Warning: file(../../ad468-2.txt): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/randomad468-2.php on line 4
 
 
พระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย พุทธศาสนายุค พ.ศ.๑๓๐๐ - ๑๗๐๐
ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย
The History of Buddhism in India


๔.พุทธตันตระ (Buddhatantra)

size="2" face="Tahoma">     พ.ศ.๑๕๐๐ พุทธศาสนาได้ผสมกับลัทธิตันตระของฮินดูซึ่งเป็นลัทธิของคนชั้นต่ำ ในยุคนี้จึงได้ชื่อว่า พุทธตันตระเกิดสัทธรรมปฏิรูปกับศาสนาฮินดูทำให้พุทธศาสนาถึงแก่ความเสื่อมคำว่า "พุทธศาสนาแบบตันตระ" นั้นโดยทั่วไปแล้ว ได้ใช้เรียกกับพุทธศาสนาในอินเดียยุคหลังซึ่งได้แก่ มัีนตรยาน วัชรยาน หรือสหัสยาน พุทธศาสนาในยุคนี้ได้หลอมตัวเข้าหาลัทธิตันตระของฮินดูซึ่งหลักการปฏิบัติที่สำคัญดังนี้

size="2" face="Tahoma">     ๑.ถือการท่องบ่นเวทมนตร์ และลงเลขยันต์ซึ่งได้แก่มนตราและธารณีการออกเสีงสวดมนต์ นั้นก็ได้บัญญัติคำสวดอันสึกลับขึ้นมาผู้ปฏิบัติมีภาษาที่มีความหมายเป็นสองแง่ในทำนองคำคม ความหมายจริง ๆ ของคำเหล่านั้น เมื่อคนสามัญทั่วไปได้ยินเข้าถึงกับสะดุ้ง แต่นักปฏิบัติได้แปลความหมายไปในแง่หนึ่งซึ่งเป็นที่รู้กัน โดยเฉพาะและแตกต่างจากความเข้าใจของสามัญชนทั่วไปอย่างมากมาย จึงทำให้มีความเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นในหมู่นักปฏิบัติและสาวกของลัทธิลึกลับ

size="2" face="Tahoma">     ๒.ถือเหมือนชั้นต้นแต่เพื่อที่จะให้พิเศษออกไปเกิดมีการนับถือฌานิพุทธและพระโพธิสัตว์ ยิ่งยวดขึ้นไปมีความเชื่อในเทพเจ้าและเทพีเป็นจำนวนมาก และเห็นว่าการโปรดปรานของเทพเจ้าและเทพีเหล่านั้นสามารถทำให้ผู้อ้อนวอนบรรลุความสำเร็จได้ จึงนิยมการสร้างรูปขึ้นมาให้พระพุทธเจ้าประทับนั่งตรงกลางเทพีทั้งหลาย ได้นำเอาลัทธิศักติของฮินดูมารวมนับถือและอ้อนวอนด้วยศักดิ คือ การนับถือในชายาของพระเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งอันเป็นอำนาจของเทพเจ้าผู้สามี เช่นพระนางอุมา เป็นศักติของพระศิวะ พะรนางลักษมี เป็นศักติของพระวิษณุ เมื่อนับถือพระศิวะและพระวิษณุ ก็ต้องนับถือหรือจงรักภักดีในพระนางอุมาและพระนางลักษมีด้วย ส่วนศักติของพระฌานิพุทธและพระโพธิสัตว์ก็คือพระนางผู้เป็นคู่บารมีของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ ยิ่งกว่านั้นลัทธินี้ยังมีการสมมติให้พระนิพพาน มีรูปร่างลักษณะขึ้นสำหรับบูชาสิ่งที่สมมติกันขึ้นนี้เรียกว่า "นิราตมเทวี" ผู้ที่เข้าถึงพระนิพพานก็คือเข้าถึงองค์เทวีหรือรวมอยู่ในองค์เทวีลัทธินี้เรียกว่า วัชรยาน ผู้ที่อยู่ในลัทธินี้เรียกว่า วัชราจารย์

size="2" face="Tahoma">     ๓.มีการเพิ่มการเซ่นสรวงผีสางเข้าไปด้วยถือว่าการบูชาบวงสรวงและอ้อนวอนจะทำให้ได้รับความสุข และยังได้ทำรูปของพระฌานิพุทธให้มีปางดุร้ายอย่างนางกาลี ซึ่งเป็นปางดุร้ายของพระนางอุมาลัทธินี้เรียกว่ากาลจักร พระศาสนาที่ผสมกับลัทธิตันตระของฮินดูได้นำเอาประเพณีพีธีกรรมอันลึกลับกลับน่ากลัวและลามกอนาจารมาปฏิบัติเช่นข้อปฏิบัติ ๕ ม. คือ ๑.มัทยะ ดื่มน้ำเมา ๒.มางสะ รับประทานเนื้อ ๓.มัตสยา ทานปลา ๔.มุทรา ยั่วให้กำหนัด ๕.ไมถุนะ เสพเมถุน ในหนังสือคุรุสมาสได้สอนให้มีการเหยียบย่ำแม้กระทั่งศีล ๕ สนับสนุนให้มีการฆ่า การลัก การเสพเมถุนธรรมและการดื่มของเมาผู้ที่จะเข้าทำพิธีตามลัทธิตันตระจะต้องปฏิบัติ ๕ ข้อนี้อย่างเคร่งครัดถือว่าเป็นการบูชาพระศักดิ ในสถานที่บางแห่งเมื่อผู้หญิงจะไหว้พระจะต้องเปลื้องเครื่องแต่งตัวออกทั้งหมดแล้วแสดงการร่ายรำไปจนเสร็จพิธี เมื่อเสร็จพิธีใหม่ ๆ จะมีการเล่นกันหลากหลาย

size="2" face="Tahoma">     นักปฏิบัติยอมรับว่าลัทธิ ๕ ข้อนี้ไม่ดีเป็นมายาและเป็นเครื่องกีดกันไม่ให้คนไปสวรรค์นิพพานได้ คนโดยมากมักจะติดอยู่ในสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นจึงต้องหาความชำนาญในสิ่งเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ไม่มากเข้าก็จะเกิดเบื่อไปเอง เมื่อยังไม่รู้ไม่ชำนาญ และยังมิได้มีประสบการณ์มาด้วยตนเองอย่างช่ำชอง แล้วก็เป็นการยากที่จะเกิดความเบื่อหน่ายได้ ต้องเล่นวิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง มีนักปฏิบัติบางท่านถือยิ่งขึ้นไปว่าผู้ที่ยังไม่ผ่านการเสพเมถุนธรรมจะไปนิพพานไม่ได้ เพราะจิตใจยังลังเลอยู่ต้องเสพเมถุนธรรมให้ถึงที่สุดจนเกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเกิดความเบื่อหน่ายแล้ว ก็เป็นการง่ายที่จะดำเนินไปสู่พระนิพพาน อย่างไร ก็ตามลัทธิต้นตระนี้มีผู้ปฎิบัติแพร่หลายอยู่ทางอินเดียตะวันออก คือ ในแคว้นเบงกอล อัสสัม โอริสสา และพิหาร มหาวิทยาลัยวิกรมศิลาเป็นศูนย์ศึกษาลัทธินี้ และต่อมาลัทธินี้ยังได้แผ่เข้าไปสู่ประเทศธิเบตด้วย

size="2" face="Tahoma">     พุทธศาสนาในยุคนี้เกิดสัทธัมปฏิรูปอย่างหนัก พระสงฆ์ทำตัวเหมือนหมอผีขมังเวทย์มากขึ้น เพื่อสนองความต้องการของชาวบ้านธรรมดาที่ไม่เห็นคุณค่าหลักธรรมที่แท้จริง พระสงฆ์ไม่ได้เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่าสิทธะ สิทธะที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นคือ สิทธะมาตังคี สิทธะอานนทวันทะวัชระสิทธะญาณปาทะเป็นต้น ต่อมาสิทธะได้แบ่งออกเป็น ๒ พวกใหญ่ คือ

size="2" face="Tahoma">     ๑.พวกทักษิณาจารี แปลว่าผู้พระพฤติด้านขวา พวกนี้ยังประพฤติพระธรรมวินัย ยังรักษาพรหมจรรย์ ยังรักษาสถานะความพระสงฆ์ได้มากพอสมควร

size="2" face="Tahoma">     ๒.พวกวามจารี แปลว่าผู้ประพฤติด้านซ้าย พวกนี้ประพฤติเลอะเลือนไม่รักษาพรหมจรรย์มีภรรยามีครอบครัว ทำตัวเป็นพ่อมดหมอผีมากขึ้นชอบอยู่ป่าช้า ใช้หัวกระโหลกผีเป็นบาตร มีภาษาลึกลับใช้สื่อสารเรียกว่า สนธยาภาษา เกณฑ์ให้พระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์มีศักติคือภรรยาคู่บารมีพระพุทธปฏิมาก็มีปางอุ้มกอดศักติ พวกเขาถือว่าการจะบรรลุพระนิพพานได้ต้องมีธาตุชายและหญิงมาผสมผสานกัน ธาตุชายเป็นอุบาย ธาตุหญิงเป็นปรัชญา เพราะฉะนั้นอุบายต้องบวกปรัชญาจึงจะบรรลุพระนิพพานได้แต่ลัทธินี้ก็ประพฤติเฉพาะบางส่วนของอินเดียเท่านั้น

 

๕.พุทธศิลป์สมัยปาละ (Pala Art)

พระพุทธองค์ดำ ศิลปะสมัยปาละ

size="2" face="Tahoma">     ราว พ.ศ.๑๒๐๐ พุทธศิลป์สมัยปาละก็ได้เกิดขึ้น นับเป็นยุคสุดท้ายของพุทธศิลป์ในอินเดีย ก่อนที่กองทัพมุสลิมเข้ายึดครองทั้งประเทศมีลักษณะคล้ายพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนของไทย มีพระนาสิกงุ้มลง พระกรรณ (หู)ยาวลงกว่าสมัยคุปตะ พระวรกายอวบอ้วน พระขโนงเป็นขอบคม ห่มจีวรเฉวียงบ่า มีริ้วแข็ง ฐานพระพุทธรูปยุคนี้มีบัวคว่ำ และบัวหงาย พุทธศิลป์ที่สวยงามที่สุดในยุคนี้คือหลวงพ่อองค์ดำที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งนับเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่เหลือรอดจาการทำลายล้างของมุสลิม แกะสลักด้วยหินสบู่สีดำ และหลวงพ่อพุทธเมตตา พระพุทธรูปประจำในเจดีย์พุทธคยา รัฐพิหาร เป็นต้น พระราชาที่สนับสนุนในการจัดสร้างพุทธศิลป์ในสมัยปาละมากที่สุด คือ พระเจ้าเทวปาละ และพระเจ้าธรรมปาละแห่งราชวงศ์ปาละนั้นเอง ในเมืองไทยกรมศิลปากรได้ คันพบพระพุทธรูปสมัยปาละที่หายากที่วัดราชบูรณะกรุงศรีอยุธยา ราวพ.ศ. ๒๕๐๐ ปัจจุบันได้นำประดิษฐานไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่ง ชาติ กรุงเทพฯ

size="2" face="Tahoma">     พ.ศ.๑๕๓๕ พระเจ้ามหิปาละที่ ๑ (Mahipala1th) ขึ้นครองบัลลังก์มคธในปีที่ ๖ แห่งรัชกาลนี้ พระอาจารย์กัลยาณมิตร จินดามณี (Kalyanamitra Chintamani) พระเถระชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัยนาลันทาได้ทำการคัดลอกคัมภีร์อัศฏสาหัสริกาและปรัชญาปารมิตสูตร เพื่อถวายแด่พระองค์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ นอกจากน้นพระองค์ยังซ่อมแซมมหาวิทยาลัยนาลันทาที่ถูกไฟไหม้่เพราะความประมาทให้กลับมาสวยงามดั่งเดิม พระองค์ครองราชย์ต่อมาจนถึง พ.ศ.๑๕๘๓

size="2" face="Tahoma">     พ.ศ.๑๕๗๒ กองทัพมุสลิมนำโดย มาหมุด (Manmud) ได้ยึดครองภาคเหนือของอินเดีย คันธาระ ตักกศิลา ปัญจาป สินธุ์ได้อย่างเด็ดขาด ต่อมาตัวมาหมุดก็สิ้นชีวิต โมฮัมหมัด ฆาสนีก็สืบต่ออำนาจแทน มณฑลที่มุสลิมยึดครองพุทธศาสนา ศาสนาเชน ศาสนฮินดูถูกทำลายอย่างหนัก จนแทบไม่เหลือ พุทธศาสนิกชนที่รอดมาก็อพยพเข้าสู่แคว้นมคธ ในยุคนั้นปกครองโดยราชวงศ์ปาละได้เอาธุระเอาใจใส่ผู้อพยพทั้งสามศาสนา โดยเฉพาะพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี

size="2" face="Tahoma">     พ.ศ. ๑๖๓๕ พระเจ้ารามปาละ กษัตริย์ราชวงศ์ปาละ แคว้นมคธ พระองค์เป็นพุทธมามกะที่เคร่งครัด ได้สร้างราชธานีใหม่ชื่อว่า รามาวดี ซึ่งเป็นที่แม่น้ำคงคามาบรรจบกับแม่น้ำกะระตัว ต่อมาก็ทรงสร้างมหาวิทยาลัยชคัททละ (Jagaddala University) ขึ้นในเมืองนี้ ณ ที่นี่ได้ผลิตนักปราชญ์นักกวีหลายท่านออกมา หนึ่งในนั้นคือท่านสนธยาการ นันทิ (Sandhyakara Nandi) เป็นนักกวีที่มีชื่อเสียง และพระสงฆ์หลายรูปได้ไปเผยแพร่พุทธศาสนาในธิเบต เช่นพระอตีศะหรือพระทีปังกร ศรีชญาณ เป็นต้น พระองค์ปกครองมคธจนถึง พ.ศ.๑๖๗๓ รวมครองราชย์ ๔๖ ปี

size="2" face="Tahoma">     พ.ศ.๑๖๓๗ กษัตริย์ราชวงศ์เจาลุกยะทางอินเดียตะวันตก (แถวคุชราต) ได้นับถือเชน บางพระองค์นับถือเชน จึงได้สนับสนุนฮินดูและเชนแทนพุทธศาสนา เช่นพระเจ้าชัยสิงห์ (Jayasingha) ทรงนับถือฮินดูอย่างเคร่งครัด และสนับสนุนศาสนาเชนมากเช่นกัน ต่อมาพระเจ้ากุมารปาละพระโอรสหันกลับไปนับถือศาสนาเชน จนศาสนานี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในรัฐนี้นักปราชญ์เชนที่สำคัญในสมัยนี้คือพระเหมจันทร์ (Hemachandra) และพระโสมประภา (Somaprabha) สามารถโน้มน้าวให้พระกุมารปาละมานับถือศาสนาเชนได้ ส่วนพุทธศาสนา ก็อ่อนกำลังลงอย่างมาก ประกอบกับด้านตะวันตกของรัฐนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ได้ถูกมุสลิมยึดได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถยึดได้อย่างเด็ดขาด

 

๖.ราชวงค์เสนะ (Sena Dynasty)

size="2" face="Tahoma">     พ.ศ.๑๖๙๒ หลังจากที่พระเจ้ายักษะปาละ (Yaksapala) แห่งราชวงศ์ปาละองค์สุดท้ายได้ครองราชย์สมบัติต่อจากพระบิดาคือพระเจ้ารามปาละ พระเจ้ายักษะปาละเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด พระองค์ได้ทำนุบำรุงพุทธศาสนาเป็นอย่างดี มหาวิทยาลัยวิกรมศิลายังเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาแบบตันตระที่โด่งดังอยู่เหมือนเดิม แต่พระองค์ก็ปกครองได้เพียง ๑๑ ปี เสนาบดีพราหมณ์ คนหนึ่งนามว่า ลาวเสน (Lavasena) ก็ยึดอำนาจแล้วปลงพะรชนม์เสีย สถาปนาราชวงศ์เสนะแล้วตนเองขึ้นปกครองนามว่าพระเจ้าลาวเสน เนื่องจากฮินดู กษัตริย์พระองค์ใหม่จึงเริ่มบั่นทอนพุทธศาสนาลงจนพุทธศาสนาในเบงกอล และมคธที่เจริญอยู่ก็ซบเซาลง วิกรมศิลาที่มีนักศึกษาเรือนหมื่นเหลือไม่ถึงพันรูป

size="2" face="Tahoma">     หลังจากพระเจ้าลาวเสนะสิ้นพระชนม์แล้ว พระโอรสคือเจ้าชายกาสเสนะ (Kasasena) ก็ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อมา พระองค์ไม่ใช่ฮินดูที่เคร่งครัด แม้ไม่โปรดพุทธศาสนาแต่ก็ยังไม่ทำลาย ในยุคนี้มีสิทธะฝ่ายถือพรหมจรรย์ ที่มีชื่อเสียงหลายรูปยังเป็นที่พึ่งให้พุทธบริษัทยามคับขันคือ ๑.ท่านสุภการคุปตะ (Subhakaragupta) ๒.ท่านรวิศรีชญาณ (Ravisrijnanan) ๓.ท่านนายกปะศรี (Nayakapasri) ๔.ท่านทสพละศรี (Dasabalasri) ๕.ท่านธรรมการสันติ (Dharmakarasanti) ๖.ท่านศรีวิกยาตเทวะ (Srivikyatadeva) ๗.ท่านนิสกาลังกาเทวะ (Niskalankadeva) ๘.ท่านธรรมการคุปตะ (Dharmakargupta) ในยุคราชวงศ์เสนะครองเบงกอลและมคธนี้ พระเจ้าปรักกมหากษัตริย์แห่งลังกา ได้อาราธนาพระสงฆ์และคัมภีร์จำนวนมากจากอาณาจักรโจฬะเมื่อ พ.ศ.๑๖๙๕ เพื่อไปปรับปรุงพุทธศาสนาที่ลังกา วรรณกรรมหลาย ๆ เล่มได้ถูกถ่ายทอดไปสู่ภาษาลังกา เช่น คัมภีร์มหาวงศ์ ตอนท้ายจุลวงศ์ทาฐวงศ์ รูปสิทธิ เป็นต้น วรรณกรรมเหล่านี้เป็นผลงานของพระเถระชาวอินเดียใต้ในอาณาจักรโจฬะนี้

size="2" face="Tahoma">     หลังจากพระเจ้ากาสะเสนะสวรรคตแล้ว พระโอรสนามว่า มณิตาเสนะ (Manitasena) ก็ปกครองราชสมบัติต่อมา ในยุคนี้พุทธศาสนาในจักวรรดิเสนะก็ยังสืบต่อไปได้ ครั้นพระเจ้ามณิตา เสนะสวรรคต แล้วพระโอรสนามว่า ราฐิกาเสนะ (Rathikasena) ก็ปกครองต่อมาในยุคของพระองค์ได้มีนักบวชทางพุทธศาสนาหรือสิทธะมีชื่อเสียงหลายคนคือ ๑.ท่านศากยศรีภัทร (Sakyasribadra) แห่งแคชเมียร์ ๒. ท่านพุทธศรี (Buddhasri) จากเนปาล ๓.ท่านรัตนรักษิตะ (Ratnaraksita) ท่านชญาณการคุปตะ (Jnanakaragupta) ๕.ท่านพุทธศรีมิตร (Buddhasrimitra) ๖.ท่านสังฆามชญาณ (Samghamajnana) ๗.ท่านรวิศรีภัทร (Ravisribadra) ๘.ท่านจันทรการคุปตะ (Candrakaragupta) เพื่อที่จะคุ้มครองมหาวิทยาลัยโอทันตบุรีและวิกรมศิลา พระราชาได้รับสังให้สร้างป้อมปราการขึ้นและจัดเวรให้ทหารเฝ้าดูแลอย่างดี ในระหว่างนี้จำนวนพุทธศาสนิกชนในแคว้นมคธลดน้อยลงแต่ศาสนิกชนอื่นเริ่มมีมากขึ้น ส่วนพุทธศาสนาในภาคเหนือได้ถูกทำลายลงหมดแล้ว พุทธบริษัทส่วนมากได้บังคับให้นับถือศาสนาอิสลามไปเกือบหมด ผู้ที่ไม่ยอมรับจะถูกประหารหรือไม่ก็ต้องหลบหนีเข้ามาแคว้นมคธ

size="2" face="Tahoma">     พ.ศ.๑๗๓๔ กองทัพมุสลิมนำโดยโมหัมหมัด โฆรี (Muhammad Ghori) ชาวเติร์กมุสลิม ได้ยกกองทัพโจมตีภาคเหนือของอินเดีย และปะทะกับก่องทัพของพระเจ้าปฤฐวีราช เจาฮัน (Prithaviraj Chauhan) ผลการรบโฆรีแพ้ราบคาบต้องหลบหนีไปอัฟกานิสถานอย่างบอบช้ำ ในการรบครั้งนี้พระเจ้าปฤฐวีราชได้กษัตริย์หลายพระองค์ของอินเดียเป็นพันธมิตรเข้าช่วยเหลือ เช่นพระเจ้าชายาจันทรา (พ่อตา) จึงได้รับชัยชนะ แต่โฆรีก็สาบานว่าจะกลับมาอีกครั้ง การรบครั่งที่สองพระเจ้าปฤฐวีราชพ่ายแพ้ เพราะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากกษัตริย์พระองค์อื่น โฆรีจึงยึดกรุงเอินทปัตถ์หรือเตลลีได้อย่างเด็ดขาดและเริ่มรุกลงมาทางใต้

size="2" face="Tahoma">     ต่อมาสุลต่าน โมหัมหมัด กาซนี (Muhammad Ghazni) ก็เข้าทำลายอารามที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี ในสมัยรุ่งเรืองอารามที่นี้มีพระสงฆ์มากถึง ๑,๕๐๐ รูป กเนาว์ พราณสีและที่สารนาถวัด วิหาร พระสงฆ์ก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ความจริงสารนาถถูกทำลายมาหลายครั้ง ครั้งแรกจากพวกหูระ แต่ต่อมาพระนางกุมารีเทวี พระมเหสีของพระเจ้าโควินทจันทร์พระราชินีแห่งกเนาว์ก็มาซ่อมแซมจนกลับมาดีดั่งเดิม ในขณะที่กองทัพมุสลิมกำลังรุกเข้ามา บรรดาสิทธะแห่งนิกายมนตรยานหรือพุทธตันตระทั้งหลายต่างช่วยกันเสกเป่าเวทย์มนต์ เพื่อให้กองทัพมุสลิมถอยกลับออกไป แทนที่จะตระเตรียมกองทัพให้เข้มแข็งเพื่อต่อต้าน แต่กษัตริย์ราชวงศ์ปาละกลับเชื่อคำสิทธะทั้งหลาย จึงไม่ได้เตรียมการเต็มที่ สุดท้ายก็ถูกยึดได้และโดนทำลายลงอย่างสิ้นเชิง

size="2" face="Tahoma">     ในหนังสือของท่านตรานถกล่าวว่า ราชวงศ์เสนะสมัยพระเจ้าลวังเสนะหรือลักษมันเสนะต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของแม่ทัพตรุกี มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ และพระราชาแห่งราชวงศ์นี้ก็ยังดูแลพุทธศาสนาอยู่บ้าง ในยุคนี้ยังมีสิทธะที่มีชื่อเสียงเช่น ท่านราหุลศรีภัทร ท่านภูมิศรีภัทร อุปายศรีภัทำ กรุณาศรีภัทร และท่านมุนินทรศรีภัทร ท่านภูมิศรีภัทรอุปายศรีภัทร กรุณาศรีภัทร และท่านมุนินทรศรีภัทร เป็นต้น ปกครองมคธอยู่จนถึงสมัยพระเจ้าประติตเสนะก็สูญสลาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึง ๑๐๐ ปี ได้มีกษัตริย์องค์ใหม่นามว่า จิงคละราชา (Cingalaraja) กลายเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจมากขึ้น ในเบื้องต้นพระองค์ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกษัตริย์ฮินดูและสุลต่าน มุสลิมตรุกีในช่วงต้นพระองค์นับถือฮินดู แต่พระมเหสีของพระองค์เป็นชาวพุทธ จึงทำให้พระองค์หันเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาในที่สุดพระองค์ได้บูชาพระแท่นวัชรอาสน์ที่พุทธคยา ซ่อมแซมวัดวาอารามหลายแห่งที่ถูกทำลายลงโดยกองทัพมุสลิม ในยุคของพระองค์ยังมีนักปราชญ์ที่สำคัญอีกท่าน คือท่านสารีบุตร (Sariputra) พระองค์มีพระชนมายุที่ยาวนาน หลังจากพระองค์สวรรคแล้ว ได้มีกษัตริย์นามว่ามุกุนทเทวะ (Mukundadeva) เข้าปกครองมัธยมประเทศทั้งหมด พระองค์ได้สร้างวัดหลายแห่งขึ้นในรัีฐโอริสสาและมคธ เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว อาณาจักรแถบนี้ก็ไร้ผู้ปกครองจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิมุสลิมที่กรุงเดลลีอย่างสมบูรณ์

size="2" face="Tahoma">     จากหลักฐานเหล่านี้ทำให้เราทราบว่า หลังจากกองทัพมุสลิมเข้ายึดครองอินเดียภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก และภาคกลางแล้ว พุทธศาสนาไม่ได้ดับวูบลงเสียทีเดียว ยังมีผู้ปกครองท้องถิ่นพยายามค้ำชูพุทธศาสนาอยู่บ้าง ดังเช่นพระเจ้าจังคลราชา พระเจ้ามุกุนทเทวะ เป็นตัวอย่าง แต่ค่อย ๆ เสื่อมสูญไปทีละน้อย แม้ว่าอินเดียเกือบทั้งหมดถูกยึดครองโดยอิสลามแล้ว แต่ภาคใต้กองทัพมุสลิมยังรุกไปไม่ถึง พุทธศาสนาและฮินดูเชนก็ยังมีชีวิตรอดได้อยู่ ดั่งเช่นที่เมืองนาคปัฏฏินัม และกาญจีปุรัมพุทธศาสนายังมีลมหายใจจนถึง พ.ศ. ๒๑๐๐

 

สรุปราชวงศ์ปาละ (Pala Dynasty) (ปกครองมคธ,เบงกอล)

size="2" face="Tahoma">          ๑.พระเจ้าโคปาละ (Gopala) ผู้สถาปนาวงศ์ปาละ พ.ศ.๑๒๐๓-๑๒๔๘ รวม ๔๕ ปี
          ๒.พระเจ้าเทวปาละ (Devapala) ปกครอง พ.ศ.๑๒๔๘-๑๒๙๖ รวม ๔๘ ปี
          ๓.พระเจ้ารสปาละ (Rasapala) ปกครอง พ.ศ.๑๒๙๖-๑๓๐๘ รวม ๑๒ ปี
          ๔.พระเจ้าธรรมปาละ (Dharmapala) ปกครอง พ.ศ.๑๓๐๘-๑๓๗๒ รวม ๖๔ ปี
          ๕.พระเจ้ามสุรักษิต (Masuraksita) ปกครอง พ.ศ.๑๓๗๒-๑๓๘๐ รวม ๘ ปี
          ๖.พระเจ้าวนปาละ (Vanapala) ปกครอง พ.ศ.๑๓๘๐-๑๓๙๐ รวม ๑๐ ปี
          ๗.พระเจ้ามหิปาละ (Mahipala) ปกครอง พ.ศ.๑๓๙๐-๑๔๔๒ รวม ๕๒ ปี
          ๘.พระเจ้ามหาปาละ (Mahapala) ปกครอง พ.ศ.๑๔๔๒-๑๔๘๓ รวม ๔๑ ปี
          ๙.พระเจ้าสมุปาละ (Samupala) ปกครอง พ.ศ.๑๔๘๓-๑๔๙๕ รวม ๑๒ ปี
          ๑๐.พระเจ้าเศรษฐปาละ (Srestapala) ปกครอง พ.ศ.๑๔๙๕-๑๔๙๘ รวม ๓ ปี
          ๑๑.พระเจ้าคณกะ (Canaka) ปกครอง พ.ศ.๑๔๙๘-๑๕๒๖ รวม ๒๘ ปี
          ๑๒.พระเจ้าภยะปาละ (Bhayapala) ปกครองพ.ศ.๑๕๒๖-๑๕๕๘ รวม ๓๒ ปี
          ๑๓.พระเจ้าญายะปาละ (Nyayapala) ปกครองพ.ศ. ๑๕๕๘-๑๕๙๓ รวม ๓๕ ปี
          ๑๔.พระเจ้าอัมระปาละ (Amrapala) ปกครอง พ.ศ.๑๕๙๓-๑๖๐๖ รวม ๑๓ ปี
          ๑๕.พระเจ้าหัสดีปาละ (Hastipala) ปกครอง พ.ศ.๑๖๐๖-๑๖๒๐ รวม ๑๔ ปี
          ๑๖.พระเจ้ากศานติปาละ (Ksantipala) ปกครอง พ.ศ.๑๖๓๕-๑๖๘๑ รวม ๑๕ ปี
          size="2" face="Tahoma">๑๗.พระรามปาละ (Ramapala) ปกครอง พ.ศ.๑๖๓๕-๑๖๘๑ รวม ๔๖ ปี
          ๑๘.พระเจ้ายักษะปาละ (Yaksapala) ปกครองพ.ศ. ๑๖๘๑-๑๖๙๒ รวม ๑๑ปี
                    (ราชวงศ์นี้ปกครองรวม ๔๘๙)

 

สรุปราชวงศ์เสนะ (Sena Dynasty)

size="2" face="Tahoma">          ๑.พระเจ้าลาวเสนะ (Lavasena) มีอำนาจปกครองตนเอง
          ๒.พระเจ้ากาสเสนะ (Kasasena) มีอำนาจปกครองตนเอง
          ๓.พระเจ้ามณิตเสนะ (Manitasena) มีอำนาจปกครองตนเอง
          ๔.พระเจ้าราถิกเสนะ (Rathikasena) มีอำนาจปกครองตนเอง
          ๕.พระเจ้าลวังเสนะ (Lavamsena) มีอำนาจปกครองตนเอง
          ๖.พระเจ้าพุทธเสนะ (Buddhasena) ปกครองภายใต้ตุรกี
          ๗.พระเจ้าหริตเสนะ (Haritasena) ปกครองภายใต้ตุรกี
          ๘.พระเจ้าประติตเสนะ ZPratotasena) ปกครองภายใต้ตุรกี
size="2" face="Tahoma">                   (ราชงศ์นี้ปกครองรวม ๘๐ ปี)

 

size="2" face="Tahoma">     

สรุปพุทธศิลป์สมัยต่าง ๆ

size="2" face="Tahoma">      ๑.สมัยคันธาระ ศูนย์กลางอยู่ที่แคว้นคันธาระ ราวพ.ศ. ๖๐๐-๑๐๐๐
     ๒.สมัยมถุรา ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมถุรา แคว้นสุรเสนะ พ.ศ. ๖๐๐-๙๐๐
     ๓.สมัยทวารวตี ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอมราวดี รัฐอันธรประเทศ พ.ศ. ๗๐๐-๑๐๐๐
     ๔.สมัยคุปตะ ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองปาฏลีบุตร แคว้นมคธ พ.ศ. ๘๐๐-๑๒๐๐
     ๕.สมัยโจฬะ ศูนย์กลางอยู่ที่ตัญชาวุร์แคว้นโจฬะภาคใต้ พ.ศ. ๑๐๐๐-๒๐๐๐
     ๖.สมัยปาละ ศูนย์กลางอยู่ที่แคว้นมคธและเบงกอล พ.ศ. ๑๒๐๗-๑๗๐๐

 
ที่มา : หนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย โดย พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ
[ จำนวนคนอ่าน คน ]
หน้าแรก พระพุทธศาสนา ประวัติพระพุทธสาวก หัวข้อธรรม ธรรมปฏิบัติ ศาสนพิธี วันสำคัญทางศาสนา ทศชาติชาดก วิทยุธรรมะไทย
พุทธศาสนสุภาษิต พจนานุกรมพุทธศาสน์ ทำเนียบวัดไทย คลังแสงแห่งธรรม พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ข่าวธรรมะ กิจกรรมธรรมะ สมุดเยี่ยม
ธรรมะไทย - dhammathai.org Warning: include(../../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter08_2.php on line 661 Warning: include(../../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter08_2.php on line 661 Warning: include(): Failed opening '../../useronline.php' for inclusion (include_path='.:/usr/local/lib/php') in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter08_2.php on line 661