สำนักนายกรัฐมนตรี
ได้ออกแถลงการณ์ ชี้แจงเรื่องการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ว่าตามที่มหาเถรสมาคมซึ่งเป็นที่ประชุมสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ.2505 มีมติเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2547
ให้แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
เพื่อบริหารกิจการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก ในระหว่างที่ประทับรักษาพระองค์
ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยที่ยังมีผู้เข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว
แม้รัฐบาลจะได้เคยชี้แจงมาแล้วก็ตาม รัฐบาลจึงขอชี้แจงเพื่อความเข้าใจอันถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง
ดังนี้
1.ในปัจจุบันสมเด็จพระญาณสังวร
สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ยังทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก แต่เพียงพระองค์เดียวของประเทศไทย
จึงขอให้ทุกฝ่ายถวายความเคารพและพระเกียรติอย่างสูงตามกฎหมาย
ประเพณี และหลักศาสนปฏิบัติอันดีงามของพุทธศาสนิกชนชาวไทย
2.อย่างไรก็ตาม โดยที่สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชฯ มีพระชนมายุถึง 92 พรรษา อีกทั้งการที่ได้ทรงบริหารงานคณะสงฆ์และทรงบำเพ็ญศาสนกิจ
อุทิศพระองค์ทรงตรากตรำเพื่อประโยชน์สุขของพุทธศาสนิกชนอย่างเคร่งครัดมาเป็นเวลานาน
เป็นเหตุให้ในระยะหลังมานี้พระสุขภาพไม่สู้เป็นปกติ
คณะแพทย์เคยรายงานว่าอาจมีพระอาการประชวรฉับพลันได้
ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากภูมิต้านทานของพระองค์ลดลงเนื่องจากพระชนมายุ
และยังประชวรด้วยพระโรคที่เคยมีมาแต่เดิม แม้พระอาการจะไม่ถึงขนาดรุนแรงและยังทรงบำเพ็ญศาสนกิจบางอย่างได้เป็นปกติก็ตาม
แต่บรรดาพุทธศาสนิกชนก็พากันห่วงใย เห็นว่าหากได้ทรงพักผ่อนและลดพระภาระในการปฏิบัติงาน
ที่นับวันจะหนักมากขึ้น เช่น การปกครองและบัญชาการสังฆมณฑล
การประชุมมหาเถรสมาคม ซึ่งต้องใช้เวลาเดือนละหลายครั้ง
ครั้งละหลายชั่วโมง การแสดงไปทรงเปิดปิดการประชุมต่างๆ
ซึ่งต้องมีพระดำรัสที่ยาว การรับผู้มาขอเฝ้าที่ต้องมีพระปฏิสันถารด้วยเป็นเวลานาน
และการที่ต้องทรงพระอักษรและลงพระนามหรือต้องตัดสินพระทัยในเรื่องที่ยุ่งยาก
เป็นต้น ก็น่าจะเป็นการดีต่อพระสุขภาพ
3.เดิมที่มหาเถรสมาคมได้มีมติเห็นควรให้แต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่ง
เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งก็ได้ทรงมีพระบัญชาว่า
"ทราบและเห็นชอบ" เมื่อวันที่ 26 มกราคม
2547 ต่อมาการแต่งตั้งนั้นได้สิ้นสุดลงเพราะครบระยะเวลาที่กำหนด
ต่อมาได้มีการแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมจึงอาศัยอำนาจตามมาตรา
10 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม
พ.ศ.2547 มหาเถรสมาคมมีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมลับ
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 ให้แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
เป็นคณะบุคคล เพื่อแบ่งเบาพระภาระ และเพื่อเป็นการรักษาพระเกียรติอีก
สถานหนึ่งด้วยมิให้ผู้ใดนำพระลิขิต พระนาม หรือพระดำรัสไปแอบอ้างจนถึงความเสื่อมเสียต่อพระเกียรติดังที่เคยมีผู้กระทำมาแล้ว
และกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินคดี คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว
ประกอบด้วยสมเด็จพระราชาคณะ รวม 7 รูป จากพระอาราม
7 วัด โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ในฐานะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ทำหน้าที่ประธาน
ซึ่งเรื่องนี้เป็นการพิจารณาของคณะสงฆ์โดยแท้ รัฐบาลมิได้เป็นผู้เสนอแต่อย่างใด
และต่อไปมหาเถรสมาคมอาจชอบให้หมุนเวียนผู้ดำรงตำแหน่งประธานตามความจำเป็นก็ได้
4.การที่มีผู้บิดเบือนมาปัจจุบัน
มีการเปลี่ยนแปลง สมเด็จพระสังฆราชแล้วก็ดี มีการบังอาจแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชเสียเอง
โดยล่วงละเมิด พระราชอำนาจไม่ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงลงพระปรมาภิไธย แต่งตั้งก็ดี มีสมเด็จพระสังฆราช
สองพระองค์หรือหลายพระองค์ซ้อนกันในเวลาเดียวก็ดี
จึงไม่เป็นความจริง แต่อย่างใด เพราะสมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชฯ ยังทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ของประเทศไทยอยู่แต่พระองค์เดียว ส่วนสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นเป็นเพียง
คณะกรรมการที่ทำหน้าที่แทนชั่วคราว และต้องปฏิบัติหน้าที่ในพระนามสมเด็จพระสังฆราชเท่านั้น
การที่มีผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ในรูปของคณะประกอบด้วยสมเด็จพระราชาคณะทุกรูปที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทั้งจากฝ่ายมหานิกาย
และธรรมยุติกนิกายร่วมกันเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าเป็นการใช้อำนาจของคณะบุคคล
มิใช่เป็นการใช้อำนาจโดยพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งหรือแต่งตั้งจากนิกายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียวดังที่มีผู้อ้าง
ในการนี้รัฐบาลขอยืนยันว่ากระบวนการดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย
คณะสงฆ์ไทยโดยมหาเถรสมาคม อันเป็นองค์กรปกครองสูงสุดก็ได้เห็นว่าการปฏิบัติเช่นนี้ไม่ขัอต่อพระธรรมวินัยและโบราณประเพณี
ซึ่งรัฐบาลได้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบฝ่าละอองธุลีรพระบาทตมที่กฎหมายกำหนดด้วยแล้ว
จึงขอชี้แจงมาเพื่อความเข้าใจอันดีของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายโดยทั่วกัน
|