Warning: file(../../ad468-2.txt): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/randomad468-2.php on line 4
 
 
พระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย พุทธศาสนายุค พ.ศ.๕๐๐ - ๘๐๐
ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย
The History of Buddhism in India

     ๖.พระเจ้ากนิษกะมหาราช (King Kanishka)

     พ.ศ.๖๒๐ เมื่อกษัตริย์วงศ์กรีก-อินเดียของพระเจ้ามิลินท์เสื่อมลงโดยกษัตริย์วงศ์กรีกองค์สุดท้ายที่ปกครองคันธาระและอินเดียเหนือ นามว่า เฮกมีอุส (Hermaeus) ต่อมาอินเดียก็เริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง ชนชาติในทวีปเอเซียกลางคือพวกสกะและพวกตาต ก็ยกทัพข้ามแม่น้ำสินธุหลายครั้งและเกิดการรบพุ่งหลายครั้งหลายครา พุทธศานาที่ได้รับการอุปถัมภ์ก็อ่อนแอลง
     หลังจากนั้นพวกสกะซึ่งเป็นเผ่าเร่ร่อนจากเอเซียกลางก็เข้าโจมตีอินเดียสามารถยึดครองได้สำเร็จ แล้วสถาปนาอาณาจักรใหม่เรียกว่า อาณาจักรกุษาณ (Kusana) พระมหากษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์นี้คือ พระเจ้ากัทพิเสส (King Kadphises) หรือกุชุลกะสะ ชนเผ่านี้นักปราชญ์หลายท่าน สันนิษฐานว่าเป็นพวกเชื้อสายมองโกลผสมกรีก บางตำนานเรียกว่าพวกยูเอจิ (Yuehchi) บางตำนานเรียกพวกสกะ (Sakas) เดิมอาศัยอยู่เอเชียกลางและแถบเตอรกีสถานของจีน (ปัจจุบันเรียกว่า ซินเกียงของจีน)

เหรียญตรารูปพระพุทธเจ้า สมัยพระเจ้ากนิษกะ โปรดสังเกตอักษรที่จารึกในเหรียญ ที่คล้ายกับภาษาอังกฤษปัจจุบัน

     พระเจ้ากัทพิเสส เป็นผู้นำเผ่าสกะที่เข้มแข็งเข้ารุกรานอินเดีย โดยเฉพาะคันธาระ ปัญจาป ตักสิลา โดยเฉพาะในส่วนเหนือ เมื่อมาอยู่ในอินเดียได้คบหากับชาวอินเดีย จึงเกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนาเห็นได้จากการพบเหรียญตราของพระองค์ที่ค้นพบ ณ เมืองตักกศิลาโดยจารึกว่า "กุชุล กสฺส กุสาณ ยวุคส ธรฺมทิทศ" ซึ่งแปลว่า ของพระเจ้ากุชุละ กสะราชาแห่งกุษาณะผู้ดำรงมั่นอยู่ในธรรม จนถึงสมัยพระเจ้ากณิษกะพระนัดดาได้ครองราชย์แทน ราว พ.ศ.๖๒๑ พระองค์มีความเลื่มใสในพุทธศาสนามากจนได้รับขนานนามว่า "พระเจ้าอโศกองค์ที่ ๒" และทรงแผ่อาณาจักรกว้างไกลครอบคลุม คันธาระ แคชเมียร์ สินธุ และมัธยมประเทศ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอิหร่าน อัฟกานิสาน ปากีสาน เตอร์กเมนิสถาน และบางส่วนของอินเดีย) ในสมัยนี้พุทธศาสนามหายานแผ่ไปสู่เอเชียกลางและจีนอย่างรวดเร็ว วรรณคดีภาษาสันสกฤตได้เจริญรุ่งเรืองแทนภาษาบาลี พระภิกษุที่มีความรู้ในยุคนี้คือ ท่านปารศวะ ท่านอัศวโฆษ ท่านวสุมิตร
     ในด้านการแกะสลักพุทธศิลป์คันธาระ ซึ่งเริ่มต้นในสมัยพระเจ้ามิลินท์ ก็มีความเจริญอย่างขีดสุดในสมัยพระองค์ พระองค์ทรงสร้างวัดวาอาราม เจดีย์วิหารอย่างมากมาย พระเฮี่ยนจังพระสงฆ์ชาวจีนผู้จาริกสู่อินเดียเมื่อราวพ.ศ.๑๑๐๐ เมื่อจาริกถึงเมืองปุรุษปุระ เมืองหลวงของพระองค์จึงกล่าวว่าพระเจ้ากนิษกะ ทรงสร้างวิหารหลังหนึ่ง ทรงให้นามว่า กนิษกะมหาวิหาร แม้ว่าพระวิหารจะทรุดโทรมลงแล้ว แต่พระวิหารมีศิลปะที่งดงามยากที่จะหาที่ใดเหมือน และยังมีพระภิกษุอาศัยอยู่บ้าง ทั้งหมดเป็นพระนิกายหินยานหรือเถรวาท


face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">     ๗.สังคายนาครั้งที่ ๔ (The Fourth Buddhist Synod)
<

     พ.ศ.๖๔๓ สืบเนื่องมาจากพระองค์ศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า จึงอาราธนาพระสงฆ์บรรยายธรรมในพระราชวัง แต่พระที่บรรยายมีมากมายหลายนิกาย แต่ละองค์ก็แสดงนิกายที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เกิดความสับสนยิ่งและโดยการแนะนำของพระปารัศวะ ในนิกายสรวาสติวาทิน พระเจ้ากนิษกะจึงโปรดทำให้สังคายนาขึ้นที่ชาลันธระ แคว้นกัศมีระ ประชุมสงฆ์ ๕๐๐ รูป พระปารัศวะเป็นประธาน (แต่หนังสือบางเล่มกล่าวว่า พระวสุมิตรเป็นประธาน) เพื่อป้องกันการสูญหายของพระธรรมวินัย พระองค์รับสั่งให้จารึกลงแผ่นทองแดงบรรจุในหีบศิลา แล้วสร้างสถูปใหญ่รักษาไว้อย่างมั่งคง (เป็นที่น่าเสียดายที่ปัจจุบันเราไม่มีโอกาศได้เห็นจารึกที่กล่าวมาเพราะการทำลายล้างของมุสลิมในแคชเมียร์) หลังจากนั้นพระองค์สั่งพระธรรมทูคออกเผยแพร่สู่เอเชียกลาง จนพุทธศาสนาเจริญอย่างรวดเร็ว

     >บทสรุปสังคายนาครั้งที่ ๔ (ฝ่ายมหายาน)

          ๑. ทำที่วัดกุณฑลวันวิหาร แคว้นกัศมีร์ (บางแห่งว่าที่วัดกุวนะ เมืองชาลันธร)
          ๒. มีพระปารศวะเป็นประธาน (บางเล่มกล่าวว่าพระวสุมิตร)
          ๓. พระอัศวโฆษ เป็นรองประธาน
          ๔. พระเจ้ากนิษกะเป็นองค์อุปถัมภ์
          ๕. พระอรหันต์ ๕๐๐ รูปเข้าร่วมประชุม
          ๖. เพื่อกำจัดความขัดแย้งภายในคณะสงฆ์ ๑๘ นิกาย
          ๗. ทำเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานได้ราว ๖๔๓ ปี (บางแห่งว่า ๖๙๖ ปี)
          ๘. ใช้ภาษาสันสกฤตจารึกพระไตรปิฎก
          ๙. รับสั่งให้จารึกลงในแผ่นทองแตงแล้วบรรจุลงในพระเจดีย์
          ๑๐. เป็นการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นลายลักษณะอักษรเป็นครั้งแรก

     เมื่อพระเจ้ากนิษกะสิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าหุวิชกะได้ปกครองต่อมา พุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น ต่อมาพระองค์ได้บูรณะเพิ่มเติมพระเจดีย์ที่พุทธคยาให้ดูใหญ่โตสวยงามมากขึ้น กษัตริย์ที่ปกครองต่อจากพระเจ้าหุวชกะคือ พระเจ้าวาสุเทวะ พุทธศาสนาก็ยังเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาในอินเดียตอนเหนือ , ตอนกลาง เอเซียกลาง และจีน หลังจากราชวงศ์กุษาณะ ของพระเจ้ากนิษกะเสื่อมลง พุทธศาสนาก็พลอยอับรัศมีลง ศาสนาพราหมณ์ก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกและเจริญอย่างรวดเร็ว ราชวงศ์คุปตะก็เจริญขึ้นแทน ยุคนี้ถือว่าเป็นยุคทองของอินเดีย เพราะวรรณคดี ศิลปกรรม ปรัชญา ศาสนาเจริญอย่างมากโดยเฉพาะศาสนาฮินดู กษัตริย์หลายพระองค์ในราชวงศ์นี้เป็นฮินดู แต่ก็อุปถัมภ์พุทธศาสนาอยู่โดยเฉพาะฝ่ายมหายาน กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคือ พระเจ้าจันทรคุปต์ พระเจ้าสมุทรคุปต์ พระเจ้าวิษณุคุปต์ และพระเจ้าสกันธคุปต์ เมืองหลวงของราชวงค์นี้อยู่ที่รัฐพิหารในปัจจุบัน


      size="4" color="#CC0000">๘.พระนาครชุน (Nagarajuna)
size="4">

พระนาครชุน ตามแนวคิดธิเบต

ท่านผู้นี้มีชีวิตอยู่ราวพ.ศ.๗๐๙ ถึง ๗๓๙ ปี กล่าวกันว่าท่านเป็นสหายและอายุรุ่นเดียวกันกับพระเจ้ายัชญศรี กษัตริย์แห่งศตวาหนะ เป็นนักปรัชญาทางพุทธศาสนา เป็นผู้ก่อตั้งพุทธปรัชญานิกายมาธยมิกขึ้น ซึ่งเรียกว่านิกายมาธยมิกขึ้น ซึ่ง เรียกว่านิกายศูนยวาท ท่านเกิดที่อินเดียใต้ ในสกุลพราหมณ์แต่ในรายงานของพระถังซัมจั๋งกล่าว่า ท่านเกิดที่ทิวารภะ เมืองโกศลภาคใต้ ในสมัยเจ้าศตวาหนะ แห่งราชวงศ์อานธระ เมื่อโตขึ้นเป็นคนเฉลียวฉลาด สามารถอ่านพระไตรปิฎกจบภายใน ๙๐ วัน แต่ก็ยังไม่พอใจ ต่อมาเดินทางไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทากับท่านราหุลภัทรจนชำนาญ ต่อมาได้รับหนังสือมหายานศาสตร์เล่มหนึ่งจากพระผู้เฒ่าแถบภูเขาหิมาลัย ผลงานของท่านที่เด่นที่สุดคือ มัธยมิกการิกา หรือมัธยมิกศาสตร์ ประกอบด้วยการิกา ๔๐๐ การิกาและ สุหฤล เลขะ หรือแปลว่าจดหมายถึงเพื่อนคือ พระเจ้ายัชญศรี เคาตมีบุตร

     ปัจจุบันในรัฐอันธรประเทศภาคใต้ มีเมืองหนึ่งชื่อว่า นาครชุน โกณฑะ (Nagarajunakonda) ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกฤษณะ ตำบลปานนาด มณฑลกุนตุร ซึ่งในอดีตเป็นที่ตั้งเมืองวิชัยนคร (Vijayanagar) เมืองหลวงของจักรพรรดิวงศ์อิกษวากุแห่งอันธารประเทศ ซึ่งพระนาครชุนได้ไปอาศัยเป็นเวลานาน ในยุคที่นาครชุนโกณฑะเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด คือในสมัยศรีวีรบุรุษทัตตะแห่งราชวงศ์อิกษวากุ โดยมีเมืองวิชัยบุรีเป็นเมืองหลวง ยังมีพุทธสถานวัดวาอารามที่ได้รับการบูรณะและดูแลเป็นอย่างดี ในบั้นปลายแห่งชีวิตท่านนาครชุน ใช้ชีวิตอยู่ที่ภูที่วัดเขาศรีบรรพต บนยอดเขาเมืองนาครชุนโกณฑะนี้เอง

     นอกจากท่านที่กล่าวมายังมีอีกหลายรูปที่มีชื่อเสียงคือ พระสถวีระพระพุทธปาลิตทั้งสองรูปเป็นผู้ประมวลหลักปรัชญาศูนยวาท ที่พระนาครชุนบอกไว้ และเป็นผู้ก่อตั้งนิกายตรรกศาสตร์สองนิกายคือ นิกายปราสังคกะและนิกายสวาตันตระ และพระภาววิเวก พระอารยเทวะ พระศานติเทวะ พระศานตรักษิตะ และพระกมลศีล เป็นต้น


face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">     ๙.พระอัศวโฆษ (Ashvagosa)

      ในยุคพระเจ้ากนิษกะนี้ได้มีนักปราชญ์ผู้เรืองนามท่านหนึ่งนามว่าพระอัศวโฆษ เป็นนักกวี นักโต้วาที นักประพันธ์และมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ลัทธิมหายานสมัยพระเจ้ากนิษกะ
     ท่านเป็นชาวเมืองสาเกต (Saket) ใกล้เมืองอโยธยา (Ayodhya) ปัจจุบัน มารดาชื่อสุวรรณกษี ท่านมีความชำนาญในการใช้ภาษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาสันสกฤต เพราะว่าท่านเป็นผู้ได้รับสมัญญาว่าปฐมกวี และธีรบุรุษ นักปราชญ์บางท่านเชื่อว่าท่านกาลีทาส นักกวีคนสำคัญชาวฮินดู ก็ได้รับความรู้ความชำนาญทางบทกวีจากท่านอัศวโฆษนี้เอง ผลงานทางบทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงคือ พุทธจริต เป็นมหากาพย์บรรยายชีวประวัติของพระพุทธองค์อย่างไพเราะด้วยภาษาสันสกฤต มี ๒๘ ปริจเฉท และเรื่ือง เสานทรานันทะ ซึ่งบรรยายเรื่องทรงให้พระนันทะ พระอนุชาเกิดจากพระนางประชาบดีโคตมี ทรงบรรพชา เพราะพระอนุชายังอาลัยอาวรณ์กับคู่รัก และสารีปุตระปกรณ์ ซึ่งต้นฉบับภาษาสันกฤตถูกค้นพบที่ตรูฟาน (Turfan) ในเอเชียกลาง นอกจากนั้นท่านยังได้แต่งบทเพลงที่ชื่อว่า คาณทีสโตตรคาถา มี ๒๙ คาถา เป็นต้น


      size="4" color="#CC0000">๑๐.พระอสังคะ (ASanga)
size="4">

     ท่านมีชีวิตอยู่ราว พ.ศ.๗๐๐ ปี เป็นผู้ก่อตั้งยุคที่เรียกว่า ยุคคลาสิกแห่งพุทธปรัชญา ตระกูลนี้มีพี่น้องร่วมกัน ๓ คน คือ อสังคะ วสุพันธุ และววัญจิวัตสะ ท่านเกิดที่เมืองปุรุษปุระ หรือเปชวาร์ประเทศปากีสถานปัจจุบัน ในตระกูลพราหมณ์ เกาศิกโคตร มีมารดาชื่อปสันนศีลา ท่านมีบิดาร่วมกับท่านวสุพันธุและท่านวิรัญจิวัตสะแต่คนละมารดา บางตำนานกล่าวว่าบิดาท่านเป็นกษัตริย์ และได้รับการศึกษาจากศาสนาพราหมณ์เป็นอย่างดี และได้รับการอุปสมบทพร้อมกันทั้งสองรูป ต่อมาได้ศึกษาวิภาษาศาสตร์ที่แคว้นกัษมีร์
     ท่านเป็นพระสังกัดนิกายสรวาสติวาท ท่านใช้ชีวิตส่วนมากที่เมืองอโยธยา เป็นอาจารย์องค์สำคัญของนิกายโยคาจาร และเป็นลูกศิษย์ของพระเมตไตรยนาถ ผู้ก่อตั้งนิกายโยคาจาร และมรณภาพที่นั้น เมื่ออายุได้ ๘๐ ปี ผลงานของท่าน คือ มหายานสัมปริครหะ ประกรณอารยวาจา โยคาจารภูมิศาสตร์และมหายานสูตราลังการ ๒ เล่ม


      size="4" color="#CC0000">๑๑.พระวสุพันธุ (Vasubandhu)
size="4">

     ท่านมีชีวิตอยู่ราว พ.ศ.๗๐๐ ปี เป็นน้องชายของพระอสังคะเป็นบุตรสกุลพราหมณ์ เมืองปุรุษปุระ (เปชวาร์) ในวันเด็กได้ศึกษาคัมภีร์พระเวทมาเป็นอย่างดี ต่อมาจึงได้อุปสมบทตามพี่ชาย แล้วย้ายตามมาเข้าสังกัดนิกายโยคาจาร พระวสุพันธุพำนักในอารามที่เมืองอโยธยาอยู่พอสมควร หนังสือเล่มสำคัญที่ท่านแต่งคือ อภิธรรมโกศ เป็นคลังความรู้แห่งพุทธปรัชญามี ๖๐๐ การิกา และปรมัตสัปตติ เพื่อโต้แย้งหนังสือสางขยสัปตติของครูลัทธิสางขยะชื่อว่าวินธยาวาสี นอกจากนั้นยังมีอรรถกถาสัทธรรมปุณฑิริกสูตรอรรถกถา มหาปรินิพพานสูตร อรรถกถาวัชรัจเฉทิกา ปรัชญาปาริตาและวิชญาปติ มาตราสิทธิ เป็นต้น คำว่าวสุพันธุ น่าจะมี ๒ ท่านคือ รูปแรกเกิดราว พ.ศ.๗๐๐ ซึ่งเป็นองค์ที่กล่าวถึง ส่วนอีกรูปเกิดราว พ.ศ.๑๐๔๕ ที่เปชวาร์เป็นบุตรของพราหมณ์เกาศิกะ มารดาชื่อพิลินทิ เป็นบุตรคนที่ ๒ ในบรรดาบุตร ๓ คน ท่านวสุพันธุท่านนี้เป็นผู้แต่งอภิธรรมโกศศาสตร์ ซึ่งเป็นคลังความรู้แห่งพุทธปรัชญา ต่อมาท่านได้เป็นอาจารย์ของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ และพระเจ้าพาลาทิตย์ผู้เป็นพระโอรสอีกด้วย


      size="4" color="#CC0000">๑๒.พระทินนาคะ (Dinnaga)
size="4">

     ท่านนี้เกิดในสกุลพราหมณ์ ที่สิงหวักตระ เมืองกาญจีปุรัม อาณาจักร ปัณฑวะหรือทราวิท อินเดียภาคใต้ เมื่ออุปสมบทแล้วมีชื่อเสียงโด่งดังจนได้รับฉายาว่า "บิดาแห่งนิยายศาสตร์สมัยกลาง" เพราะท่านเป็นผู้ก่อตั้งตรรกวิทยาทางพุทธศาสนาขึ้น เมื่ออุปสมบทใหม่ ๆ ท่านบวชในนิกายวาตสีปุตริยะ ของหินยาน ต่อมาจึงมานับถือลัทธิมหายาน ท่านเป็นศิษย์คนสำคัญของพระวสุพันธุ ท่านท่องเที่ยวประกาศลัทธิมหายานทั่วรัฐโอริสสามหาราษฎร์ และส่วนอื่น ๆ กล่าวกันว่าท่านเดินทางไปมหาวิทยาลัยนาลันทาและโต้วาทีชนะพราหมณ์คนหนึ่งชื่อว่าสุทุรชยะ และต่อมาท่านก็มรณภาพในป่าลึก แคว้นโอริสสา หนังสือสำคัญที่เป็นผลงานชิ้นเยี่ยมคือประมาณสมุจจัยว่าด้วยการให้เหตุผลเชิงตรรกวิทยา นยายประเวศ เหตุจักรฑมรุ เป็นต้น


      size="4" color="#CC0000">๑๓.พระธรรมกีรติ (Dhammakirti)
size="4">

     พระธรรมกีรติ เกิดที่บ้านจุฑามณี หรือตริมาลัย รัฐโจละ อินเดียใต้ บิดาเป็นพราหมณ์นามว่าโรรุนันทะ (Rorunanda) เป็นลูกศิษย์ของพระทินนาคะและเป็นนักตรรกวิทยาที่หาตัวจับยากในยุคนั้น ท่านศึกษาตรรกวิทยาจากพระอิศวรเสน ผู้เป็นศิษย์ของพระทินนาค ต่อมาได้ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทาและฝากตัวเป็นศิษย์ของพระธรรมปาละ ผลงานการเขียนของท่านที่สำคัญเช่น ประมาณวาริตา ประมาณวินิจจัย นยายพินทุ สัมพันธปรึกษาเหตุพินทุ วาทนยายะ สมานันตรสิทธิ หนังสือเหล่านี้บรรยายถึงทฤษฎีความรู้ทางพุทธศาสนาและแสดงถึงปัญญาชั้นสูง


      size="4" color="#CC0000">๑๔.พระสถิรมติ (Sthirmati)

      พระสถวีระตามประวัติกล่าว่า ท่านเกิดที่หมู่บ้านทันทการันยะอินเดียภาคใต้ ในครอบครัวชั้นต่ำ เมื่อยังเป็นเด็กท่านได้ถามบิดาบ่อย ๆ ว่าอาจารย์ของผมอยู่ที่ไหน เมื่อบิดากล่าวว่าอาจารย์ของลูกคือใคร ท่านตอบว่าท่านวสุพันธุที่แคว้นมคธคืออาจารย์ ต่อมาเมื่ออายุ ๗ ขวบก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสำนักพระวสุพันธุ ได้ศึกษาพระไตรปิฎกนิกายเถรวาท ตำราบางเล่มกล่าวว่าท่านวสุพันุกลับชาติมาเกิดเป็นท่านสถิรมติ ต่อมาด้วยการเรียนที่จริงจังหลังจากอุปสมบทท่านจึงเป็นผู้ชำนาญในพระอภิธรรมปิฏก งานแต่งหนังสือท่านมีไม่มากโดยมากจะเป็นการเขียนฎีกา เช่น แต่งฎีกาให้พระวสุพันธุหลายเรื่อง เช่น ฎีกาคัมภีร์อภิธรรมโกศ เป็นต้น


      size="4" color="#CC0000">๑๕.พระจันทรมนตรี (Chandramantri)
size="4">

     เป็นศิษย์ของท่านสถิรมติข้างต้น เกิดในวรรณะกษัตริย์ในอินเดียภาคตะวันออก ท่านได้ไปจำพรรษาที่มหาวิทยาลัยทาเป็นเวลาหลายปีได้รจนาปกรณ์อรรถาธิบายปัญจวิทยาสถานะ แต่งคัมภีร์ทศภูมิ ฎีกาคัมภีร์อวตังสกะ, ฎีกาลังกาวตาระ และฎีกาคัมภีร์ปรัชญาปารมิตา, อรรถกถาคัมภีร์วินัยและคัมภีร์ตรีกายาวตารศาสตร์ รวมแล้วผลงานของท่านรวมกันมีมากกว่า ๕๐๐ ปกรณ์ทีเดียว นอกจากท่านจันทรมนตรี แล้วยังมีอีกท่าน หนึ่ง คือ ท่านรัตนเกียรติ (Ratankirti) ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ผลงานที่เด่นคือฎกาคัมภีร์อภิธรรมโกศ เป็นต้น


face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">     ๑๖.พระคุณประภา (Gunaprabha)

พระคุณประภา

      พระอาจารย์คุณประภา เดิมเกิดในวรรณะพราหมณ์เป็นชาวเมืองมถุรา ตอนเหนือของอินเดีย เพราะเกิดในวรรณะพราหมณ์ในวัยเด็กจึงได้ศึกษาคัมภีร์พระเวทจนช่ำชองเป็นอย่างดี เมื่อมาเลื่อมใสในพุทธศาสนาแล้วก็เข้ารับการอุปสมบทเป็นภิกษุ แล้วได้ศึกษาหลายลัทธิหลายสาขา เช่น ลัทธิในกายของท่านวสุพันธุจนฉลาดช่ำชอง กล่าวกันว่า ท่านสามารถสวดสาธยายโศลกในพระวินัยปิฎกได้ถึงแสนโศลกทีเดียว ท่านมีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดจึงมีพระภิกษุสามเณรทั่วชมพูทวีปมาศึกษากับท่านไม่น้อยกว่าพันรูปเสมอ หนังสือที่ท่านแต่งคือ อรรถกถาวินัย ปิฎกของนิกายสรวาสติวาท ต่อมาท่านก็มรณภาพที่เมืองมถุรา บ้านเกิดของท่าน




      size="4" color="#CC0000">๑๗.พระพุทธปาลิตะ (Buddhaplita)
size="4">

     ท่านพุทธปาลิตะ เป็นชายอินเดียภาคใต้ เกิดที่หัมสะกริทะ (Hamsakrida) ในตระกูลวรรณพราหมณ์ที่ตัมปาละ เมื่อโตขึ้นได้อุปสมบทในสำนักของท่านธรรมปาละ ที่นาลันทา และศึกษาปรัชญาของท่านนาครชุนที่นั่น ต่อมาจึงเดินทางกลับสู่วัดเดิมที่อินเดียภาคใต้ ผลงานที่ท่านแต่งเช่นฎีกามาธยมิกศาสตร์เพื่ออธิบาย คัมภีร์มาธมิกของท่านนาครชุนให้กระจ่างขึ้น ในยุคนั้นคณาจารย์ฝ่ายศูนยวาทได้แบ่งออกเป็น ๒ สาขา ซึ่งสืบต่อมาจากท่านสังฆรักษิตโดยท่านได้รับการยกย่องให้เป็นประธานของสาขาที่ ๑ ของนิกายนี้


      size="4" color="#CC0000">๑๘.พระภาววิเวก (Bhavavivek)
size="4">

     ท่านภาววิเวก เป็นชาวอินเดียภาคใต้เช่นกัน เกิดในตระกูลวรรณะกษัตริย์มัลยรา พ.ศ.๑๐๐๐ เมื่อโตแล้วก็ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ ได้ไปศึกษาธรรมกับสำนักท่านสังฆรักษิตในอินเดียตอนกลาง เมื่อศึกษาจนแตกฉานแล้วจึงได้กลับไปเผยแพร่ที่อินเดียภาคใต้ ผลงานของท่านที่เด่นคือปรัชญาปทีปศาสตร์ และท่านได้เป็นประธานวัดในอินเดียใต้ถึง ๕๐ วัด ก็มีพระภิกษุสามเณรมาศึกษากับท่านเป็นจำนวนพัน เหมือนท่านพุทธปาลิตะเขียนไว้ ท่านกลับไม่เห็นด้วยกับพระพุทธปาลิตะหลายประเด็น จึงได้แต่งฎีกาแก้ คือ ปรัชญาปทีปศาสตร์ (ชญาณทีปะ) ขึ้น ต่อมาท่านได้รับการยกย่องให้เป็นอาจารย์สาขาที่ ๒ เช่นเดียวกับท่านพุทธปาลิตะ


      size="4" color="#CC0000">๑๙.พระสันติเทวะ (Santideva)

      ท่านสันติเทวะตามประวัติกล่าวกันว่าเป็นโอรสของกษัตริย์กุศลวรมัน (Kushalavarman) และพระราชินีวัชรโยกินี ๖(Vajravogini) เมืองเสาราษตระทางเหนือของพุทธคยา สมัยเด็กท่านมีนามว่า สันติวรมัน (Santivarman) พระบิดาตั้งไว้ในตำแหน่งองค์รัชทายาทเพื่อสืบต่อราชบัลลังก์ แต่เกิดเบื่อหน่ายในชีวิตฆาราวาสวิสัย จึงอุปสมบทเป็นภิกษุในสำนักท่านวิชัยเทพ องค์อธิการบดีมหาวิทยาลัยนาลันทา และศึกษาที่นั่นเป็นเวลานานกล่าวกันว่า ท่านเป็นผู้ชำนาญในญาณสมาบัติจนสามารถเข้าสมาบัติไปสอบถามข้อธรรมะและปัญหาที่สงสัยกับพระมัญชุศรีที่สวรรค์ได้ ผลงานการแต่งที่เด่นคือ คัมภีร์โพธิจริยาวตารศาสตร์ ท่านเป็นคณาจารย์ฝ่ายมหายานที่มีชื่อเสียงพอสมควรในยุค พ.ศ.๗๐๐


      size="4" color="#CC0000">๒๐.พุทธศิลป์มถุรา (Mathura Art)
size="4">

พระพุทธรูปสมัยมถุรา

     พุทธศิลป์ถุราได้ก่อตัวขึ้นมาใน พ.ศ.๖๐๐ หรือพุทธศตวรรษที่ ๖ มถุราเป็นชื่อเมืองหนึ่งทางตอนเหนือของอินเดีย ใกล้เมืองเดลลีเมืองหลวงตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา เป็นเมืองหลวงของแคว้นสุรเสนะ เดิมพุทธปฏิมากรรมหินทรายที่เป็นอินเดียแท้ ได้เริ่มขึ้นในสมัยมถุรานี้ พุทธศิลป์สมัยคันธาระเป็นศิลปะแบบกรีก-โรมัน ต่อมาช่างสกุลตันธาระก็ได้เผยแพร่เทคนิคและวิธีการแกะสลัก ให้ชาวพื้นเมืองอินเดียพร้อมทั้งคติการสร้างพระพุทธรูปก็เปลี่ยนจากเดิม ที่ไม่กล้าสร้างรูปพระศาสดาเพราะความเคารพ มีเพียงแต่สร้างสัญลักษณ์แทน เช่น รูปดอกบัว รูปธรรมจักร เป็นต้น มาเป็นสร้างรูปเคารพแบบถาวร ความรู้และทัศนคติได้ถ่ายทอดสู่ชาวอินเดียแล้ว การสร้างพระพุทธรูปแบบมถุราจึงได้เริ่มขึ้น ช่างชาวอินเดียได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบมาเป็นอินเดียเอง พระเกศาทำเป็นก้นหอย จีวรเป็นริ้วบางแนบพระองค์ พระพักตร์เป็นคนอินเดีย แทนที่จะเป็นฝรั่งแบบคันธาระ ทำพระรัศมีวงกลมรอบพระวรกายมีริ้วสวยงาม ขณะที่สมัยคันธาระพระรัศมีเป็นแบนเรียบธรรมดาไม่มีลวดลาย พระพุทธรูปสมัยมถุรานี้ นิยมทำเป็นปางประทับยืนมากที่สุด ประหัตถ์ขวายกขึ้นในท่าปางประทานอภัย สังฆาฏิพาดเหนือพระอังสะด้านซ้ายเพียงด้านเดียว กรอบหน้าไม่สูงจนเกินไป พระนาสิกไม่โด่งเหมือนสมัยคันธาระ ปางที่นิยมทำรองลงมาคือปางปรินิพพาน เช่น พระพุทธรูปปางปรินิพานที่เมืองกุสินารา ก็สร้างโดยนายช่างชาวเมืองมถุรา ชื่อว่าทินนานับเป็นพุทธศิลป์เก่าแก่อีกองค์ที่ยังคงถูกรักษาจนถึงปัจจุบัน พุทธศิลป์สมัยมถุรานี้นับว่าเป็นพุทธศิลป์ที่งดงามแบบอินเดียแท้


      size="4" color="#CC0000">๒๑ . พุทธศิลป์สมัยอมราวดี (Amaravati Arts)
size="4">

พระพุทธรูปสมัยอมราวดี

     พ.ศ.๗๐๐ เป็นต้นมา ได้เกิดพุทธศิลป์ที่เกิดขึ้นในอินเดียภาคตะวันออกเฉียงใต้ ในรัฐอันธรประเทศปัจจุบัน รัฐนี้มีเมืองไฮเดอราบัด เป็นเมืองหลวง อาณาจักรอมราวดี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกฤษณะ อำเภอกันตูร์ รัฐอันธรประเทศ อมราวดีเขียนเป็นภาษาสันสกฤตหรือบาลีว่าอมราวตี (Amaravati) เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโบราณ เชื่อกันว่าพุทธศาสนาเข้าสู่เขตนี้สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ส่งพระธรรมทูตไปเผยแพร่พุทธศาสนาได้เจริญ สืบต่อมาตามลำดับโดยไม่ขาดสาย เมืองอมราวดีตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำกฤษณะ พุทธศิลป์ยุคนี้มีลักษณะพระเกศาทำเป็นรูปก้นหอย พระพักตร์คล้ายใบหน้าคนอินเดียใต้ ห่มจีวรเฉียงเป็นริ้วชาย จีวรเป็นขอบหนาไม่แนบพระสรีระเหมือนสมัยมถุรา ด้านซ้ายจีวรวกขึ้นมาพาดข้อพระหัตถ์

ถ้าเป็นพระพุทธรูปยืนจะเอียงพระโสณีเล็กน้อย พุทธศิลป์สมัยอมราวดีนี้ได้มีอิทธิพลต่อการสร้างพระพุทธรูปหลาย ๆ ประเทศ เช่นมอญ พม่า เขมร ศรีวิชัย สุมาตรา หรือแม้กระทั่งในไทยเราเอง อย่างไรก็ตามพระพุทธรูปยุคนี้ฝีมือยังนับว่าหยาบ ไม่พิถีพิถันมากนัก อาจจะเป็นเพราะช่างต้องการตัดรายละเอียดออกไป ให้ง่ายต่อการแกะสลัก กลายมาเป็นศิลปะเฉพาะของอมราวดี

     นอกจากนั้นที่เมืองอมราวดีนี้ยังมีพุทธสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่งเช่นที่ นาครชุนโกณฑะ ตั้งอยู่ไม่ห่างไกลจากเมืองอมราวดี ดินแดนที่พุทธศาสนามีความเจริญมายาวนาน แม้ปัจจุบันยังได้รับการดูแลไว้เป็นอย่างดี พุทธศิลปยุคนี้กินเวลาตั้งแต่ พ.ศ.๗๐๐ จนถึงพ.ศ. ๑๐๐๐ โดยประมาณต่อจากนั้นมาก็ไม่มีการพัฒนาเพิ่มเติมอีก


 

 

>     สรุปราชวงศ์กุษาณะ
>

     ๑. พระเจ้ากุชุละกัทพิเสส เริ่มพ.ศ.๕๕๘-๖๐๘ รวม ๕๐ ปี
     ๒. พระเจ้าเวมะกัทพิเสส เริ่มพ.ศ.๖๐๘-๖๒๑ รวม ๑๓ ปี
     ๓. พระเจ้ากนิษกะมหาราช เริ่มพ.ศ. ๖๒๑-๖๔๔ รวม ๒๓ ปี
     ๔. พระเจ้าวาสิฎฐกะ เริ่มพ.ศ. ๖๔๔-๖๖๗ รวม ๒๓ ปี
     ๕. พระเจ้าหุวิชกะ เริ่มพ.ศ. ๖๖๗-๖๙๐ รวม ๒๓ ปี
     ๖. พระเจ้ากนิษกะที่ ๒ เริ่มพ.ศ. ๖๙๐-๗๐๒ รวม ๑๒ ปี
     ๗. พระเจ้าวาสุเทวะที่ ๑ เริ่มพ.ศ. ๗๐๒-๗๑๙ รวม ๑๗ ปี
     ๘. พระเจ้าพระเจ้ากนิษกะที่ ๓ เริ่มพ.ศ.๗๑๙ - (ไม่อาจระบุเวลา)
     ๙. พระเจ้าวาสุเทวะที่ ๒ (ไม่อาจระบุเวลา)

 

 
ที่มา : หนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย โดย พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ
[ จำนวนคนอ่าน คน ]
หน้าแรก พระพุทธศาสนา ประวัติพระพุทธสาวก หัวข้อธรรม ธรรมปฏิบัติ ศาสนพิธี วันสำคัญทางศาสนา ทศชาติชาดก วิทยุธรรมะไทย
พุทธศาสนสุภาษิต พจนานุกรมพุทธศาสน์ ทำเนียบวัดไทย คลังแสงแห่งธรรม พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ข่าวธรรมะ กิจกรรมธรรมะ สมุดเยี่ยม
ธรรมะไทย - dhammathai.org Warning: include(../../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter05_3.php on line 760 Warning: include(../../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter05_3.php on line 760 Warning: include(): Failed opening '../../useronline.php' for inclusion (include_path='.:/usr/local/lib/php') in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter05_3.php on line 760