<พุทธศาสนายุค
พ.ศ.๕๐๐-๘๐๐
(Buddhism in B.E. 500-800)
face="Tahoma" size="5">
หลังจากที่พระเจ้าปุษยมิตรแห่งราชวงศ์สุงคุได้ทำลายพุทธศาสนาลงอย่างหนัก
ทำให้สถานการณ์พุทธศาสนาโดยรวมอ่อนแอลงอย่างมากแต่ศาสนาพราหมณ์เริ่มได้รับการสนับสนุนฟื้นฟูมากขึ้น
ราชวงศ์สุงคะปกครองอยู่ ๑๐๒ ปีจึงสิ้นสุดลง
ต่อมาจึงปกครองด้วยราชวงศ์กานวะ ราชวงศ์นี้ส่วนมากเป็นพุทธศาสนิกชนจึงทำให้สถานการณ์พุทธศาสนาดีขึ้นมาก
ราชวงศ์นี้มีกษัตริย์ปกครอง ๔ พระองค์ รวมเวลา
๔๕ ปี ในยุคนี้ได้มีพระมหากษัตริย์ที่มีเดชานุภาพยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในอินเดียทางเหนือโดยสายเลือด
พระองค์ไม่ใช่ชาวอินเดียอารยัน แต่เป็นเชื้อสายฝรั่งกรีก
ผู้ที่ทำให้พุทธศาสนาแผ่ไพศาลในอินเดียเหนือและเลยไปถึงเอเชียกลาง
พระองค์คือพระเจ้ามิลินท์หรือเมนันเดอร์ตามสำเนียงกรีก
size="4" color="#CC0000">๑.พระเจ้ามิลินท์
(King Milinda)
 |
เหรียญตราของพระเจ้ามิลินท์
|
พระเจ้ามิลินท์
(Milinda) หรือเมนันเดอร์ (Menander) ได้ขยายอิทธิพลลงมาถึงเมืองตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำคงคา
ปรากฏในตำนานฝ่ายบาลีและฝ่ายจีนว่า ตอนแรกพระองค์มิได้เลื่อมใสในพุทธศาสนา
ได้ขัดขวางพุทธศาสนาด้วยพระราโชบายต่าง ๆ อนึ่ง
เนื่องจากพระองค์เป็นผู้แตกฉานในวิชาไตรเพทและศาสนาปรัชญาต่าง
ๆ รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย จึงได้เที่ยวประกาศโต้วาทีกับเหล่าสมณะพราหมณ์
ก็สามารถเอาชนะสมณะพราหมณ์เหล่านั้นรวมทั้งพระภิกษุในพุทธศาสนา
ขนาดภิกษุสงฆ์พากันอพยพหนีออกจากนครสาคละ (ปัจจุบันอยู่ในเขตปากีสถาน)
จนหมดสิ้น เมืองสาคละว่างภิกษุสงฆ์อยู่ถึง ๑๓
ปี จนกระทั้งคณะสงฆ์ต้องเลือกสรรค์ ส่งพระภิกษุหนุ่มผู้เจนจบพระไตรปิฎกและลัทธินอกพระศาสนาองค์หนึ่งชื่อ
พระนาคเสนขึ้น ข้อความที่อภิปรายปุจฉาวิสัชนากันนั้นต่อมามีผู้รววบรวมขึ้นเรียกว่า
มิลินทปัญหา (Milindapanha) คัมภีร์มีทั้งในฉบับสันสกฤตและบาลี
ในฉบับสันสกฤต ให้ชื่อว่า "นาคเสนภิกษุสูตร"
ได้มีผู้แปลถ่ายออกสู่ภาษาจีนประมาณพันปีเศษมาแล้ว
ส่วนภาษาบาลีนั้นพระพุทธโฆษาจารย์ คันธารจนาจารย์
ชาวมคธ เป็นผู้แต่งคำนิทาน และคำนิคมประกอบเข้าไว้ในมิลินทปัญหาเมื่อพุทธศตวรรษที่
๙ ส่วนเนื้อธรรมอันเป็นตัวปัญหามิได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดแต่ง
อย่างไรก็ดีในฉบับสันสกฤตได้บอกชาติภูมิของพระนาคเสนว่าเป็นแคว้นกัศมีระ
ในฉบับบาลีกล่าวว่า
 |
พระเจ้ามิลินท์กับพระนาคเสน
|
ท่านเกิดในวรรณะพราหมณ์บิดาชื่อโสณุตตระอาศัยอยู่
ณ กชังคลคาม ข้างภูเขาหิมาลัย เป็นข้อความตรงกัน
(ภูเขาหิมาลัยตั้งต้นจากแคว้น กัศมีระ (Kashmir)
ของอินเดียผ่านเนปาล ธิเบต ภูฐาน สิกขิมจดชายแดนพม่า)
ในยุคนั้นพุทธศาสนานิกายสรวาส ดิกวาทิน กำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่
พระนาคเสนอาจจะสังกันนิกายนี้ และคัมภีร์ฝ่ายจีนกล่าว่า
พระนาคเสนได้รจนาคัมภีร์ตรีกายศาสตร์ด้วยผลของการอภิปราย
นับเป็นความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงต่อพุทธศาสนา
เพราะพระนาคเสนชนะ ส่วนพระเจ้ามิลินท์ยอมจำนนเกิดพระราชศรัทธาปสาทะในพุทธศาสนาเพราะทรงแจ่มแจ้งในพุทธธรรมโดยตลอดมา
วาระสุดท้ายของพระองค์ทรงสวรรคตที่ในกระโจมที่พัก
และมีการพิพาทกันระหว่างเจ้าเมืองต่างๆ ของอินเดีย
และมีการแจกพระอัฐิของพระเจ้ามิลินท์แก่เมืองต่าง
ๆ คล้ายกับพระศาสดา หลังจากการสวรรคตของพระเจ้ามิลินท์แล้ว
กษัตริย์กรีกที่ปกครององค์ต่อมาอ่อนแออาณาจักรจึงแตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย
พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์นี้คือพระเจ้าเฮอมีอุส
(Hermaeus) ก่อนที่อาณาจักรจะแตกสลายพร้อมกับการขยายอำนาจของพวกสกะ
(Sakas) จากเอเชียกลางเข้าครอบงำอาณาจักรของพระเจ้ามิลินท์เดิม
เมื่อทราบประวัติพระเจ้ามิลินท์แล้ว ควรที่จะได้ทราบประวัติของพระนาคเสน
พอสมควรดังนี้
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000"> ๒.พระนาคเสน
(Nagasena)
ท่านนับว่าเป็นผู้ทำให้พระเจ้ามิลินท์กลับมานับถือพุทธศาสนา
และสนับสนุนเป็นอย่างดี ในมิลินทปัญหากล่าวว่า
พระนาคเสนเกิดที่เมืองกชังคละ แถบภูเขาหิมาลัย
บิดาเป็นพราหมณ์ชื่อว่าโสณุตตระ ในวัยเด็กอายุ
๗ ขวบได้ศึกษาไตรเพทและศาสตร์อื่น จนเจนจบ จึงถามบิดาว่ามีศาสตร์อื่นที่จะต้องเรียนบ้างไหม
บิดาตอบว่ามีเท่านี้ ต่อมาวันหนึ่งได้พบพระโรหนะมาบิณฑบาตที่บ้านบิดา
เกิดความเลื่อมใสจึงให้บิดานิมนต์มาที่บ้านถวายภัตตาหารและคิดว่าพระรูปนี้ต้องมีศิลปวิทยามาก
จึงขอศึกษากับพระเถระ พระเถระกล่าวว่า ไม่อาจสอนผู้ที่ไม่บวชได้
จึงของบิดาบวชที่ถ้ำรักขิต ได้ศึกษาพุทธศาสนากับพระโรหนเถระ
ต่อมาเมื่ออายุ
๒๐ ปีก็ได้รับการอุปสมบท วันหนึ่งเกิดตำหนิอุปัชฌาย์ในใจว่าอุปัชฌาย์ของเราช่างโง่จริง
ให้เราศึกษาพระอภิธรรมก่อนเรียนสูตรอื่น ๆ พระโรหณะผู้อุปัชฌาย์ทราบกระแสจิตจึงกล่าวว่า
พระนาคเสนคิดอย่างนี้หาถูกต้องไม่ พระนาคเสนทราบว่าพระอุปัชฌาย์รู้วาระจิตของตน
จึงตกใจและขอขมา แต่พระเถระกล่าวว่า เราจะให้อภัยได้ง่าย
ๆ ไม่
พระนาคเสนต้องไปทำภารกิจอย่างหนึ่งที่สำคัญคือต้องไปโปรดพระเจ้ามิลินท์ที่เมืองสาคละ
ให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยก่อนจึงจะอภัยให้ และแล้วพระโรหนะก็ส่งไปศึกษาเพิ่มเติมกับพระอัสสคุตตะ
ที่วัตตนิยเสนาสนะวิหารเมืองสาครพักอยู่ ๗ วัน
พระเถระจึงยอมรับเป็นศิษย์ ต่อมาได้แสดงธรรมเทศนาให้เศรษฐีท่านหนึ่งฟังจนทำให้เขาบรรลุโสดาบัน
และเมื่อมาไตร่ตรองคำสอนที่ตนสั่งสอนอุบาสกก็บรรลุโสดาบันตาม
ต่อมาไม่นานจึงเดินทางจากสาคละไปสู่ปาฎลีบุตร
พักที่อโศการามแล้วศึกษาธรรมกับพระธรรมรักขิตจนจบภายใน
๖ เดือนพระนาคเสนเดินทางไปบำเพ็ญเพียรที่รักขิตคูหาเป็นเวลานาน
ในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหันต์ คณะสงฆ์ทั้งหลายจึงอนุโมทนาแล้วประกาศให้ท่านไปโต้วาทะกับพระยามิลินท์
พระนาคเสนจึงเดินทางไปนครสาคละ แล้วพบพระเจ้ามิลินท์ที่นั้น
เมื่อได้ตอบโต้ปัญหากับพระเจ้ามิลินท์แล้ว ทำให้พระองค์เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนาขึ้นมา
และเปล่งว่าจาถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000"> ๓.กำเนิดพระพุทธรูป
(Creation of Buddha image)
ทฤษฎีการกำเนิดพระพุทธรูป
ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่มีประเด็นที่น่าพิจารณาอยู่
๓ ประเด็นคือ
|
พระพุทธรูปแบบคันธาระ
ศิลปะกรีกโรมัน
|
๑.เชื่อว่าพระพุทธรูปเกิดมาในสมัยที่พุทธองค์ทรงพระชนม์ชีพ
อยู่ในหนังสือของพระถังซัมจั๋งซึ่งเดินทางเข้าอินเดียได้กล่าวถึงพระเจ้าอุเทนเมืองโกสัมพี
สร้างพระพุทธรูปไม้จันทน์บูชาพระพุทธองค์ และพระเจ้าปเสนทิโกศล
เมืองสาวัตถีก็สร้างพระพุทธปฏิมาขึ้นเช่นกัน
แต่หลักฐานทางโบราณคดียังไม่มีการขุดพบ จึงยังไม่มีสิ่งยืนยันที่เด่นชัดหรือมีน้ำหนักพอ
นอกจากนั้นยุคสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก่อนพุทธปรินิพพานสองร้อยปีเศษ
ก็ไม่ปรากฏว่าพระองค์สร้างพระพุทธรูปแต่อย่างใดเป็นแต่แกะสลักรอยพระพุทธบาทแทนเท่านั้น
๒.เกิดในสมัยพระเจ้ามิลินท์หรือเมนันเดอร์ซึ่งเป็นกษัตริย์กรีกปกครองอินเดียโดยมีเมืองหลวงที่สาคละ
ในหนังสือตำนานพระพุทธเจดีย์ของสมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
กล่าวว่าเริ่มสร้างสมัยนี้ แต่มาแพร่หลายสมัยพระเจ้ากนิษกะมหาราช
ในหนังสือประวัติศาสตร์ พุทธศาสนาของเจ้าคุณพระราชธรรมนิเทศ
(ระบบฐิตญาโณ) ก็กล่าวว่าสร้างในสมัยพระเจ้าคุณพระเจ้ามิลินท์
เช่นกัน ทฤษฎินี้มีผู้ยอมรับมากที่สุด
๓.เกิดในสมัยพระเจ้านิษกะมหาราช
ปกครองอินเดียเหนือโดยมีศูนย์กลางที่เมืองโปุรุษปุระ
หรือ เปชวาร์ หนังสือกำเนิดพระพุทธรูปหลายสมัยขอบรรจบเทียมทัตกล่าวว่าพระพุทธรูปแบบคันธารราฐเกิดในสมัยพระเจ้ากนิษกะนี้
ก่อนหน้ายังไม่มีการสร้างแต่อย่างใด พระเจ้ากนิษกะทรงรับสั่งให้ช่างกรีก
สร้างพระพุทธรูปขึ้นตามแนวพุทธลักษณะศิลปะผสมกรีก-โรมัน
อย่างไรก็ตามการสร้างพระพุทธรูปส่วนมากแล้ว
เชื่อกันว่าเริ่มจากสมัยพระเจ้ามิลินท์เป็นต้นมา
กล่าวคือเมื่อชนชาติกรีกเข้ารุกรานอินเดีย เมื่อชนชาติกรีกที่เข้ามาตั้งแต่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์เข้ารุกรานอินเดียได้แล้ว
ก็ได้ตั้งรกรากถาวรที่บากเตรีย คันธาระ สาคระและหลายส่วนของอาฟกานิสถาน
ปากีสถานและอินเดียเหนือเริ่มมาเลื่อมใสในพุทธศาสนา
คำว่า คันธาระ (Gandhara) มาจากคำว่า คันธารี
คติของพวกกรีกไม่รังเกียจสร้างรูปเคารพและก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นพุทธมามกะก็ได้สร้างรูปเคารพของตนอยู่มากมายหลายองค์ด้วยกัน
เช่น เทพเจ้ายูปีเตอร์หรือ ซิวส์ ฮิรา เฮอร์มีส
อิรีสอพอลโล อาร์เตมิส เอเธนา โปซีดอน อาโปรดตี
ฯลฯ เทพเจ้าเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพระเจ้าประจำธรรมชาติ
และพวกกรีกสร้างเป็นเทวรูปดุจมนุษย์มีสัดส่วนเป็นสันงดงามจนจัดเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งแห่งศิลปกรรมของชาติกรีกโบราณ
ครั้นเมื่อเปลี่ยนใจมาเลื่อมใสพุทธศาสนา
นิสัยความเคยชินที่ได้กราบไหว้บูชาเทวรูป ทำให้พวกกรีกเกิดมโนภาพคิดสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาบ้าง
เพื่อให้เป็นทัสนานุตตริยะยามนึกถึงพระบรมศาสดา
ไม่เกิดความว้าเหว่เปลี่ยวใจ ฉะนั้นจึงได้เกิดคติสร้างพระพุทธรูปขึ้นในหมู่ชาวกรีกขึ้นก่อน
ภายหลังพุทธมามกะชนชาติอินเดียได้พบเห็นพระพุทธรูปเข้าก็เกิดความปสาทะจึงได้หันมานิยมสร้าง
พระพุทธรูปตามคติของชาวกรีกขึ้น แต่ได้ดันแปลงเป็นแบบอย่างศิลปกรรมแห่งชนชาติของตน
แม้พวกพราหมณ์พลอยเกิดสร้างเทวรูปพระอิศวร พระนารายณ์ขึ้นกราบไหว้บูชา
คติรังเกียจสร้างรูปเคารพจึงเป็นอันจืดจางไปจากชาติชาวอินเดียโดยพฤตินัย
ในสมัยพระเจ้ามิลินทะจึงนับว่าเป็น ยุคแรกแห่งการสร้างพระพุทธรูป
ลักษณะพุทธรูปของช่างชาวกรีกก็สร้างให้เหมือนมนุษย์จริง
ลักษณะที่เห็นว่างดงามดวงพระพักตร์คล้ายคลึงกับเทวรูป
จนบางครั้งทำเป็นพระมัสสุ (หนวด) บนพระโอษฐ์ก็มี
เบื้องบนพระเศียรทำเป็นพระเกตุมาลา (ขมวดผม)
เพื่อให้เห็นแตกต่างจากรูปพระสาวก เส้นพระเกศาก็ทำเป็นลักษณะม้วนเกล้า
ดังเช่นพระเกศาของพระกษัตริย์ ผ้ากาสาวพัสดุ์ทำเป็นรอยกลีบย่นเห็นชัดเจนดุจผ้าจริง
ๆ และมักจะมีประภามณฑลรายรอบพระเศียร แต่ไม่มีลวดลาย
พระพุทธปฏิมากรดังกล่าวนี้ ช่างกรีกคิดสร้างสรรค์เป็นปางต่าง
ๆ โดยอาศัยพระพุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญเป็นบรรทัดฐาน
เช่น ปางตรัสรู้ก็ทำเป็นขัดสมาธิวางพระหัตถ์ซ้อนกันภายใต้ร่มไม้โพธิพฤกษ์
ปางแสดงพระธรรมจักรทำเป็นรูปประทับบนบัลลังก์
และจีบพระดรรชนี เป็นวงกลมดุจวงจักรดังนี้ เป็นต้น
อย่างไรก็ดีพุทธศิลป์ดังกล่าวนี้ มาแพร่หลายรุ่งเรืองอย่างกว้างขวางก็ในสมัยต่อมาคือสมัยพวกอินโดไซรัส
หรือ พวกง้วยสีมีอำนาจในอินเดียภาคเหนือเรียกว่า
"พุทธศิลป์แบบคันธาระ (Gandhara Arts)"
ทั้งนี้เพราะเกิดขึ้นแถวแคว้นคันธาระนั่นเอง
|