Warning: file(../ad468.txt): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/randomad468.php on line 4
 
 
ธรรมะจากหลวงพ่อ


พระธรรมโกษาจารย์ (ปัญญา นันทภิกขุ)
จ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฎิ์
อยู่กันด้วยความรัก

ในทางพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เราถือว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น คือ คิดว่าขอให้สัตว์ทั้งหลาย มีความสุขความเจริญ งดเว้นจากการคิอเบียดเบียนกัน ริษยากัน พยาบาท อาฆาต จองเวรกัน ไม่มีอารมณ์เกลียด ไม่มีอารมณ์ชังต่อสิ่งใดๆ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดี หรือว่าจะเป็นคนเสีย ถ้าเป็นคนดี เราก็ดีใจกับเขา ถ้าเป็นคนเสีย เราก็เสียใจกับเขา แล้วเราก็ตั้งใจไว้ว่า ขอให้เขาดีเสียเถิด ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย ขอให้พ้นจากความชั่ว ความร้ายในชีวิตประจำวันเสียเถิดเราอย่าไปโกรธเขา เราอย่าไปเกลียดเขา ให้นึกถึงอกเขาอกเราว่า เราต้องการความสุขอย่างใด เขาก็ต้องการความสุขนั้น เราเกลียดความทุกข์อย่างใด เขาก็เกลียดความทุกข์อย่างนั้น สิ่งใดเราไม่ชอบ สิ่งนั้นเขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน

เวลาเราพบใครเราก็ควรนึกว่า ขอให้คุณเป็นสุขเป็นสุข ขอให้คุณปราศจากความทุกข์ ความเดือดร้อน ขอให้คุณมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตในการงาน เพียงแต่เราคิดเท่านั้น เราก็สบายใจแล้วเพราะเป็นความคิดที่แผ่เมตตา ปรารถนาดีต่อเขา ถ้าเราคิดให้คนอื่นสบาย เราก็สบาย ถ้าเราคิดให้คนอื่นเดือดร้อน เราก็มีความทุกข์เดือดร้อนลองพิจารณาตัวท่านเอง ขณะใดที่ท่านเกลียดคนอื่น โกรธคนอื่น ท่านคิดพยาบาทคนอื่น ท่านมีความริษยาต่อคนอื่น ความรู้สึกในใจท่านเป็นอย่างไร ท่านก็จะได้รู้ได้ด้วยตัวเองว่าใจท่านร้อน ใจของท่านมืดมัว ใจของท่านวุ่นวายไม่มีความสงบเกิดขึ้น เราไม่ควรคิดอะไร พูดอะไร ทำอะไรที่เป็นไปในทางเหี้ยมโหด ดุร้าย แต่ควรจะคิด พูด ทำ แต่ในทางที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเราของผู้อื่นอย่างแท้จริง ความรักมีความมุ่งหมายอย่างนี้ เราทั้งหลายจึงควรจะอยู่กันด้วยความรัก เลิกโกรธ เลิกเกลียด เลิกอาฆาต พยาบาท จองเวรแก่กันและกัน ถ้าหากว่าเรามีเรื่องผิดพ้องหมองใจกันกับใครๆอยู่บ้าง เราก็เลกจากสิ่งนั้น เรามาคิดสอนตัวเองว่า ตั้งแต่โกรธเขา เกลียดเขา พยาบาทจองเวรเขา มันมีอะไรดีขึ้นในชีวิตของเราบ้าง ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเราต้องมีความทุกข์ยากทางจิตใจ ต้องหวาดระแวงภัยอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าคนนั้นจะมาทำร้ายเรา จะมาเบียดเบียนเรา จะมาสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้แก่เรา การเป็นอยู่ในรูปอย่างนั้น มันจะมีความสุขที่ตรงไหน ไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อยเพราะเป็นความคิดที่เบียดเบียน ตรงกันข้ามถ้าเราคิดไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำใครให้เดือดร้อน เราก็มีความสุขความสบาย ตามพระพุทธภาษิตที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อัพพยาปัชชัง สุขัง โลเก การไม่เบียดเบียนกันเป็นความสุขในโลก การไม่เบียดเบียนกันก็ต้องมีความรักกัน มีความเมตตากัน

ความรักที่เป็นพื้นฐานของชีวิตนั้นเราจะรักอะไร เราควรจะรักพระพุทธเจ้า รักพระธรรม พระสงฆ์ ให้มาก รักพระพุทธเจ้า รักพระธรรม รักพระสงฆ์ รักอย่างไร? เราเอาความรักธรรมดามาคิดก็แล้วกัน เหมือนชายหนุ่มมีความรักหญิงสาวเขาทำอย่างไร เขาคิดถึงผู้นั้นบ่อยๆกินก็คิดถึง นอนก็คิดถึง ทำอะไรก็คิดถึงฉันใด เรารักพระพุทธเจ้า เรารักพระธรรม เรารักพระสงฆ์ เราก็คิดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าบ่อยๆฉันนั้น

รักพระพุทธเจ้าคิดถึงพระพุทธเจ้านั้นคิดในรูปใด เราคิดถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้ามีดีอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าท่านมีความกรุณาปราณีต่อชาวโลกทั้งหลาย พระพุทธเจ้าท่านมีความบริสุทธิ์ในน้ำพระทัย ไม่มีอะไรเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าท่านมีปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องความทุกข์ ในเรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ ในเรื่องความดับทุกข์ได้ และในเรื่องข้อปฏิบัติที่จะให้ถึงความดับทุกข์อย่างเด็ดขาด อันนี้คือพระคุณของพระพุทธเจ้า เรามานึกคิดถึงพระคุณเหล่านั้น คิดบ่อยๆ นึกบ่อยๆ แล้วก็เอาพระคุณเหล่านั้นมาประทับไว้ในใจของเรา ใจของเราก็อยู่กับพระพุทธเจ้า ใจเราไม่ไปอยู่กับผีกับมาร ใจเราไม่เป็นผี แต่ใจเราเป็นพระอยู่ตลอดเวลา เรารักพระพุทธเจ้า รักพระธรรม เรารักพระธรรมก็คือรักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รักพระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องรักพระธรรมคู่กัน

เมื่อรักพระธรรมก็หมายความว่า เราศึกษาธรรมะบ่อยๆ เราอ่านเราฟัง เราเอาธรรมะนั้นมาเป็นกระจกคอยส่องมองดูตัวเรา ว่าเรามีความบกพร่องอะไรบ้าง เราไม่ดีไม่งามที่ตรงไหน เหมือนกับคนมีกระจกบานน้อยคอยส่องดูหน้าตนบ่อยๆ เพื่อดูว่าหน้าของเราเป็นมันหรือเปล่า มีอะไรแปดเปื้อนหรือไม่วัตถุที่เอาไปโปะไปทาไว้ มันเลือนหายไปอย่างไรก็จะได้โปะกันได้ทากันใหม่ ชีวิตประจำวันก็เหมือนเรามีดวงประทีปส่องทางให้เราเดินไม่ผิดทาง เดินได้เรียบร้อยก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี ชีวิตจะไม่ตกต่ำ จึงต้องหมั่นศึกษาธรรมะ อ่าน ฟัง เข้าใกล้ผู้รู้ แล้วนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ธัมโม หะเว รักขะติธัมมาจาริง ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ผู้ใดประพฤติธรรม ธรรมะย่อมรักษาผู้นั้นให้อยู่รอดปลอดภัย เราจึงควรจะได้นึกถึงคุณพระธรรมไว้เสมอ จะไปไหน จะทำอะไร จะคบหาสมาคมกับใคร เราก็ต้องนึกถึงพระธรรมไว้เสมอ จะไปไหน นึกถึงหลักธรรมะว่า เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างไร

สมมติว่าเราจะไปร้านขายสุราเมรัย เครื่องดองของเมา เราก็นึกถึงพระธรรม พระธรรมบอกว่าการดื่มของเมามีโทษ คือเสียทรัพย์ เกิดโรค ก่อการทะเลาะวิวาท หน้าด้าน ไม่รู้จักละอาย คนดีเขาดูหมิ่น สติปัญญาเสื่อมถอย ธรรมะว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนธรรมะให้เรารู้ว่าอย่างนั้น เมื่อเรารู้อย่างนั้นแล้ว เราก็ยับยั้งชั่งใจ เราไม่ไปเที่ยวที่ร้านขายสุราเมรัย เพราะมันเป็นบาปโทษ ถ้าเราไปก็เรียกว่าเราไม่รักพระธรรม เราเป็นลูกนอกคอกนอกทาง จะเกิดความเสียหาย

เราก็เอาธรรมะมาเป็นเครื่องยับยั้งชั่งใจไว้ บังคับตัวเองไว้ อดทนไว้ ไม่ไปสู่สถานที่นั้น หรือว่าเราจะไปเล่นการพนัน เราก็นึกถึงพระธรรม พระธรรมบอกลูกเอ๋ยการพนันมีโทษ ถ้าเธอชนะก่อเวร แพ้เสียดายทรัพย์ ทรัพย์ย่อมหมดไปสิ้นไป ไม่มีใครเชื่อเธออีกต่อไป เกียรติยศชื่อเสียงหมดไป ฐานะไม่ดี ตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ได้ เป็นโทษอย่างนี้ เราก็มองเห็น เพราะเรารักธรรมะ เราไม่ฝ่าฝืนธรรมะ เราไม่ไปเล่นการพนัน แต่เราจะขยันทำมาหากินตามหน้าที่ของเรา เราก็ไม่เป็นผู้เสียหาย

รักพระสงฆ์ เรารักพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น ท่านเป็นผู้มีปกติอยู่อย่างไร ท่านมีปกติ ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เมื่อเรารักพระอริยสงฆ์ เราก็ทำตามพระอริยสงฆ์ เอาพระอริยสงฆ์ เป็นผู้นำชีวิตของเรา เราเดินตามพระ เราจะไม่เดินตามผีตามมาร เราเดินให้ดี เราเดินให้ตรง เดินให้เป็นธรรม เราเดินเพื่อออกไปจากความทุกข์ความเดือดร้อน อย่างนี้ก็เรียกว่า เรารักพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า

เมื่อมีความรักพื้นฐาน คือรักพระอย่างนี้แล้วก็เรียกว่าเรายืนอยู่บนฐานอันมั่นคงของชีวิต ชีวิตจะไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่หวั่นไหวด้วยสิ่งที่มากระทบ รักหน้าที่ เราต้องรักหน้าที่การงานที่เราต้องปฏิบัติ พูดถึงหน้าที่แล้ว ทุกคนมีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น หน้าที่เฉพาะตัวก็มี หน้าที่อันจะทำแก่ส่วนรวมก็มี หน้าที่ในฐานะที่เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีหน้าที่ที่จะทำตนให้เป็นมนุษย์ คือให้เป็นผู้มีใจสูง อย่าเป็นผู้อยู่อย่างคนใจต่ำ ให้อยู่เหมือนดอกบัว ซึ่งเกิดในสระน้ำ น้ำไม่เปื้อนดอกบัว โคลนไม่เปื้อนดอกบัว ดอกบัวเป็นดอกไม้สะอาด ถึงจะอยู่ในที่สกปรก มันก็สะอาดฉันใด เราก็ควรมีชีวิตอยู่อย่างสะอาด ไม่สกปรก ไม่เศร้าหมอง ฉันนั้นเหมือนกัน

หน้าที่ของความเป็นไทย เราก็ต้องทำใจให้เป็นอิสระไว้ อย่าเป็นทาสน้ำเมา อย่าเป็นทาสความสนุกสนานเหลวไหล อย่าเป็นทาสของความเกียจคร้าน ต้องเป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา พุทธบริษัทต้องเป็นคนตื่นตัว ต้องเป็นคนว่องไว ต้องเป็นคนที่มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติกิจในชีวิตประจำวัน เราเป็นพ่อ เราเป็นแม่ ก็ต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ รักความเป็นพ่อ รักความเป็นแม่ รักความเป็นครู รักความเป็นทหาร เป็นตำรวจ รักความเป็นผู้แทนราษฎร ฯลฯ ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะใด ในตำแหน่งใด เราจะต้องรักสิ่งนั้น ต้องบูชาสิ่งนั้น ทำสิ่งนั้นด้วยชีวิต ด้วยความเสียสละ ด้วยความอดทน ด้วยความคิดถึงเสมอว่า นี้คือหน้าที่ของเรา เรารักสิ่งนี้

คนที่ทำด้วยใจรักนั้น เขาทำอย่างประณีต อย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการกระทำนั้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าทำอะไรสักว่าผ่านพ้นไป จึงได้ชื่อว่าเป็นคนรักหน้าที่ ที่เราจะต้องกระทำอยู่ในชีวิตประจำวัน รักครอบครัว เราควรจะรักครอบครัวของเราเพราะเราอยู่เป็นครอบครัว เป็นวงศ์สกุล แล้วก็รวมเป็นชาติ เป็นประเทศ เอาส่วนน้อยก็นักครอบครัว เราก็ต้องเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์ส่วนรวม คือครอบครัว เช่นสามีภรรยาอยู่ด้วยกันต่างคนต่างอยู่เพื่อกันและกัน สามีก็อยู่เพื่อภรรยา ภรรยาก็อยู่เพื่อสามี มีลูกมีเต้า เราก็อยู่เพื่อลูกต่อไป ทำอะไรทุกอย่างเพื่อลูก สามีภรรยาจะได้ไม่แตกแยกกัน จะไม่แตกร้าวกัน เพราะเราไม่ได้อยู่เพื่อตัวเรา

แม้บางคนจะพูดว่าอยู่กันไม่ไหว รสนิยมไม่ตรงกัน นั้นเป็นบาปอันยิ่งใหญ่ เป็นบาปที่ลึกซึ่ง เป็นบาปที่ไม่ใช่เกิดแก่ตนคนเดียว เกิดแก่ครอบครัว เกิดแก่ประเทศชาติ เป็นการทำลายสิ่งต่างๆ ไม่ดีไม่งามทั้งนั้น เราควรจะอธิฐานใจ เมื่อเรามีครอบครัวว่า เราจะรักครอบครัวเช่น พ่อบ้านรักครอบครัว ก็ไปทำงานด้วยใจรัก ทำงานเพื่อครอบครัว ทำด้วยความอดทน ด้วยความหนักแน่น ไม่เบื่อหน่ายในงาน เพื่อให้งานเจริญก้าวหน้าเพราะงานเจริญ ครอบครัวเจริญ ตนก็พลอยเจริญไปด้วย เลิกงานแล้วก็ไม่เถลไถล ไม่ไปเที่ยวสโมสร ไม่ไปเที่ยวบาร์ เที่ยวไนต์ครับ ไม่ไปกับเพื่อนชั่วๆ ทั้งหลาย ที่ชอบสนุกสนานเฮฮาไม่เข้าเรื่อง หาเรื่องให้สิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่ได้เรื่องอะไร เราก็รีบกลับบ้าน เพราะเรามีพันธะทางครอบครัว มีคนคอยอยู่ที่บ้าน เราควรจะไปหาเขา ไปอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน กินข้าวพร้อมกัน นั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน พร้อมกับเมียและลูก เมื่อดูกันก็อธิบายให้ลูกฟังว่า อันนั้นเป็นเรื่องดี อันนี้เป็นเรื่องชั่ว อันนั้นเป็นเรื่องบาป อันนี้เป็นเรื่องบุญ ให้ลูกได้รู้ ได้เข้าใจ สอนแนวทางชีวิตให้ลูกด้วยตัว แล้วก็ดูให้ลูกอ่านหนังสือ ทำการบ้าน ช่วยกันคิด ช่วยกันสอนให้แก่เขา
รักประเทศชาติ รักชาติ ก็คือรักพวกพ้องนั้นเอง รักคนในชาติ เราปรารถนาให้ทุกคนในชาติของเราอยู่เย็นเป็นสุข เรียกว่า รักชาติอีกอย่างหนึ่ง

รักชาติ ก็หมายความว่า เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม ของชาติ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ทำงานอะไรก็ทำเพื่อส่วนรวม ไม่ทำเพื่อส่วนตัว แล้วคิดถึงตัวเป็นใหญ่ ทำอะไรก็นึกว่าตัวจะมีอะไร ตัวจะได้อะไรจากการกระทำนั้น นั่นเป็นการกระทำที่มีแต่ความโลภมีแต่ความอยากได้ ไม่มีความเสียสละ เกิดการทุจริตงานก็เสียหาย การคอรัปชั่นกินสินบาทคาดสินบนเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะคนไม่รักชาติแท้จริง แต่รักตัวเองมากกว่า ทำอะไรๆ ก็เพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อชาติ เพื่อประเทศของ เราจึงควรจะเปลี่ยนแนวคิดเสียใหม่ว่า ตัวเรานี้มันเล็กน้อย ชาติใหญ่กว่า เราทำอะไรก็ต้องนึกถึงชาติของเรา ประเทศของเรา เวลานี้ เราต้องการคนรักชาติรักประเทศอย่างแท้จริง เสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้ทำงานในการบริหารประเทศชาติ เช่น ข้าราชการก็ต้องทำงานเพื่องานอย่างแท้จริง เห็นแก่ส่วนรวม พึงทำงานนั้นด้วยใจบริสุทธิ์ยุติธรรมสม่ำเสมอ อย่าทำอะไรด้วนความลำเอียง เพราะรัก เพราะชัง เพราะกลัว เพราะหลง อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว อย่าเอาตำแหน่งหน้าที่ไปหาผลประโยชน์เข้าข้างตัว อย่าเอาความรู้ความสามารถไปหาผลประโยชน์แต่เฉพาะตัว พระพุทธเจ้าทรงติไว้ว่า "อัตตัตถะปัญญา อะสุจีมนุสสา" บุคคลใดใช้สติปัญญาความสามารถเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว เป็นคนสกปรก เป็นคนใช้ไม่ได้ เราอย่าอยู่อย่างคนสกปรก ให้อยู่อย่างคนสะอาด ปราศจากสิ่งชั่วร้าย จึงจะเป็นการถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางพระพุทธศาสนา อันนี้เรียกว่า รักชาติ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว

ใครที่รักชาติเพื่อท้องเพื่อกระเป๋าของตัว ก็เลิกรักชาติแบบนั้นเสีย เลิกกอบโกย แต่ว่าเริ่มเสียสละเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขส่วนรวม ขอให้มีหลักปรัชญาประจำจิตใจไว้สักหน่อยว่า คนเราเกิดมามือเปล่า ตัวเปล่า ตายไปก็มือเปล่า ไม่ได้เอาอะไรไป เราจะโลภโมโทสันอะไรนักหนา เราควรจะเกิดมาเพื่อเสริม เพื่อเติม เพื่อแต่ง ให้ชาติของเราเจริญก้าวหน้าต่อไป ดีกว่าที่จะอยู่ด้วยความมักมากอยากได้ จะเป็นประวัติศาสตร์ในทางร้ายไว้ในบ้านเมืองต่อไป
อันนี้คือการพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง เราก็เอากระจกธรรมะมาส่องดูตัวเรา เพื่อให้เห็นว่าเรามีอะไรไม่ดี ไม่เหมาะไม่ควร จะได้แก้ไขปรับปรุง กระทำให้มันดีมันงามขึ้น การใช้ธรรมะเป็นหลักปฏิบัติในความเป็นไทย เป็นหน้าที่ของคนไทย คนไทยไม่มีหน้าที่จะเป็นทาสของใครๆ เพราะความเป็นทาส มันขัดกับหลักของความเป็นไทย เราเป็นพุทธบริษัทก็ต้องมีหน้าที่ ที่จะต้องทำตนให้เป็นพุทธบริษัท พุทธบริษัทต้องเป็นผู้รู้ ต้องเป็นผู้ตื่น




หน้าแรก พระพุทธศาสนา ประวัติพระพุทธสาวก หัวข้อธรรม ธรรมปฏิบัติ ศาสนพิธี วันสำคัญทางศาสนา ทศชาติชาดก วิทยุธรรมะไทย
พุทธศาสนสุภาษิต พจนานุกรมพุทธศาสน์ ทำเนียบวัดไทย คลังแสงแห่งธรรม พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ข่าวธรรมะ กิจกรรมธรรมะ สมุดเยี่ยม
© ๒๕๔๘ : ธรรมะไทย - dhammathai.org