นายปรีชา กันธิยะ
อธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2549
กรมการศาสนาได้รับงบประมาณบริหารโครงการต่างๆ จำนวน
324 ล้านบาท และได้จัดทำแผนปฏิบัติงานในปีงบประมาณหน้า
โดยได้ให้นโยบายและปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานว่าจะต้องประสานกับชุมชนให้มากยิ่งขึ้น
เนื่องจากประชาชนเริ่มห่างเหินจากพระพุทธศาสนามาก
เข้าวัดกันน้อยลง เด็กไม่สนใจปฏิบัติธรรม ซึ่งสถาบันต่างๆ
ในท้องถิ่น เช่น สถาบันชุมชน โรงเรียน และวัด เริ่มแบ่งแยกส่วนกัน
ไม่ประสานเชื่อมโยงกันเหมือนอดีต โดย ศน.จะใช้โครงการต่างๆ
ที่มีอยู่ 27 โครงการ อาทิ ครูพระสอนศีลธรรม โครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรม
เป็นตัวเชื่อมโยงประชาชนหันมาสนใจกิจกรรมทางพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น
เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันมากกว่าที่เป็นอยู่
นายปรีชากล่าวต่อว่า
สำหรับยุทธศาสตร์ที่จะใช้มี 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.ใช้หลักความจำเป็นพื้นฐานของสังคมไทย
ซึ่งเป็นข้อกำหนดของกระทรวงมหาดไทย ได้วางไว้ว่า
ผู้นับถือศาสนาพุทธจะต้องเข้าวัด อย่างน้อยเดือนละ
2 ครั้ง และผู้นับถือศาสนาอื่นๆ ให้ปฏิบัติตามหลักศาสนาของตน
ซึ่งประชาชนไม่รู้ว่ามีข้อกำหนดดังกล่าวอยู่ จึงต้องทำให้ประชาชนเข้าใจและหันมาสนใจเข้าวัดมากขึ้น
2.นำวันสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันที่ประชาชนให้ความเคารพสูงสุด
มาส่งเสริมให้ประชาชนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา
โดยสอดแทรกหลักเศรษฐกิจพอเพียงและพระบรมราโชวาทต่างๆ
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ประชาชนได้รับไปปฏิบัติด้วย
"หากเยาวชนและประชาชนเข้าวัดเรียนรู้หลักธรรมคำสอนให้มากกว่านี้
ไม่แต่พุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่นๆ ด้วย เพราะศาสนาจะสอนให้คนเป็นคนดี
โดยจะประสานกับอบต. อบจ. หรือภาคปกครองส่วนอื่นๆ
ให้ทำงานร่วมกันมากขึ้นกว่านี้ ซึ่งผู้นำชุมชนเป็นส่วนสำคัญ
เพราะคนที่อยู่ในชุมชนจะยอมรับนับถือและเชื่อฟัง
มาช่วยกันประสานกับ ศน.ในการทำโครงการต่างๆ เพื่อให้กิจกรรมเหล่านี้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง"
อธิบดีกรมการศาสนากล่าว
|