Warning: file(../ad468.txt): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/randomad468.php on line 4
 
 
ธรรมะจากหลวงพ่อ


พระเทพโสภณ
อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ธรรมะกับธรรมชาติ

ท่านกรรมการ ท่านประธานองค์พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก คณะสาธุชนทุกท่าน วันนี้ท่านทั้งหลายได้ร่วมจัดกิจกรรมกับองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก กรรมการชมรมต่างๆ มานั่งในอุทยานเบญจสิริ ในบรรยากาศช่วงเช้า และได้บำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล มากับสมาชิกในครอบครัวบ้าง มากับเพื่อนที่รู้จักกันบ้าง มีการบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญกุศล มีการถวายทานรับศีล เป็นต้น

การมีกิจกรรมในสวนนั้น ถ้าพูดถึงในทางธรรมะนับว่าเป็นเรื่องที่ช่วยด้านจิตใจ เพราะว่าธรรมชาติต่างๆ นั้นสอนธรรมะ ต้นไม้พูดธรรมะไห้เราฟัง น้ำ นก ทุกสิ่งทุกอย่าง สอนธรรมะได้ดีกว่า ตึกรามบ้านช่อง แม้กระทั่งรถไฟฟ้าข้างหลังพวกเรา เพราะอะไร ถ้าจะตั้งเป็นปริศนาธรรม ก็บอกว่าทำไมพระท่านจึงไปนั่งกรรมฐาน ปฏิบัติธรรมในป่าเพราะอะไร

พระพุทธเจ้าเป็นรัชทายาท ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไปในกรุงกบิลพัสดุ์ แต่เวลาประสูติไปประสูติใต้ต้นไม้ในสวนลุมพินี ตอนนี้อยู่ในประเทศเนปาล ออกผนวชนั่งใต้ต้นโพธิ์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใต้ต้นไม้ สอนธรรมะหลังตรัสรู้ 45 ปี ปรินิพพานหรือดับขันธ์ใต้ต้นสาละ ถ้าตรัสรู้และปรินิพพานอยู่กับธรรมชาติ อะไรคือประเด็นตรงนี้ ทำไมจึงเกี่ยวกับธรรมชาติ

ประการหนึ่ง ถือว่า ถ้าท่านอยู่กับธรรมชาติกับต้นไม้ จิตของท่านจะอ่อนโยน อ่อนลง เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสช่วงไหนที่ท่านเครียด แสดงว่าจิตมันตึง มันแข็ง ไปดูต้นไม้ ดูสายน้ำ ดูอะไรๆ จิตมันจะพลิ้วไปตามธรรมชาติ จิตมันจะอ่อนและยอมรับความจริงได้ง่ายขึ้น

ประการที่สอง ธรรมชาติสอนธรรมะกับพระพุทธศาสนาเรื่อง ไตรลักษณ์ อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ และอนัตตาไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่ที่จะยึดมั่น ถ้าท่านอยู่ในห้องแอร์ ในที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งไปในห้างสรรพสินค้า อากาศ อุณหภูมิจะไม่เปลี่ยน เขาจะตั้งไว้อย่างนั้น ท่านจะไม่ค่อยเห็นอนิจจัง อนิจจังคือความเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยง นั่งตรงนี้ ตอนเช้าจะเย็น เดี๋ยวแดดมันส่อง มันเริ่มร้อน ไม่เที่ยง มันไม่ถูกใจเราทุกอย่าง คนในสมัยก่อนเขายอมรับความเปลี่ยนแปลง ได้ง่าย ไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ไม่สบาย อุณหภูมิมันไม่ถูกปรับเหมือนในห้องแอร์ ต้นไม้ที่เห็นในวันก่อนและวันนี้มันเขียวสด อีกไม่กี่วันมันจะเหลืองร่วงโรย นี่เป็นธรรมชาติเป็นทุกข์ เราไปสั่งบัญชาไม่ได้

เพราะฉะนั้นพระเวลานั่งกรรมฐานในป่า ท่านนั่งดูต้นไม้ บางทีท่านนั่งกรรมฐานจิตสงบ กำลังพิจารณาอนิจจัง ความไม่เที่ยง พอเห็นใบมันเหลืองร่วงหล่น บรรลุธรรมะ นี่ใครจะบรรลุไหม ดูใบไม้ต่างๆ คิดแต่เรื่องอื่น ใจมันต้องอยู่กับธรรมะ อยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ถึงจะได้สาระประโยชน์

นี่พูดให้กำลังใจผู้จัดเป็นเบื้องต้นก่อนว่าเหมาะสมแล้ว และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกว่า ทำไมมาจัดในสวน ที่จริงดีด้วย ชวนคนเข้ามาในสวน มานึกถึงธรรมะ บรรลุเร็ว

อาตมาพูดต่ออิกนิด แม้กระทั่งฝรั่งที่มาฝึกธรรมะก็นิยมไปวัดป่า ซึ่งทางยุวพุทธฯ ก็คงทราบอย่าง ยพสล นี่ก็ทราบ ฝรั่งหลายท่านไปปฏิบัติะรรมกับหลวงพ่อชา วัดป่าหนองพง เดี๋ยวนี้ยังมีวัดป่านานาชาติที่หนองป่าพง เคยถามพระฝรั่งว่า ทำไมไปที่นั้น ท่านบอกว่า ภาษาธรรมะที่หลวงพ่อชาสอนเข้าใจง่าย เพราะตัวอย่างที่ท่านยกไม่ได้ยกเรื่องที่ฝรั่งไม่เข้าใจ เช่น พระเจ้าพรหมทัตครองราชย์ในกรุงพาราณสี สาวัตถีอะไรต่างๆ ที่ฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง แต่หลวงพ่อชาท่านสอน ท่านเอาต้นไม้เป็นสปอต ตัวอย่างเรื่องไม่เที่ยง เอาใบไม้ ท่านสอนเรื่อง มัชฌิมาปฏิปทา ความพอดี ทางสายกลางหรือเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัวมาจากมัชฌิมาปฏิปทา ขนาดไหนเรียกว่าพอดี ขนาดไหนเรียกว่าทางสายกลาง ท่านก็ชี้ให้ดูต้นมะม่วง สมมติว่าเราจะสอยมะม่วง ลูกมะม่วงมันอยู่ประมาณขึ้นไป 3 วา เราจะหาไม้สอย ไม้พอดีควรจะกี่วา เอาความสูงของเรา 1 วา 2 มะม่วงอีก 3 วา ก็เอาไม้ประมาณ 2 วา ก็พอดี บางที ก็มีที่เกี่ยวเป็นตะกร้อ เกิดเราเอาไม้ 1 วา หรือ 10 วา ก็ยาวเกินไป เกะกะเก้งก้าง สอยไม่ได้ ทางสายกลางคือพอดี วัดกันที่เป้าหมายว่าท่านกำลังจะทำอะไรให้มันพอดี หลายคนตั้งเป้าหมายไว้สูงกว่าที่ตัวเองจะไปถึง มันถี่เกินไป โบราณบอกว่า เห็นเขานั่งคานหามแล้วเอามือตักก้น

ตอนนี้รัฐบาลจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ตั้งเป้าหมายขนาดไหน ตอนนี้ท่านนายกแถลงแล้ว บอกว่าที่จะกลับไปโชติช่วงชัชวาลย์เหมือนก่อนปี 39-40 เป็นไปได้ไหม ถ้าเราตกต่ำเหมือน 2 ปี ที่ผ่านมาแล้วตอนนี้มันฟื้นขึ้นมาแค่ชะลอตัว ตั้งไข่ได้แล้ว ท่านจะวิ่งได้ยังงัย พอดีอยู่ตรงไหน เอาแค่ยืนได้ไม่ล้ม เดินเตาะแตะได้ นี่คือเป้าหมายระยะสั้น ระยะยาวถ้าจะวิ่ง มันต้องดูสุขภาพเศรษฐกิจของท่าน นี่คือพอดี ตอนนี้ถ้าเรามีบริษัท มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ งทุนวางโครงการขั้นไหน ดูตัวเอง ความพอดีทั้งหมด ท่านนั่งในสวน ต้นไม้กระซิบท่านไหม มันบอกไหม มันไม่เคยลงทุนทำอะไรมากมาย มันดูช่วงไหนมันจะแล้ง

ไปดูต้นสัก เขาปลูกในต่างจังหวัด หน้าแล้ง มันร้อนไม่มีน้ำให้สักหยด แต่มันรอด บางต้นตาย แล้วต้นมันแข็งแกร่งเพราะอะไร เพราะมันทนแดแทนร้อนทุกอย่าง เอามาตัดตอนมันโตที่เรียกว่าต้นซุง เวลาตัดเห็นอะไร มันมีวงปี คนที่อยู่กับธรรมชาติจะรู้เป็นเส้นวงๆ เด็กสมัยนี้อาจไม่เคยเห็น รู้แต่ว่าเขาไปตัดซุงพม่าเอาไปขายทางธุรกิจ แต่ต้นซุงต้นสักมันสอนอะไรเรา ข้างในมันซ้อนเป็นวงๆ โบราณเรียกว่า วงปี ต้นไม้มันผ่านร้อนผ่านหนาวมากี่ครั้ง ผ่านฤดูแล้ว 1 ครั้ง มันสร้างเกราะป้องกันมัน แล้วพอขยายออกไป เกราะตรงนี้มันกลายเป็นแก่นวงปีของต้นไม้ เพราะฉะนั้นยิ่งเผชิญอุปสรรค ความร้อน ความลำบาก ต้นไม้ก็ยิ่งอกร่ง มันไม่ตายไป คนไหนที่เผชิญความยากลำบากมา ผ่านวิกฤติมาดี น่าที่จะแข็งแกร่งเป็นต้นสัก ไม่น่าโค่นง่ายๆ ในชีวิตไม่ใช่ว่าพอผ่านมาแล้ว โอ๊ย ชีวิตเราทำไมมันทุกข์เหลือเกิน ตายดีกว่า ก็ขนาดวิกฤติเรายังผ่านมาได้ พอผ่านมาแล้วจะมาช้ำอกช้ำใจฆ่าตัวตายทำไม ตอนหนักๆยังไม่ตาย ใครฆ่าตัวตายเพราะเศรษฐกิจตอนนี้แย่นะ ไม่อยากเรียกว่าโง่ เพราะอะไร

ธรรมะมันมีอยู่ทุกแห่งทุกหน จะพูดกันเรื่องธรรมชาติของธรรมยังมีอีกมาก เอาเป็นว่าช่วงสงกรานต์ที่เกี่ยวข้องกับเดือนนี้ วันที่ 13,14,15 เรามีธรรมะเป็นข้อเตือนอะไรบ้าง

วันที่ 13 เขาเรียกว่า วันมหาสงกรานต์ คนสมัยนี้อาจไม่ค่อยรู้ว่า ทำไมเรียกสงกรานต์ สงกรานต์แปลว่าเคลื่อนย้าย หมายถึงพระอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ วันที่พ้นราศีมีนคือวันที่ 13 คือวันมหาสงกรานต์ พ้นครั้งใหญ่เหมือนกับสิ้นปี เป็นวันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เรียกว่า วันเนา วันเนาหมายถึงพระอาทิตย์พ้นจากราศีมีนมาอยู่ที่เขตแดนพอดีอยู่ในเขตกันชนยังไม่เข้าราศีเมศ อยู่ชายแดนตรงกึ่งกลาง เรียกว่าวันเนา วันที่ 15 เป็นวันเถลิงศก พระอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษจึงถือว่าวันที่ 15 เป็นวันขึ้นปีใหม่แบบคนไทยโบราณ เราจึงรับอามา ช่วยกันคิดว่าถ้าเราจะเริ่มปีใหม่แบบคนไทยโบราณ ควรจะทำอะไร ทบทวนสักหน่อย 1 ปี ที่ผ่านมาหรือหลายปีที่ผ่านมา มันมีจุดดีจุดด้อยอะไรคือข้อผิดพลาด ที่เราจะแก้ไขปรับปรุงตัวกันแบบไทยๆ เน้นตรงไหน เน้นที่ครอบครัว

อาตมาอยากจะบอกว่าคนกรุงเทพฯเดี๋ยวนี้ ทุกข์มากกว่าคนกรุงเทพฯ สมัยก่อน ทั้งที่ปัญหาจริงก็ไม่ได้เพิ่มเท่าไหร่ เพราะปัญหาคนละแบบ แต่ทำไมทุกข์มากขึ้น ภาษาหลวงพ่อพระธรรมปิฏกบอกว่า ความจริงปัญหามันมีเยอะแยะ แต่เราทุกข์ง่ายกว่าเดิม สุขยากมากขึ้น สุขยากแต่ทุกข์ง่าย เรื่องนิดๆหน่อยๆ นี่เปราะบาง มันไม่ใช่ต้นสัก อะไรมาสะกิดนิดสะกิดหน่อยโค่นง่าย ล้มง่าย เป็นต้นไม้ไม่มีแก่น

ชีวิตคนกรุงเทพฯเดี๋ยวนี้ อยู่กับความสะดวกสบายมาตั้งแต่เล็ก วันอาทิตย์ลูกไป shopping ห้างสรรพสินค้า พ่อไปสนามม้า แม่ไปที่ไหนก็แล้วแต่ สรุปแล้วเวลาที่จะอยู่ด้วยกันในครอบครัวไม่มี ภาษาพระเรียกว่า เป็นที่ต้านทาน ตานะ แปลว่า ต้านทาน ต่อสู้ ความทุกข์ความยาก ปลูกฝังอบรมกัน มันไม่เกิดแต่เกิด ชีวิตจึงเปราะบางทุกข์ง่าย และจะมีความสุขในครอบครัว ฝึกฝนแต่เด็กไม่มีแล้ว จะปลูกกันนี่แพงเหลือเกิน เกมคอมพิวเตอร์ แล้วมันเปลี่ยนรุ่นขายเรื่อย เพราะฉะนั้น ความหวังที่จะมีความสุขของเด็ก ๆ ทุกวันนี้ มันวิ่งตามดู TV มันฝรั่งที่จะโฆษณา แค่นี้มันจะมีความสุขต้องของนอก คนเขียงใหม่บอกปลูกเต็มไปหมด มันฝรั่งเอามาทอดให้เด็กกินมันไม่กิน มันจะกินที่อยู่ในห่อในห้าง มันก็อันเดียวกัน เขาเอาไปทำ Package สวย ๆ มันไม่สุข ไม่โก้ เพราะฉะนั้นสมัยก่อนเค้ามีอะไรทานกันนิด ๆ หน่อย ๆ ไป picnic กันก็มีความสุข แต่สมัยนี้แพงขึ้น และต้องแสวงหาลงทุนมากมาย ถามว่าความสุขอย่างนี้ มันถูกฝึกมาจากไหน จากครอบครัว

ถ้าพูดตรงนี้ยังไม่เห็นภาพจะเล่าให้ฟังว่า เขามีการทำแบบสอบถามไปทั่วโลก เป็นโพล ของอเมริกา บอกประเทศไหนมีความสุขที่สุดในโลก ถามประชาชน เลือกเอาประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น มีประเทศไทยด้วย 18 ประเทศ ตอบคำถาม ประเทศที่ได้อันดับ 1 คือ ไอร์แลนด์ อยุ่เกือบทางขั้วโลกนะ ขั้วโลกเหนือ คนตอบว่ามีความสุขที่สุดในโลก แล้วเขาก็ดูว่าทำไม อะไร ทีนี้ประเด็นหนึ่งบอกว่า คนไอร์แลนด์มีความสุขที่สุด ธรรมชาติสอนเขา ประเทศไอร์แลนด์ดูจากแผนที่เหนือเกาะอังกฤษเข้าไป มันเป็นดินแดนที่อยู่ลำบากมาก หนาวตลอดปี มีหิมะปกคลุมเกาะทั้งหมด มีพื้นที่อาศัยได้ 10% นอกนั้นเป็นหิมะ ภูเขาไฟปรากฎว่าหิมะคลุมข้างบน ใต้หิมะเป็นภูเขาไฟ ไปอยู่ใต้น้ำแข็ง ธรรมชาติสอนคนยังไง นี่คือดินแดนที่ขัดแย้งกัน มันเป็นดินแดนที่เรียกว่า land of fire and ice กินแดนแห่งไฟกับน้ำแข็ง เกิดลืมตาขึ้นมาเห็นไฟอยู่กับน้ำแข็ง มันขัดแย้งกัน แล้วเขาบอกว่าธรรมชาติมันสอนคน ต้องอยู่กับความขัดแย้งให้ได้ ในชีวิตจริงก็เลยอยู่กับความขัดแย้งได้ ที่ไหนขัดแย้งเขาก็ประนีประนอมประสมประสาน ไม่ขัดแย้งกันทำให้ครอบครัวเขาดีเยี่ยม ลิ้นกับฟัน สามีภรรยาอยู่กินกัน มันทะเลาะ มันขัดแย้งแต่ธรรมชาติมันสอนว่า ถึงจะต่างกันก็ต้องอยู่ด้วยกัน สถาบันครอบครัวประเทศนี้ ทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งว่า เด็กที่เกิดในครอบครัวที่เขาเลี้ยงดูอย่างดี ไม่ปล่อยให้เป็นปัยหาสังคม ถ้าเราคิดนะ แม้กระทั่งลูกนอกสมรสไม่ได้จดทะเบียน ไม่ใช่พ่อทิ้งแล้ว แม่ก็ทิ้งลูกอีก ไปเป็นเด็กจรจัด ไปอยู่ใต้สะพาน ดยาเสพติด ก่ออาชญากรรม มีปัญหาสังคมครอบครัวจะรับผิดชอบ ไม่ผลักภาระให้สังคม

ท่านลองคิดดูในกรุงเทพฯ ทุกครอบครัวเลี้ยงดูลูกอบรมลูกไม่ปล่อยเป็นปัญหาสังคม เมืองนี้จะน่าอยู่ขนาดไหน ประเทศนั้นน่าอยู่เพราะแต่ละครอบครัว แต่ละสังคมรับผิดชอบหมด เพราะฉะนั้นความแข็งแกร่ง ความสุขของสังคมของประเทศ มันเริ่มที่ครอบครัว ลองนึกดูว่าปัญหายาเสพติดต่าง ๆ ที่เด็กเรา ที่รัฐบาลรณรงค์กัน เค้าเอาไปขาย ใคร ขายเด็ก ถ้าพ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูก มีเวลาอบรมใกล้ชิด ปัยหายาเสพติด ที่เกิดกับวัยรุ่นเยาวชนต่าง ๆ คงไม่มากขนาดนี้ มันบอกว่าครอบครัวอ่อนแอ และยิ่งครอบครัวอ่อนแอ เด็กจะยิ่งหาความสุขในครอบครัวไม่ได้ ไม่มีที่หาความสุข ในที่สุดเราก็เกิดทุกข์ง่ายแต่สุขยาก ไม่มีใครปลูกฝังความอบอุ่น

อบอุ่น เป็นภาษาฝรั่ง ภาษาไทยเรียกว่า ร่มเย็น เรามาอยู่ใต้ร่มไม้ สอนธรรมะอะไร ครอบครัวเราต้องร่มเย็น เพราะประเทศไทยมันร้อนอาศัยร่มเงาของครอบครัว เผอิญเราไปติดฝรั่ง warm ต้อนรับอย่างอบอุ่น ประเทศไทยต้อนรับอบอุ่นตอนนี้สิ ร้อนตายชัก มันต้องต้อนรับอย่างร่มเย็น ครอบครัวร่มเย็น นี่คือภาษาไทย โคลงโลกนิติบอกว่า "เย็นเงาพฤกษ์มิ่งไม้ สุขสบาย" เย็นเงาพฤกษ์คือต้นไม้ "เย็นญาติทุกสำรวย กว่าไม้" เห็นไหมนี่คือครอบครัว เย็นเงาร่มไม้ทำให้สุขสบาย แล้วขนาดต้นไม้ให้สุขสบาย ญาติที่สามัคคีปรองดองให้ความร่มเย็นยิ่งกว่าร่มไม้ มากันเนี่ยร่มเย็น แต่กลับไปที่บ้าน ถ้าสามัคคีกลมเกลียวกัน ร่มเย็นยิ่งกว่าร่มไม้ " เย็นเงาพฤกษ์มิ่งไม้ สุขสบาย เย็นญาติทุกสำรวย กว่าไม้" จำแค่นี้ ต่อไปถ้าจะให้ครอบครัวมีสิ่งที่ร่มเย็นต้องมีธรรมะอะไรบ้าง ฝากธรรมไว้ตรงนี้ 4 ข้อด้วยกัน เรียกว่า ธรรมะสำหรับครอบครัว

ธรรมะสำหรับครอบครัวนี้ พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ในนิทานชาดก เรื่อง วารินทชาดก จะเล่าให้ฟังสั้น ๆ แล้วถอดธรรมะมาใช้กับครอบครัว ท่านเล่าว่า

มีพญาลิงตัวหนึ่ง มันหากินริมฝั่งแม่น้ำบนต้นไม้ เกาะกิ่งนั้นกิ่งนี้เป็นหัวหน้าลิงก็มีลูกน้องเยอะมาก แย่งอาหารกิน ตัวเองเป็นหัวหน้าก็ต้องเสียสละ อย่าไปแย่งลูกน้องกิน ตรงนี้ให้ลูกน้อง ตัวเองก็ไปหาที่ยาก ๆ สูง ๆ มองไปกลางแม่น้ำ กลางแม่น้ำมีเกาะ ไม่มีสัตว์ ไม่มีลิงตัวไหนกล้าข้ามไปกิน กลัวตกน้ำ พญาลิงคิดว่าจะไปที่เกาะยังไง ก็เห็นว่าช่วงเช้าน้ำขึ้นช่วงเย็นน้ำลด พอน้ำลงก้อนหินก็โผล่ขึ้นระหว่าง ฝั่งกับเกาะ ลิงก็กระโดดตัวไปเหยียบก้อนหิน แล้วก็กระโดดไปเกาะ ใช้วิธีนี้ตอนเช้าเหยียบไปกินผลไม้บนเกาะ ตอนเย้นใช้วิธีเดิมกลับมาที่ฝั่ง ทำอย่างนี้ประจำ
มีจระเข้ตัวเมียเห็นลิง เกิดแพ้ท้องอยากกินหัวใจลิง ก็บอกตัวผัว บอกให้จับลิงมาให้ จะกินหัวใจลิง จระเข้ก็ไปดูว่าลิงทำอะไร สังเกตว่าลิงกระโดดบนก้อนหิน จระเข้เลยไปนอนกับก้อนหิน เวลาลิงกระโดดกลับตอนเย็น ก็จะได้เอาหางฟาดกินลิงเลย ลิงกลับตอนเย็นก็มองเห็น ทำไมหินมันสูงกว่าปกติ น้ำก็ลดเท่าเดิม ทำไมหินสูงกว่าเดิมดูไปดูมานี่จระเข้นี่นา แต่ก็ไม่มีทางเลือกต้องกลับทางเดิม จึงคิดอุบายแล้วไปยืนริมแม่น้ำ มองลงไปที่จระเข้ " นี่ก้อนหินสบายดีหรือ " จระเข้ก็เงียบ ลิงก็บอกว่า " เอ๊ะ ! ทำไมวันนี้ไม่ทักทายกัน ทุกวันยังคุยกันเลย " จระเข้ก็นึกว่า ทุกวันหินมันคงจะพูด ถ้าไม่พูดลิงมันจะไม่กระโดด พอลิงเรียกอีกจระเข้ก็ตอบ " ครับสบายดี " ลิงก็ว่า " เอ๊ะ ! ก้อนหินที่ไหนพูดได้ " จระเข้หน้าเสียแล้วก็เลยบอกว่า " อยากได้หัวใจลิง เมียแพ้ท้องขอบริจาคหัวใจหน่อยเถอะ " ลิงก็บอกว่า " ถ้าจะกินจริงก็ให้อ้าปากกว้าง ๆ นะ เดี๋ยวจะโดด เข้าไปในปาก " ทีนี้จระเข้พออ้าปากกว้าง ๆ ตามันก็หลับ ลิงก็โดดเหยียบหัวข้ามไปเลย จระเข้ก็บอกว่า " ลิงขี้โกง " ลิงก็บอกว่า " จับไม่ทันเองนี่ " ลิงจึงรอดพ้นจากจระเข้นี้
ถามว่าใช้ธรรมะอะไร สัจจะธรรมนั้นแหละใช้กับครอบครัว หนึ่ง ลิงมีสัจจะ สัจจะ คือ ความจริง พูดอะไรทำอย่างนั้น สัจจะคือวจีสัจจะ ลิงรับปากกับจระเข้ว่าจะโดดมั้ย โดด แต่โดยปัญญา โดดเข้าปากหรือขี่บนหัว อันนี้ข้อ 2 เรียก ทมะ แปลว่า ปัญญา เครื่องพิจารณา บางคนโง่แต่ขยัน ขยันแล้วครอบครัวแตกแยกมีเยอะแยะไป พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่ควรพูด พูดอะไรแตกแยก ฟ้องคนนั้นฟ้องคนนี้ ขยันพูดแต่แตกแยก พูดอะไรต้องมีสัจจะ พูดจริง จริงแล้วคนแตกแยก พูดทำไม? เรื่องไหนควรพูดไม่ควรพูด เรื่องไหนควรทำไม่ควรทำ นี่คือข้อ 2 คือ ทมะ จงใช้วิจารณปัยญา ปัญญาที่ชัดเจนตอนไหน ตอนที่หนึ่ง ก้อนหินทำไมวันนี้รู้ว่ารอดพ้นอันตราย สองรู้ว่าถ้าจระเข้อ้าปาก ตาจะหลับ นี่อย่างน้อยที่สุด 2 ข้อ ข้อ 3ขันติ อดทน หมายถึงทนลำบาก เสี่ยงภัย โดดไปหาจระเข้นี่เสี่ยง อดทนแต่สู้ ข้อ 4 จาคะ เสียสละ เสี่ยงโดยไม่รู้ได้ว่ากำลังพอ อาจม่ถึงหัวจระเข้ โดดไปหล่นในปากจระเข้พอดี บุญหล่นทับจระเข้ เสี่ยง เรียกว่า จาคะ จะพ้นภัยต้องเสี่ยง ต้องสู้ ไม่มีอะไรที่ไม่ต้องลงทุน 4 ข้อ จำไว้ จะแก้ปัญหาวิกฤต จะนำพาครอบครัวให้พ้นปัญหาทั้งหลาย
1. สัจจะ รับปากว่าจะทำอะไรต้องทำ แต่
2. ต้องมีปัญญา ทมะ
3. ทำจริงแม้จะลำบาก ขันติ
4. เสียสละกันบ้างคนละเล็กละน้อย จาคะ
พ่อแม่รับปากลูกว่าจะไปดูลูกแข่งกีฬาโรงเรียน พ่อนี่อยากไปที่อื่น บางคนไม่ไป ลูกนี่จำไปจนโตนะ ครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้นเลย วันนั้นแพ้เพราะ พ่อไม่ไป แม่ไม่ไป จำไปจนโต จะมีความสุขความภูมิใจ พ่อขาดอะไร แม่ขาดอะไร ขาดวจีสัจจะ หลอกลูก
นี่มีเรื่องหนึ่ง บ้านนี้ปกติมีคนรถรับส่ง ลูกจะไปโรงเรียนก็มีคนขับรถให้ ลูกสาวอยู่โรงเรียนใกล้ ๆ จุฬา โรงเรียนดัง ๆ วันหนึ่งคนขับไม่อยู่ ลูกโทรมาที่แม่ แม่ก็โทรให้พ่อไปรับ แต่พอถึงเวลา พ่อโทรไปบอกลูก พ่อติดธุระให้ลูกกลับเอง ก็บอกให้ขึ้นรถเมล์สายนั้นสายนี้ ความที่มีงานแต่ความจริงจะไปเที่ยว ลูกความที่ไม่เคยขึ้นโหนรถเมล์ก็ตกลงไปโดนรถคันหลังเหยียบเสียชีวิต พ่อสะเทือนใจ ลูกไม่เคยขึ้นรถเมลล์ ไม่ทันคิดให้รอบคอบ แล้วเสียสละไม่เป็นเห็นแก่ตัวเห็นแก่ความสุขส่วนตัวมากกว่าลูก
สามีภรรยาที่มาฟังธรรมะในสวน แต่งงานทำไมหลั่งน้ำสังข์อวยพร ต่อไปนี้เราจะครองคู่กัน ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ไม่นอกใจกัน หลั่งน้ำสังข์นี้เพื่ออะไร? ไม่ใช่ให้มือเปียกเฉย ๆ ตั้งสัจจะอธิษฐาน โดยคนหลั่งก็ถือเป็นประจักษ์พยานว่า ต่อไปนี้จะสร้างสถาบันครอบครัวไม่แตกแยกกัน ปรองดองอยู่ด้วยกัน แม้จะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเหมือนลิ้นกับฟัน ให้เหมือนน้ำที่ผู้ใหญ่มาหลั่งน้ำสังข์นี้ น้ำไม่เคยแตกกัน เราจะเอาไม้กรีด เอามีดฟัน เอาขวานผ่า ชั่วครูเดียว มันก็คืนตัวดังเดิม มีผู้ประพันธ์ว่า " ขอให้เธอทั้งสองจงปรองดองไม่แตกแยกกันเหมือนกับน้ำนี่เถิด " แล้วก็หลั่งน้ำสังข์ลงไป " ขอให้เธอทั้งสองอยู่ครองสมานดุจดังสายธารสะอาดสดใส สายน้ำมิแยกแตกฉันท์ใดขอสองดวงใจดุจสายธารเทอญ " ต่อไปนี้จะหลั่งน้ำสังข์ให้ว่านะ ส่วนที่เราไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร แสดงว่าเพื่อนไม่ได้ว่าคาถา ทำพิธีใหม่แต่กับคนเดิมนะ แล้วให้เพื่อนว่าคาถาให้ฟังจะได้ปรองดองกัน นี่แค่สัจจะนะ ทมะ ขันติ จาคะ อยู่ในนี้หมด เราจะไม่แตกแยกกันนี้ เราต้องอดทน เสียสละกันขนาดไหนครอบครัวถึงจะไปรอด สามีภรรยา เอาเป็นว่าวันนี้ฝากธรรมะไว้

ข้อที่ 1 สัจจะ จริงจัง จริงใจ และเป็นวจีสัจจะ พูดว่าจะทำอะไร อย่ารับปากพล่อย ๆ กับสามีกับภรรยา กับลูก กับพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเราในบ้าน

ข้อที่ 2 ทมะ นึกก่อนว่าถ้าเราไม่ทำ ผลอะไรจะตามมารับปากแล้ว ถ้าทำแล้วจะเกิดอะไร อย่าไปเลิกล้มความตั้งใจง่าย ๆ ปัญหา ต่าง ๆ ในครอบครัวมันเกิดจากความประมาทนิด ๆ หน่อย ๆ บางทีน้ำผึ้งหยดเดียว

ข้อที่ 3 อดทนไหม จะลำบากไหมถ้าจะพาครอบครัวเราไปให้รอด ต้องอดทนต่อกันและจะไปรอด

ข้อที่ 4 จาคะ เสียสละ ต่างคนต่างให้แก่กันและกัน ถ้าในครอบครัวคิดแต่จะเอา จะไม่มีใครได้เลย ทุกคนคิดแต่จะให้ ทุกคนจะได้จิตที่จะให้สบายกว่าจิตที่คิดจะรับ ฝากข้อคิดธรรมะสำหรับครอบครอว 4 ประการในช่วงสงกรานต์เพียงเท่านี้

ในท้ายที่สุดนี้ ขออ้างคุณะพระศรีรัตนตรัย คือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จงมารวมกันเป็นตบะ เป็นเดชะ พลวะปัจจัย พร้อมกับกุศลทั้งหลายที่ท่านได้บำเพ็ญในวันนี้ ดลบันดาลให้มีความเจริญ ก้าวหน้าในชีวิตส่วนตัว ครอบครัว การงาน สมบูรณ์ด้วยลาภยศ สรรเสริญ ทุกทิพาราตรีกาล มีอายุวรรณะ สุขะ พละ ปฏิพาณ ธนสารสมบัติปรารถนาสิ่งใดที่ประกอบด้วยธรรม ก็ขอให้ความปรารถนานั้น ๆ จงพลันสำเร็จ สำเร็จ สำเร็จ ทุกท่นทุกคนตลอดกาลนานเทอญ




หน้าแรก พระพุทธศาสนา ประวัติพระพุทธสาวก หัวข้อธรรม ธรรมปฏิบัติ ศาสนพิธี วันสำคัญทางศาสนา ทศชาติชาดก วิทยุธรรมะไทย
พุทธศาสนสุภาษิต พจนานุกรมพุทธศาสน์ ทำเนียบวัดไทย คลังแสงแห่งธรรม พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ข่าวธรรมะ กิจกรรมธรรมะ สมุดเยี่ยม
© ๒๕๔๘ : ธรรมะไทย - dhammathai.org