นายปรีชา
กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า เนื่องจากประเทศไทยมีพื้นที่ภูมิประเทศที่แตกต่างกันรวมทั้งประชาชนแต่ละพื้นที่ก็มีความต่างกันทั้งเชื้อชาติ
ความเชื่อในศาสนาและลัทธิ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา
38 ได้ให้สิทธิแก่บุคคลในการนับถือศาสนา ลัทธิ นิกาย ตามความเชื่อได้
จากเหตุนี้ทำให้ผู้ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาต่างดำเนินการตามความเชื่อของตนในแต่ละชุมชน
โดยเฉพาะการเผยแผ่ศาสนาแก่ชุมชนบนพื้นที่สูงในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย
จะมีการเผยแผ่ศาสนาที่หลากหลาย ซึ่งกรมการศาสนาได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้
จึงได้จัดทำโครงการแก้ไขปัญหาการเผยแผ่ศาสนาบนพื้นที่สูง
โดยขยายกิจกรรมพระธรรมจาริกที่วัดศรีโสดา ได้ดำเนินการอยู่แล้วในบางพื้นที่ให้ครอบคลุมพื้นที่สูงใน
13 จังหวัดในภาคเหนือ เสริมความเข้มแข็งให้แก่พระธรรมจาริก
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ได้เห็นชอบตามแนวทางและข้อเสนอในเรื่องนี้ของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติแล้ว
โดยได้มอบหมายให้กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้ดำเนินการแก้ปัญหาการเผยแผ่ศาสนาในชุมชนบนพื้นที่สูง
ซึ่งจะมีการกำหนดแนวทาง วิธีการ ในการเผยแผ่ศาสนา รวมทั้งมาตรการในระยะสั้น
และระยะยาว เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงของชาติ กับเพื่อทำหน้าที่เฝ้าระวัง
และติดตามประเมินผลการเผยแผ่ศาสนาบนพื้นที่สูงอย่างใกล้ชิด
เน้นการใช้มิติทางศาสนาให้เกิดความมั่นคงของชาติ
ในระยะแรก ปีงบประมาณ 2548
จะดำเนินการใน 7 จังหวัด มีจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย
แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน โดยมีศูนย์กลางการปฏิบัติงานของพระธรรมจาริก
ในเขตจังหวัดภาคเหนือที่วัดศรีโสดา วัดท่าตอน และวัดเครือข่าย
ซึ่งจะร่วมกันจัดทำหลักสูตร คู่มือปฏิบัติงาน สื่อการเรียนการสอน
ที่ถูกต้องเหมาะสมกับพื้นที่ มีการถวายความรู้แก่พระธรรมจาริก
จัดค่าตอบแทนถวายพระธรรมจาริกที่ออกปฏิบัติงานในพื้นที่สูง
โดยจะใช้งบประมาณ 41,000,000 บาท และจะขยายต่อไปในปี 2549
อีกจำนวน 6 จังหวัดคือจังหวัดพะเยา ตาก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์
พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ซึ่งจะมีการขยายจำนวนพระธรรมจาริกเพิ่มขึ้น
จากเดิมจำนวน 350 รูป เป็น 700 รูป ใช้งบประมาณอีก 45,000,000
บาท ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการนี้ คือสามารถป้องกันประชาชน
ในชุมชนพื้นที่สูงและทุรกันดารให้เข้าใจในหลักธรรมทางศาสนา
อย่างถูกต้องและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้มีความเป็นไทยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
อันเป็นการเสริมความมั่นคงของประเทศชาติ โดยใช้มิติทางศาสนา
เป็นหลักในการสร้างความสงบสุขและความสันติสุขอย่างยั่งยืน
สำหรับผลความคืบหน้าในโครงการนี้
ขณะนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการสภาความมั่นคงแล้ว
และให้กรมการศาสนาดำเนินการประสานงาน ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดภารกิจและขอขอบเขตงานให้ชัดเจน
คาดว่าคงจะดำเนินการได้ในปี 2548
|