เมื่อเร็วๆ นี้ ร.ท.ดร.กุเทพ
ใสกระจ่าง ประธานคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
สภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมาธิการ ได้เดินทางมานมัสการหลวงปู่เครื่อง
สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ เพื่อความเป็นสิริมงคล
เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่วัดสระกำแพงใหญ่
อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ก่อนนำคณะเดินทางไปที่วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม
ต.เมืองใต้ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ โดยได้เข้าไปกราบนมัสการพระเทพวรมุนี
เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ และได้ถวายเทียนพรรษาด้วย
ร.ท.กุเทพกล่าวถึงความเป็นมาของร่างพ.ร.บ.แนวทางอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
และร่างพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ว่า หลังจากที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ตามมาตรา 73 ของรัฐธรรมนูญได้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า
รัฐต้องอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
ในส่วนของพระพุทธศาสนาจึงต้องมีพ.ร.บ.ออกมา เพื่อวางแนวทางในการที่จะอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติไทย ดังนั้น ร่างพ.ร.บ.ฉบับแรกคือ
ร่างพ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา จะมีแนวทางให้มีการตั้งคณะกรรมการพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
เป็นคณะกรรมการชุดใหญ่ ประกอบด้วยภาคราชการและภาคประชาชน
ร่วมกำหนดนโยบาย และมีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นหน่วยงานอิสระ
ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เป็นกลไกที่คุ้มครองอุปถัมภ์และให้การสนับสนุนในการจัดงบประมาณ
นอกจากนี้เพื่อให้การอุปถัมภ์คุ้มครองชัดเจนยิ่งขึ้น
คณะกรรมาธิการจึงได้ร่างพ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่ โดยเพิ่มองค์กรที่จะให้พระสงฆ์ทั่วประเทศได้ทำงานอย่างสะดวก
เป็นเรื่องที่คณะกรรมาธิการทุกคนดำริว่า พุทธศาสนิกชนควรที่จะได้มีความคิดเห็นร่วมกัน
คือ นอกจากมีสมเด็จพระสังฆราชและมหาเถรสมาคม ควรจะมีองค์กรมหาคณิศร
ซึ่งจะเป็นองค์กรฝ่ายบริหารของคณะสงฆ์ มีองค์กรมหาสังฆสมาคม
คล้ายกับเป็นที่ประชุมของพระสงฆ์จากทั่วประเทศ และมีองค์กรมหาวินยาธร
เป็นองค์กรที่จะวินิจฉัยคดีต่างๆ สำหรับพระสงฆ์ประพฤติผิดพระธรรมวินัย
ซึ่งจะเป็นเรื่องของสงฆ์โดยเฉพาะ ดังนั้น จะเห็นว่าร่างพ.ร.บ.ทั้ง
2 ฉบับได้กำหนดแนวทางให้สอดรับกันเพื่อให้มีการอุปถัมภ์คุ้มครองที่ชัดเจน
ทั้งนี้ เพื่อที่จะได้ให้พระสงฆ์ได้ทำงานอย่างเป็นเอกภาพ
มีศักดิ์ศรีและงบประมาณที่พอเพียง ซึ่งตรงนี้จะได้นำเข้าไปทำการประชาพิจารณ์ให้ประชาชนทั้ง
4 ภาคของประเทศไทยได้ร่วมกันประชาพิจารณ์ และเมื่อได้รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
จะได้นำเอาปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมต่อไป
|