระเจ้าพรหมทัต
พระสารีบุตรเกิดเป็นนายสารถี พระอานนท์เกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัต
ม้าสินธพถือเป็นม้ามงคลของพระเจ้าพรหมทัต
มีลักษณะดี สง่างาม ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี อาหารที่กินประจำคือ
ข้าวสาลีหอมเก็บค้างไว้ ๓ ปี มีรสชาติปรุงอย่างดี ภาชนะที่ใส่อาหารให้มากินเป็นถาดทองคำมีราคาเรือนแสนกหาปณะ
โรงม้าที่ม้าสินธพอยู่นั้นเป็นโรงโอ่โถง มีพื้นทาด้วยของหอม ๔ ชนิดปรุงผสมกัน
คือ หญ้าฝรั่ง กำยาน กานพลู และกฤษณา พระเจ้าพรหมทัตทรงรับสั่งให้เอาผ้ากัมพลสีแดงมากั้นเป็นม่านล้อมรอบ
เอาผืนผ้าที่ประดับประดาด้วยดาวทองคำมาทำเป็นเพดาน ทรงรับสั่งให้ห้อยพวงดอกไม้มีกลิ่นหอมย้อยเป็นระย้า
และทรงรับสั่งให้ตามประทีปด้วยน้ำมันหอมส่งกลิ่นอบอวลอยู่ตลอดเวลา
เมืองพาราณสีเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์
มีอยู่คราวหนึ่ง พระราชา ๗ พระองค์จาก ๗ แคว้นต่างหมายปอง จึงทรงปรึกษาหารือกันถึงวิธีที่จะเข้ายึดครองเมืองพาราณสีนั้นให้ได้
"หม่อมฉันขอเสนอว่า
ให้เรายกทัพไปพร้อมกันแล้วเรียงรายกันล้อมเมืองพาราณสีให้ตลอด"
พระราชาพระองค์หนึ่งทรงเสนอความเห็น
"หม่อมฉันเห็นด้วย" พระราชาอีกพระองค์หนึ่งตรัสสนับสนุน
ดังนั้นเมื่อได้ฤกษ์งามยามดีก็ทรงพร้อมกันยกทัพไปล้อมเมืองพาราณสี
หลังจากสร้างค่ายพักเรียบร้อยและเข้าประจำแล้ว พระราชาทั้ง ๗ พระองค์ก็ทรงปรึกษากันอีก
"จะล้อมไว้อย่างนี้ อย่างเดียวหรือ"
พระราชาพระองค์หนึ่งตรัสถามในที่ประชุม
"ไม่หรอก " พระราชาอีกพระองค์หนึ่งตรัส
"ตามธรรมเนียมโบราณของการออกศึกสงคราม
ผู้รุกรานจะต้องส่งสารไปถึงเจ้าของแคว้นเขาก่อน เป็นการเตือนให้เลือกเอาระหว่าง
การยอมแพ้ กับการออกมาสู้"
"ถ้าอย่างนั้นเราก็ปฏิบัติตามนั้นเลย"
พระราชาพระองค์ที่สามตรัสสรุป
เมื่อที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อสรุปนั้น
วันรุ่งขึ้น พระเจ้าพรหมทัตก็ได้รับพระราชสารฉบับหนึ่งความว่า
"พวกหม่อมฉันต้องการอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้คือ
ราชสมบัติหรือไม่ก็การทำศึกกัน พระองค์จะให้อย่างไหน"
ทันทีที่ได้รับพระราชสารฉบับนั้น
พระเจ้าพรหมทัตก็รับสั่งให้บรรดาอำมาตย์เข้าประชุมร่วมกันพิจารณาคำขอของพระราชาผู้รุกราน
๗ พระองค์
"จะให้ข้าตอบเขาไปว่าอย่างไร"
พระองค์ตรัสถามอย่างร้อนรน
"ขอเดชะ..." อำมาตย์คนหนึ่งกราบทูล
"ขอให้ฝ่าพระบาทตอบไปเลยว่าจะทำศึก"
"เจ้าพูดอะไร" พระเจ้าพรหมทัตตรัสถามด้วยความตกพระทัย
"เราจะเอาอะไรไปสู้เขาได้ เขายกมากันตั้ง ๗ แคว้น"
"ขอเดชะ ขั้นแรกนี้พระองค์ยังไม่ต้องออกไปรบเองหรอกพะย่ะค่ะ
แต่ขอให้ส่งนายารถีผู้ชำนาญในการขี่ม้าออกไปรบแทน"
"นายสารถีคนนั้นคนเดียวน่ะหรือ"
"ใช่...พะย่ะค่ะ"
"มันจะไปสู้อะไรเขาได้ คนคนเดียวสู้คนเป็นร้อยเป็นพัน"
"ถ้าสู้ไม่ได้ คราวนี้แหละพระองค์ค่อยยกกองทัพออกไป"
พระเจ้าพรหมทัตยังรู้สึกงุนงงในแผนของอำมาตย์ผู้นั้น
แต่เป็นเพราะเคยเชื่อมือกันมาก่อน จึงยอมทำตามที่เขาเสนอ พระองค์รับสั่งให้นายสารถีผู้ชำนาญการขี่ม้า
ที่อำมาตย์เอ่ยถึงเข้าเฝ้าแล้วตรัสถามถึงความสมัครใจที่จะออกไปสู้รบ
"ขอเดชะ ถ้าข้าพระองค์ได้ขี่ม้าสินธพอาชาไนยออกรบอย่าว่าแต่แค่พระราชา
๗ องค์นี้เลย ต่อให้พระราชาทั่วทั้งชมพูทวีปข้าพระองค์ก็สู้ได้"
"อย่าว่าแต่แค่ม้าสินธพอาชาไนยเลย
อย่างอื่นสิ่งไหนที่เจ้าต้องการ จงบอกมา ข้าจะให้" พระเจ้าพรหมทัตตรัสเสียงดัง
เมื่อได้รับพระราชานุญาตเช่นนั้นแล้ว
นายสารถีก็กราบถวายบังคมลาแล้วลงมาจากปราสาทให้เจ้าหน้าที่จูงม้าสินธพอาชาไนยมาให้
เขาลงมือสวมเกราะให้ม้า จากนั้นจึงสวมเสื้อเกราะให้ตัวเองแล้วคาดพระขรรค์
กระโดดขึ้นหลังม้าควบออกจากเมืองไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
นายสารถีได้วางแผนการรบไว้ในใจแล้ว
คือ การบุกจู่โจมแบบสายฟ้าแลบ หลังจากที่เขาได้ศึกษาและรู้กำลังของศัตรูทันทีที่เห็นค่ายทหารตั้งรายล้อมเป็นแห่งๆ
เขาก็ชักพระขรรค์ออกมาถือในท่าพร้อมรบแล้วบุกจู่โจมค่ายที่ ๑ ทันที
เขาอาศัยความรวดเร็วและฝีมืออันฉกรรจ์ฆ่าทหารค่ายที่ ๑ นั้นตายเป็นเบือ
จากนั้นจึงจับพระราชมัดแล้วนำไปมอบแก่กองกำลังในเมืองให้กักตัวไว้
เขาออกมาบุกจู่โจมค่ายที่ ๒ ค่ายที่ ๓ ค่ายที่ ๔ ค่ายที่ ๕ และค่ายที่
๖ ตามลำดับและจับพระราชาแห่งค่ายนั้นๆ ได้ แต่คราวบุกจู่โจมค่ายที่
๖ นั้น ม้าสินธพอาชาไนย เกิดพลาดท่าถูกหอกแทงเลือดโชกได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
นายสารถีทราบว่าม้าสินธพถูกแทงอาการสาหัสจึงให้นอนพักที่ใกล้ประตูพระราชวัง
แล้วแสดงท่าทีจะขี่ม้าตัวอื่นออกรบ ม้าสินธพนอนลืมตามองดูท่าทีของนายสารถีตลอดเวลาและเข้าใจดีว่า
เขากำลังจะขี่ม้าตัวอื่นออกรบ ม้าสินธพรู้ดีถึงกำลังของศัตรูและรู้ดีว่าม้าที่นายสารถีจะขี่ออกรบแทนตนนั้น
ไม่สามารถพอที่จะเอาชนะศัตรูค่ายที่ ๗ ได้ ม้าคิดต่อไปว่าเมื่อเป็นอย่างนี้
นายสารถีเองก็จะถูกฆ่าตาย พระราชาก็จะถูกจับ เมืองพาราณสีก็จะถูกยึดครอง
ม้าทนไม่ได้กับสภาพเช่นนั้น จึงร้องบอกนายสารถีให้ขับขี่ตนออกรบ โดยกล่าวว่า
"ม้าสิธพอาชาไนยแม้จะถูกยิงด้วยลูกศรเจ็บปวดถึงขั้นล้มนอนตะแคง
แต่ก็ยังดีกว่าม้ากระจอก มาเถิดสารถี มาสวมเกราะให้ข้าพเจ้า"
นายสารถีได้ฟังม้าสินธพร้องบอกเช่นนั้นก็ผละจากม้าตัวใหม่
มาหาม้าสินธพพันแผลให้และรัดเกราะให้แน่นดุจเดิม จากนั้น ก็ขี่ควบออกไปบุกค่ายทหารค่ายที่
๗ สามารถทำลายค่ายนั้นได้และจับพระราชามากักตัวไว้ในเมืองอย่างที่แล้วมา
หลังจากเสร็จศึกแล้ว
ม้าสินธพอาชาไนยซึ่งเหนื่อยอ่อนเต็มทีก็ล้มตัวนอนอยู่ใกล้ๆ ประตูพระราชวัง
พระเจ้าพรหมทัตสเด็จมาต้อนรับ ม้าได้กราบทูลว่า
"ขอเดชะ
ขอพระองค์อย่าได้ประหารชีวิตพระราชาผู้เป็นเชลยทั้ง ๗ พระองค์นั้น
เพียงแต่ว่าให้ทำพิธีสาบานแสดงความจงรักภักดีแล้วปล่อยตัวไปเถิด ยศที่จะพระราชทานแก่หม่อมฉันและแก่นายสารถี
ก็ขอได้โปรดพระราชทานแก่นายสารถีแต่เพียงผู้เดียว ขอให้พระองค์จงทรงเกษมสำราญ
ให้ทาน รักษาศีล และครองแผ่นดินโดยธรรมเถิดพระเจ้าข้า"
ม้าเจ็บปวดเหลือกำลัง
แต่ก็ข่มความเจ็บปวดกราบทูล พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรดูด้วยความสงสาร
ทรงลูบลำตัวไปมาพลางตรัสว่า
"ม้าเอย... เจ้าทำความดีให้แก่บ้านเมืองมาก
เมืองพาราณสีปลอดภัยจากศัตรูก็เพราะความเสียสละของเจ้า ความดีของเจ้าจะจารึกอยู่ในใจของข้าตลอดไป"
ม้าสินธพรู้ดีว่า เวลาที่จะมีชีวิตอยู่ของตนเองเหลือน้อยเต็มที
จึงเอาเท้าหน้าวางที่พระบาทของพระเจ้าพรหมทัต ฝ่ายพระราชาเชลยทั้ง
๗ พระองค์ก็ทรงทำตามที่ม้าแนะนำคือ ให้ทำพิธีสาบานแสดงความจงรักภักดีแล้วปล่อยตัวไป
นับแต่นั้นมาเมืองพาราณสี แคว้นกาสี ก็มีแต่ความสงบสุขตลอดรัชกาล
นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ความดีไม่ว่าคนหรือสัตว์ทำ สมควรได้รับการยกย่องทั้งนั้น เพราะความดีให้ผลออกมาเป็นความสุขสงบของสังคม
และบางครั้งผู้ทำความดีอาจจะต้องพบกับความทุกข์ยากถึงขั้นชีวิต
อย่างม้าสินธพอาชาไนยฉะนั้น |
|