"งานแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี"
เริ่มต้นขึ้นในสมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
ผู้กำกับดูแลมณฑลภาคอีสาน โดยได้รับการสนับสนุนจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในยุคนั้นเป็นอย่างดี
แต่จำกัดอยู่ในวงแคบเท่านั้น
อันเนื่องมาจากระบบคมนาคมและการสื่อสาร ไม่ทันสมัยดังเช่นปัจจุบัน
จนกระทั่ง พ.ศ.2520
สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เข้ามาสนับสนุนจัดงานประเพณีทางศาสนา
ทำให้งานแห่เทียนพรรษาเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย
ด้วยผลงานแกะสลักเทียนพรรษาอันประณีต
ล้วนมาจากเบื้องหลังการทำงานอย่างทุ่มเทสุดฝีมือของช่างแกะสลักผู้ชำนาญการ
โดยนำเรื่องราวพุทธประวัติ มาร้อยเรียงถ่ายทอดลงบนเทียนขี้ผึ้งได้อย่างน่าอัศจรรย์
"นายแก้ว อาจหาญ"
หัวหน้าทีมช่างแกะสลักต้นเทียนติดพิมพ์ วัดบูรพาราม
อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เปิดเผยว่า "วัดบูรพาราม"
มีชื่อเสียงในฝีมือช่างแกะสลักต้นเทียนติดพิมพ์
ได้รับรางวัลชนะเลิศต้นเทียนติดพิมพ์ขนาดใหญ่ 8
ปี และต้นเทียนติดพิมพ์ขนาดเล็ก 3 ปี
โดยต้นเทียนพรรษาส่วนใหญ่นิยมแกะสลักเป็นลวดลายสะท้อนเรื่องพุทธประวัติ
สำหรับต้นเทียนพรรษาของวัดบูรพาราม
ในปี 2548 จะเป็นเรื่องราวชาดกพระเวสสันดร ตอนออกจากนครสีพี
ระหว่างทางมีพราหมณ์มาทูลขอราชรถ
ฉากหน้าจะเป็นรูปพระเวสสันดรทรงราชรถ
ด้านหลังพระเวสสันดร เป็นรูปม้า 2 ตัว ตรงกลางราชรถเป็นต้นเทียนติดพิมพ์ทำลวดลายกนกเปลวเครือเถาลายระย้าคู่
เป็นรูปเทพนม ดูอ่อนช้อยงดงาม ส่วนฉากหลังเป็นภาพ
3 ธิดามาร คือ นางตัณหา นางราคาและนางอรดี บุตรสาวของวัสวดีพระยามาร
รับอาสามาล่อลวงด้วยบ่วงอิตถีมายา ณ โคนต้นไทรอชปาลนิโครธ
เพื่อมิให้พระพุทธเจ้า บำเพ็ญเพียรสำเร็จมรรคผล
ต้นเทียนเล่าเรื่องพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าเสด็จออกผนวช
ฉากหน้าเป็นภาพทรงม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะตามเสด็จ
เบื้องล่างเป็นรูปเทวดา 4 องค์ ช่วยกันประคองเท้าม้าให้ลอยอยู่บนฟ้า
ฉากต่อมา เป็นต้นเทียนลวดลายไทย
ฉากหลังเป็นเรื่องอัญเชิญจุติของสันดุสิตเทพบุตร
หรือพระเวสสันดรจากดุสิตสวรรค์ ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์
ซึ่งการทำต้นเทียนประเภทติดพิมพ์ขนาดใหญ่ใช้ต้นทุนราว
3 แสนบาท ส่วนต้นเล็กราว 1.5 แสนบาท
ส่วนต้นเทียนประเภทแกะสลัก ที่มีความยิ่งใหญ่อลังการของ
"วัดศรีอุบลรัตนาราม" ต.ในเมือง อ.เมือง
จ.อุบลราชธานี ได้รับการควบคุมดูแลทุกขั้นตอนจากฝีมือของ
"นายอุดม เจนจบ" เป็นหัวหน้าทีมช่าง ใช้งบดำเนินงานกว่า
1.8 แสนบาท
ด้านหน้าเป็นรูปพระพิฆเนศวรหรือพระพิฆเนศ
โอรสของพระอิศวรกับพระอุมา ซึ่งเป็นเทพแห่งศิลปะ
ถัดมาเป็นพระพุทธรูปปางเสด็จดับขันธปรินิพพาน
หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดสุภัททปริพาชก
สาวกองค์สุดท้าย
ครั้นได้ทรงเปิดโอกาสให้พระสาวก
ถามข้อสงสัย แต่ไม่มีผู้ใดซักถาม พุทธองค์จึงได้ตรัสประทานโอวาท
ความว่า
"ภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้ เราจักเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาพวกเธอทั้งหลาย
จงยังประโยชน์ตนเอง และผู้อื่นให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
ภายหลังการประทานปัจฉิมโอวาทเสร็จ
พระองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ในวันเพ็ญเดือน
6 ก่อนพุทธศักราช 1 ปี
ฉากหลังองค์ประกอบต้นเทียน
เล่าเรื่องพระพุทธเจ้า เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
โดยพระอินทร์ เนรมิตบันไดเงิน บันไดทอง และบันไดแก้ว
โดยบันไดแก้วใช้สำหรับพระพุทธเจ้าอยู่ตรงกลาง ในวันออกพรรษา
จึงได้มีประเพณีตักบาตรเทโวโรหนะ เพราะเป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลก
ลักษณะของต้นเทียนวัดศรีอุบลรัตนาราม
ลำต้นยังเสนอความงดงามตามลวดลายไทย ที่อ่อนช้อยกับลายกนกเปลวเครือเถา
ลายนาคคาบ ลายนาคขบ ประกอบพุทธประวัติตอนท้าวสหัมบดีพรหมเสด็จมาทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดชาวโลก
ส่วนฐานของต้นเทียนแกะสลัก
เป็นรูปช้างเอราวัณ 4 เศียร เป็นพาหนะของพระอินทร์
สำหรับผู้ที่สนใจ
สามารถรับชมเรื่องราวพุทธประวัติ ผ่านลวดลายริ้วขบวนแห่เทียนพรรษาของ
จ.อุบลราชธานี ในระหว่างวันที่ 18-22 ก.ค.นี้
ข้อมูลเพิ่มเติม
: http://203.146.250.87/calendar/july05_10.html
http://www.tatubon.org/
|