วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
เป็นวัดที่มีความเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุแห่งองค์บรมบรรพตภูเขาทอง
โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอินเดีย
พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บรรจุประดิษฐานไว้บนองค์บรมบรรพตภูเขาทอง
และโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เป็นระยะเวลา
7 วัน 7 คืน
จนกลายเป็นประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ
สำหรับชาวพระนครสืบต่อมาจนปัจจุบัน
หากย้อนไปภายหลังเมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์แล้ว
ทรงเปลี่ยนนามวัดสะแกเป็น "วัดสระเกศ"
เพื่อเฉลิมพระเกียรติให้ต้องตามสถานที่ที่พระองค์ประกอบพิธีมูรธาภิเษก
วัดสระเกศจึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
และราชวงศ์จักรี
ในปัจจุบันสระที่นำน้ำขึ้นมาทำน้ำพระพุทธมนต์ในพิธีมูรธาภิเษกได้ถูกถมไป
ยังคงปรากฏอยู่แต่หอไตร เพราะถือว่าสระน้ำที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้แล้วไม่ควรที่ประชาชนทั่วไปจะใช้อีก
นอกจากนั้นยังมีพระตำหนักรัชกาลที่ 1 อยู่บริเวณเดียวกับหอไตร
เดิมเป็นเรือนไม้ ต่อมารัชกาลที่ 3 ได้เปลี่ยนเป็นตึกก่ออิฐถือปูนในคราวที่บูรณะวัดสระเกศทั้งพระอาราม
เพราะพระองค์เกรงว่าหากพระตำหนักยังเป็นเรือนไม้อาจจะทรุดโทรมเสียหายได้ง่าย
ภายในพระตำหนักมีภาพจิตรกรรมฝาผนังลวดลายกระบวนจีน
อันแสดงถึงลักษณะเฉพาะของจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่
3
สำหรับงานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุปีนี้
ทางวัดร่วมกับรัฐบาลจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติราชวงศ์จักรี
เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ
60 ปี เป็นการย้อนเส้นทางประวัติศาสตร์การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์และราชวงศ์จักรี
ในบริเวณซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีมูรธาภิเษกในอดีต
นอกจากนั้นในงานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุปีนี้
ทางสำนักงานเขตป้อมปราบฯ ได้จัดให้มีการแสดงแสง
สี เสียง บอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของวัดสระเกศที่เกี่ยวเนื่องกับพิธีมูรธาภิเษก
อันเป็นเส้นทางการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนประวัติความเป็นมาของพระบรมสารีริกธาตุจากแดนพุทธภูมิสู่สยามประเทศ
ซึ่งบรรจุอยู่บนองค์บรมบรรพตภูเขาทอง สมัยรัชกาลที่
5
พระเทพสิริภิมณฑ์
(ธงชัย สุขญาโณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ในฐานะผู้ดูแลองค์บรมบรรพตภูเขาทอง
กล่าวว่า งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุปีนี้ ทางวัดได้ร่วมกับรัฐบาลจัดงานย้อนเส้นทางประวัติศาสตร์การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์และราชวงศ์จักรี
เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ
60 ปี
"ในการนี้ทางสำนักงานเขตป้อมปราบฯ
ได้จัดให้มีการแสดงแสงสีเสียงบอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของวัดสระเกศที่เกี่ยวเนื่องกับพิธีมูรธาภิเษก
อันเป็นเส้นทางการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนประวัติความเป็นมาของพระบรมสารีริกธาตุจากแดนพุทธภูมิสู่สยามประเทศ
ซึ่งบรรจุอยู่บนองค์บรมบรรพตภูเขาทอง สมัยรัชกาลที่
5"
พิธีห่มผ้าแดง
ซึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่างานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุเริ่มขึ้นแล้ว
เป็นพิธีที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ชาวพระนครให้ความสำคัญมาก
เพราะเชื่อว่าเป็นพิธีทำให้เกิดสิริมงคล อานุภาพแห่งการบูชาพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข
มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในชีวิต แคล้วคลาดปลอดภัย
เป็นความเชื่อที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
ซึ่งปรากฏความว่า หลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ 3 พรรษา
เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายแก่ชาวเมืองเวสาลี ผู้คนประสบภัยพิบัตินานาประการ
เกิดโจรผู้ร้ายเข่นฆ่าชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้แต่สมณพราหมณ์ผู้ทรงศีล
ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก
"เมื่อพระพุทธองค์เสด็จสู่เมืองเวสาลี
ความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวายก็พลันหายไปสิ้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ประชาชนโดยทั่วไป
เมื่อโรคภัยไข้เจ็บหายก็ทำให้ประชาชนมาแวดล้อมพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมาก
จนกลายเป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล
พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งที่เกิดเช่นนี้มิใช่เรื่องน่าอัศจรรย์
แต่เป็นเพราะอานุภาพแห่งบุญบารมีที่พระองค์เคยนำผ้าประดับบูชาเจดีย์ในอดีตชาติ"
สำหรับพระบรมสาริริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่บนองค์บรมบรรพตภูเขาทอง
สมัยรัชกาลที่ 5 นั้น เป็นส่วนที่ขุดค้นได้จากพระสถูปโบราณ
อันเป็นที่ตั้งกรุงกบิลพัสดุ์สมัยพุทธกาล รัฐบาลอินเดียถวายแด่รัชกาลที่
5 ซึ่งมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุว่า ในปี พ.ศ.2441
นายวิลเลียม แคลคัส ตัน เปปเป ชาวอังกฤษ ซึ่งมีถิ่นพำนักอยู่ในประเทศอินเดีย
ได้ขุดค้นซากปรักหักพังของสถูปโบราณซึ่งจมอยู่ภายใต้เนินดินที่ตำบลปิปราห์วะ
ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองพัสติ อันเป็นที่ตั้งกรุงกบิลพัสดุ์
สมัยพุทธกาล
เมื่อนายวิลเลียม
แคลคัสตัน เปปเป ขุดรื้อพระสถูปโบราณนั้นได้พบกล่องศิลาแลงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยข้าวของเงินทองเครื่องประดับมากมาย
และภายในกล่องศิลามีผอบบรรจุอัฐิธาตุ และที่ผอบนั้นมีข้อความจารึกด้วยอักษรพราหมีโบราณ
อันเป็นภาษาที่ใช้มาก่อนพุทธกาล นักภาษาศาสตร์เชื่อว่ามีอายุเก่ากว่าภาษาที่ใช้จารึกในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ซึ่งใช้ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ หรือหลังจากนั้นก็ไม่น่าจะเกินพุทธศตวรรษที่
2-4 ข้อความจารึกที่ผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแปลความได้ว่า
"ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านี้เป็นของตระกูลศากยราช
ผู้มีเกียรติงามกับพระภาตา พร้อมทั้งพระภิคินี พระโอรส
และพระชายา สร้างขึ้นอุทิศถวายไว้"
จากจารึกและข้อสรุปของนักภาษาศาสตร์นั้น
ทำให้เชื่อได้ว่า อัฐิธาตุที่บรรจุอยู่ภายในผอบนี้เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ส่วนที่เจ้าศากยะได้รับไปในคราวแบ่งพระบรมสารีริกธาตุหลังถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ต่อมา นายมาร์ควิส
เคอร์ชัน ผู้ดำรงตำแหน่งอุปราชครองประเทศอินเดีย
ซึ่งเคยเข้ามารับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ และมีความคุ้นเคยกับรัชกาลที่
5 มาก่อน เห็นว่าพระบรมสารีริกธาตุนั้นเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาวพุทธ
จึงควรมอบคืนให้แก่ชาวพุทธ และนายมาร์ควิส เคอร์ชันเห็นว่ากษัตริย์ที่นับถือพระพุทธศาสนาสมัยนั้นก็ยังมีแต่พระเจ้ากรุงสยามเท่านั้น
รัฐบาลอินเดียจึงมีความประสงค์ทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสารีริกธาตุแด่รัชกาลที่
5 พร้อมให้ฝ่ายไทยส่งผู้แทนเป็นคณะราชทูตไปรับ และขอให้รัชกาลที่
5 แบ่งพระบรมสารีริกธาตุแก่ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาต่างๆ
เช่น พม่า ลังกา ญี่ปุ่น ไซบีเรีย เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุขุมนัยวินิต
(ปั้น สุขุม) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช
เป็นผู้ออกไปรับพระบรมสารีริกธาตุ ณ ประเทศอินเดีย
โดยเริ่มออกเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 16
มกราคม พ.ศ.2441 และเดินทางกลับในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ในปีเดียวกัน
ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุผ่านเมืองตรัง พัทลุง
สงขลา แต่ละเมืองที่ผ่านมามีประชาชนเข้าร่วมขบวนแห่พระบรมสารีริกธาตุและสักการบูชาด้วยดอกไม้
ธูปเทียน แก้วแหวนเงินทองมากมาย แสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนในแต่ละเมืองได้เป็นอย่างดี
และก็ผ่านมาถึงเมืองสมุทรปราการ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ
ให้นำไปประดิษฐานในวิหาร เกาะพระสมุทรเจดีย์ ทำการฉลอง
3 วัน 3 คืน วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2411 ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุถึงกรุงเทพฯ
และโปรดให้บรรจุประดิษฐานที่เจดีย์บรมบรรพตภูเขาทอง
วัดสระเกศ
การห่มผ้าแดงองค์บรมบรรพตภูเขาทอง
เป็นเครื่องสักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุเพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่ตนเอง
แก่ครอบครัว ตลอดจนประเทศชาติบ้านเมือง เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนานกว่า
100 ปี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน
ส่วนการจารึกชื่อบนผ้าแดง
ทางวัดจะเริ่มให้ประชาชนไปจารึกชื่อตั้งแต่วันที่
3 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 เวลา 07.00-17.00 น. และในวันที่
9 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 ซึ่งเป็นวันอัญเชิญผ้าแดง
ขอเชิญชวนให้ร่วมกันแต่งชุดไทย
เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของงานย้อนเส้นทางประวัติศาสตร์ในวันนั้น
โดยเวลาประมาณ 16.00 น. ประชาชนพร้อมกันที่บริเวณองค์บรมบรรพต
เพื่อร่วมขบวนแห่ผ้าแดงทำประทักษิณรอบองค์พระเจดีย์
3 รอบ ก่อนอัญเชิญขึ้นห่มองค์พระเจดีย์ต่อไป สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.
0-2225-5873, 0-1821-1095
|