Warning: file(../ad468.txt): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/randomad468.php on line 4
 
 
หน้าแรก บทความธรรมะ
Search By Google

แตกต่างแต่ไม่เคยแตกแยก สัมพันธ์ "พระป่า-พระบ้าน"

โดย : ดร.มงคล นาฏกระสูตร, ข่าวสด
วันที่ online : 5/08/47


"อยู่เรียบง่าย แต่จิตใจสูงส่ง" เป็นอุดมคติที่เราใช้มองรูปแบบของวิถีชีวิตพระสงฆ์ขั้นสูงสุด หรือเราเรียกว่า "พระอริยะเจ้า" สถานภาพพระสงฆ์จากทัศนะอันนี้ ทำให้พระสงฆ์ได้รับการปฏิบัติเหมือนบุคคลชั้นสูงในสังคม พระสงฆ์จึงได้รับการดูแลอย่างดี ได้รับความเคารพกราบไหว้ นับถือ บูชาสักการะ ได้รับการอุปถัมภ์ทางด้านวัตถุและปัจจัย 4 อันประณีต

ทั้งนี้เนื่องมาจากบุคลิกภาพที่น่าประทับใจแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป อันได้แก่ ความเป็นอยู่เรียบง่ายในรูปแบบชีวิต (Life Style) ด้วยพระวินัย และสภาพจิตใจที่ประเสริฐและสูงส่งด้วยธรรมะ ที่เหนือกว่าสามัญชนทั่วไป

พระวินัย-สิ่งที่สร้างรูปแบบชีวิตของพระสงฆ์

ความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายอันประกอบไปด้วยสาระที่เรียกว่า "พระวินัย" เป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของพระ พระภิกษุ เมื่อเข้ามาบวชพระอุปัชฌาย์ได้แนะนำในสิ่งที่ปฏิบัติได้และปฏิบัติไม่ได้

- สิ่งที่ปฏิบัติได้ เรียกว่า "นิสัย" มี 4 ประการคือ

1. บิณฑบาต
2. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
3. อยู่โคนไม้
4. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า

นิสัยถือว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตที่เอื้อต่อความเป็นพระที่สมบูรณ์ แต่เป็นทางเลือก มิได้บังคับ

- สิ่งปฏิบัติไม่ได้เรียกว่า "อกรณียกิจ" มี 4 ประการเช่นกัน คือ

1. เสพเมถุน
2. ลักขโมย
3. ฆ่ามนุษย์
4. อวดอุตริมนุษยธรรม

การล่วงละเมิดใน 4 ประการกนี้ ทำให้ชีวิตความเป็นพระสิ้นสุดลงทันที

ทั้ง 2 ประการนี้ เป็นแบบแผนการดำเนินชีวิตของความเป็นพระแบบพุทธดั้งเดิมมาจนถึงปัจจุบัน

ศาสนกิจแบ่งพระสงฆ์ตามความถนัด แต่จุดหมายเดียวกัน

ศาสนกิจคือ สิ่งที่พระภิกษุต้องปฏิบัติหลังจากบวชแล้ว ท่านเรียกว่า

"ธุระ" มี 2 อย่างคือ

1. คันถธุระ = ธุระฝ่ายคัมภีร์ กิจด้านการเล่าเรียน, ศึกษาพระธรรมวินัย = คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด

2. วิปัสสนาธุระ = ธุระฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน = กิจด้านการบำเพ็ญภาวนาหรือเจริญกรรมฐาน

ตามระบบในพระวินัย พระภิกษุต้องอยู่ในสำนักเดียวกับอุปัชฌาย์ เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยอย่างน้อย 5 พรรษา (นวกภูมิ) จึงจะพ้นจากนิสัย (นิสัยมุตตกะ) ไปอยู่ที่อื่นได้และในระหว่างนั้นก็ต้องศึกษาด้านคันถธุระเป็นพื้นฐาน อาจจะมีการปฏิบัติที่หลังหรือควบคู่ไปกับการศึกษาก็ได้ตามความเหมาะสม ปริยัติเป็นบาทฐานสู่ปฏิบัติ ปฏิบัติเป็นบาทฐานสู่ปฏิเวธ

มีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งชอบและถนัดในด้านปริยัติ จึงมีหน้าที่รวบรวม ประมวล ถ่ายทอด เผยแพร่คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ไปสู่ผู้อื่น และบริหารดูแลกิจการคณะสงฆ์ พระสงฆ์กลุ่มนี้เรียกว่า "พระสายปริยัติ" พระสายนี้มักจะอยู่กับที่ อยู่ในสำนัก ในวัดและอยู่ใกล้กับบ้าน ต่อมาก็อยู่ใกล้เคียงกับชาวบ้าน จึงมักถูกเรียกว่า "พระบ้าน" (คามวาสี)

ธุดงควัตร-จุดกำเนิดของพระป่า

ในการปฏิบัติ พระพุทธองค์ทรงแนะนำพระภิกษุไปอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสม ที่ที่ทรงแนะนำ เช่น สุญญาคาร (เรือนว่าง) ป่าช้า ป่า โคนไม้ เป็นต้น ซึ่งเป็นที่สัปปายะ (สะดวกและเหมาะสม) สำหรับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง

ในสมัยพุทธกาลพระมหากัสสปเถระนิยมชมชอบการปฏิบัติธรรมในลักษณะเช่นนี้ เท่านั้นยังไม่พอท่านยังปฏิบัติให้เคร่งครัดเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีกโดยการปฏิบัติธุดงควัตร(ธรรมอันเป็นอุบายดับกิเลส และช่วยส่งเสริมความมักน้อยสันโดษ) จนพระบรมศาสดาสรรเสริญท่านให้เป็นเอตทัคคะในด้านนี้ ซึ่งมีพระอีกจำนวนมากที่ชอบและถนัดในการปฏิบัติในสายนี้

ต่อมาพระในสายนี้ได้เป็นตัวแทนพระภิกษุที่ปฏิบัติเคร่งครัด ที่เราเรียกว่า "พระป่า" (อรัญวาสี)

ข้อสังเกตประการหนึ่งต่อสายพระป่า ได้แก่ พระพุทธองค์ไม่ทรงบังคับให้พระภิกษุทุกรูปปฏิบัติเช่นนี้ตลอดเวลา หลักฐานที่ปรากฏชัด เช่น ข้อเสนอของพระเทวทัต 5 ประการ เช่น การอยู่ป่าเป็นวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร เป็นต้น พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต โดยให้ถือเป็นทางเลือกก็พอ

ปฏิเวธ คือ จุดมุ่งหมายของพระทั้ง 2 สาย

การบรรลุธรรม (วิมุตติ) เป็นจุดหมายสูงสุดของการบวชในพระพุทธศาสนา การบรรลุธรรมต้องอาศัยทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติควบคู่กันไป ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปก็จะทำให้การบรรลุธรรมเป็นไปได้ยาก พระสงฆ์ที่เก่งด้านปริยัติอย่างเดียวไม่ปฏิบัติก็มืดบอด ปฏิบัติอย่างเดียวไม่มีปริยัติก็หลงทาง ทั้งสองฝ่ายต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อไปสู่หนทางเดียวกันคือปฏิเวธ

อีกประการหนึ่ง ในการธำรงและสืบทอดพระศาสนา ทั้งปริยัติและปฏิบัติ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องป้องกันพระศาสนาไม่เสื่อมลง เมื่อไม่มีปริยัติ ปฏิบัติก็ไม่มี ปฏิเวธไม่ต้องพูดถึง เพราะปริยัติ (พุทธธรรม) เป็นผลมาจากการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าและพระสาวก ซึ่งได้แก่ ปฏิเวธนั่นเอง

พระป่า-พระบ้านในเมืองไทยกับริบทที่แปรเปลี่ยน

เมื่อประเทศไทยรับพระพุทธศาสนาเข้ามา เราไม่ได้รับเข้ามาเพียงหลักธรรมเท่านั้น แต่ยังได้รับวัฒนธรรมของสงฆ์เข้ามาอีกด้วย ในสมัยสุโขทัย มีการแบ่งพระสงฆ์ออกเป็น 2 ฝ่ายเช่นกัน คือ

1. คามวาสี คือ คณะของพระภิกษุที่ศึกษาเน้นหนักในด้านพระพุทธวจนะในพระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์ต่างๆ รวมทั้งวิทยาการต่างๆ อาศัยอยู่ในเขตเมืองหรือใกล้ชุมชน

2. อรัญวาสี คือ คณะของพระภิกษุที่เน้นหนักในด้านการปฏิบัติ มุ่งบำเพ็ญภาวนา อยู่ในป่าและสถานที่ห่างไกลจากบ้านและชุมชนออกไป

การแบ่งคณะสงฆ์ในลักษณะนี้ เนื่องจากเงื่อนไขทางสังคมเปลี่ยนไปจากเรื่องศาสนามาเป็นเรื่องสังคมและการเมือง เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม จนมาถึงรัตนโกสินทร์ คณะสงฆ์ได้แบ่งออกไปเป็น 2 นิกาย คือ

1. มหานิกาย - พระสงฆ์จำนวนมากที่เป็นฝ่ายดั้งเดิม

2. ธรรมยุต - พระสงฆ์คณะใหม่ มีระเบียบวิธีปฏิบัติและความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนจากเดิม

ทั้งมหานิกายและธรรมยุต มีพระทั้ง 2 แบบ คือ มีทั้งพระป่าและพระบ้านทั้ง 2 นิกาย ต่อมาพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พระเถระที่ชาวบ้านนับถือว่าเป็นพระสุปฏิปันโน มีศีลาจารวัตรงดงามและเป็นต้นแบบพระสายป่าในเมืองไทย ท่านได้นำการธุดงค์และอยู่ป่าเป็นวัตร มาเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับในคณะสงฆ์และสร้างศรัทธาในหมู่ญาติโยม ข้อสังเกตจากพระภิกษุสายอาจารย์มั่น คือ เป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ผู้คนส่วนใหญ่จึงมักจะคิดว่าพระสายป่าที่ปฏิบัติเคร่งครัดเป็นพระสายธรรมยุตไปด้วย

เก่งกับเคร่ง-จุดแข็งและจุดอ่อนของพระทั้ง 2 สาย

ดังกล่าวแล้วพระสายปริยัติ (พระบ้าน) มีความมุ่งมั่นและเชี่ยวชาญในพระปริยัติ รวมทั้งด้านการบริหารคณะสงฆ์ด้วย พระสงฆ์สายบ้านจึงมีความรู้ในพระปริยัติอย่างดี มีความสามารถในด้านบริหาร ซึ่งเห็นได้จากระบบการศึกษาสงฆ์และการปกครองคณะสงฆ์ทั้งหมดอยู่ในกำมือของพระสายบ้าน และพระสายนี้ถือเป็นรากฐานที่แท้จริงของคณะสงฆ์ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพของคณะสงฆ์ทั้งหมด อีกอย่างหนึ่งคณะสงฆ์สายนี้ได้มีส่วนร่วมในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์การของรัฐ และมีส่วนช่วยอย่างมากในการสร้างความเป็นปึกแผ่นต่อชาติ และจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และรักษาคุ้มครองปกป้องพระศาสนาในคราวมีภัยในนามของพระสงฆ์ทุกฝ่าย เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกับบ้านเมืองและประชาชน นี้เป็นจุดแข็ง

จุดอ่อนของคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสี คือ มักจะถูกชาวบ้านและคณะสงฆ์สายอื่นมองว่า "ไม่เคร่งครัด" ประพฤติย่อหย่อนในด้านพระวินัย ทั้งที่ความจริงอาจจะตรงกันข้ามก็เป็นได้ ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากกว่า การที่พระสายบ้านถูกมองอย่างนี้อาจจะเป็นเพราะว่าวิถีชีวิตของพระสายบ้านใกล้ชิดและไม่แตกต่างกับชาวบ้านเท่าไร เช่น การปกครอง การศึกษา การใช้เทคโนโลยี การบริหารจัดการ ฯลฯ และความเก่งในสายปริยัติเอง ในบางครั้งอาจมองว่าพระสายอื่นว่ารู้น้อยกว่า จนเกิดการเปรียบเทียบได้

ความเคร่งครัด สร้างศรัทธาให้พระป่า

ค่านิยมทำบุญกุศลกับพระสายป่า มาจากการปฏิบัติที่เคร่งครัดในศีลาจารวัตรของแต่ละท่าน พระป่าเป็นที่นิยมของชาวบ้านในการทำบุญกุศล ชาวบ้านญาติโยมบางส่วนอาจจะคิดว่าทำบุญกับพระป่าได้บุญมากกว่าพระสายบ้าน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่มีพุทธพจน์รับรอง อันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เราสังเกตได้ ความเป็นอยู่เรียบง่าย วิถีชีวิตที่สันโดษ กอปรกับการปฏิบัติเคร่งครัดในด้านธุดงควัตร ทำให้พระป่าเป็นที่เคารพและนับถือยิ่งกว่าพระทุกสายในประเทศและยังเป็นที่เล่าลือและเชื่อถือกันว่า "วิธีแบบพระป่าคือวิถีแห่งพระอริยะ" จึงมีพระสายนี้หลายรูปได้รับการเล่าลือว่าบรรลุธรรมในระดับต่างๆ ทำให้พุทธศาสนิกชนศรัทธามากยิ่งขึ้น นี่เป็นจุดแข็งของพระป่า

จุดอ่อนของพระป่า คือ ความรู้ในด้านวิชาการ การถ่ายทอด การเผยแพร่พุทธธรรม ที่ไม่เป็นระบบ สิ่งปรากฏออกมาจากท่านเหล่านั้นล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าถูกต้องก็เป็นสิ่งที่ดีไป แต่ถ้าผิดพลาดก็ยากจะแก้ไข เพราะมีความเชื่อเคารพศรัทธาอยู่เต็มไปหมดและสีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นในศีลพรต) โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบพระสายอื่น จะก่อให้เกิดทิฐิมานะถือตัวและเปรียบเทียบได้เช่นกัน

สุดท้ายคือ เมื่อพระป่าเป็นที่เคารพของชาวบ้าน จึงเต็มไปด้วยอดิเรกลาภ ซึ่งอาจจะเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดี ได้ใช้โอกาสเลียนรูปแบบแล้วแต่แสวงผลประโยชน์จากความเคร่งครัดของท่านเหล่านั้นได้ เรื่องนี้มีปรากฏอยู่เนืองๆ

ความแตกแยกไม่ได้อยู่ที่สายพระป่า-พระบ้าน

ดังกล่าวแล้วข้างต้น พระสายป่าและพระบ้านล้วนเป็นทางเลือกในวิถีความเป็นพระ ตามถนัดของแต่ละบุคคล แต่ความเป็นพระภิกษุ

(สมณภาวะ) คือมี 227 ข้อ และถือไตรสรณคมน์สมบูรณ์เท่าเทียมกัน ไม่มีความแตกต่างกัน

ในสมัยพุทธกาล ในคราวพุทธปรินิพพานพระพุทธเจ้า พระป่าสายพระมหากัสสปะเถระ ออกจากป่ามาร่วมศาสนกิจและช่วยสังคายนากับพระสายบ้าน เช่น พระอานนท์ พระอุบาลี อนุรุทธะ เป็นต้น อย่างไม่มีข้อรังเกียจเดียดฉันท์ จนเป็นตันติ (แบบแผน) ที่ดีงามของคณะสงฆ์ตลอดมา

ความแตกแยกของคณะสงฆ์ไม่เคยมีปรากฏในเรื่องสายที่ตนสังกัด แต่จะแตกแยกกันด้วย 2 ประการคือ

1. สีลสามัญญตา = ศีลเสมอกันหรือไม่

2. ทิฏฐิสามัญญตา = ความเห็นชอบร่วมกันมีหรือไม่

ประวัติศาสตร์ในคณะสงฆ์ไทย พระสายป่าที่เราถือว่าเป็นพระสุปฏิปันโน ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยในการนำพระป่ามาทะเลาะกับพระบ้านสักครั้งเดียว พระเดชพระคุณเจ้าเหล่านั้นเข้าใจในสถานะที่เป็นอยู่และจุดมุ่งหมายของชีวิตของกันและกัน เราจะเห็นพระสายบ้านทั้งธรรมยุตและมหานิกายไปกราบเคารพสักการะ สนับสนุนพระสายป่าอยู่เป็นประจำ พระสายป่าก็สนับสนุนส่งเสริมกิจการคณะสงฆ์และให้ความร่วมมือกับพระสายบ้านเสมอมา

ความแตกแยกที่เคยปรากฏในคณะสงฆ์ไทยเป็นเรื่องนิกายเสียส่วนใหญ่ เช่น ธรรมยุตกับมหานิกาย ปัจจุบันเรื่องนี้มีปรากฏอยู่บ้าง แต่ไม่รุนแรงเหมือนแต่ก่อน

การพยายามโยงพระสายป่ามาทะเลาะกับพระสายบ้าน ในปัจจุบันซึ่งไม่น่าจะเข้ากับได้กับคติที่วิญญูชนทั้งหลายในพระพุทธศาสนาจะยอมรับได้ และการประกาศว่าพระป่าเป็นผู้ประท้วงก็มิสมควรอย่างยิ่ง เพราะพระป่าที่แท้ย่อมไม่ประท้วงมีแต่ประสานประโยชน์และสร้างสันติสุขแก่สังคม เราชาวพุทธไม่น่าสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมใดๆ ที่จะก่อให้เกิดความแตกแยกในคณะสงฆ์ (สังฆเภท) ซึ่งเป็นไปความเสื่อมพระศาสนาโดยรวม และเป็นบาปที่สุดในพระพุทธศาสนา ถ้าฝ่ายใดที่จะเอาชนะให้ได้ ก็ให้ชนะไป

เราชาวพุทธแท้ทุกคนขอเป็นผู้แพ้ เพื่อเป็นพระที่แท้จริงตลอดไป

ดร.มงคล นาฏกระสูตร
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
-ข่าวสด 5/08/47-

 แสดงความคิดเห็น - คำแนะนำ
จำนวนคนอ่าน คน
 พระเทพมงคลเมธี (เจ้าคณะนครพน [16 มิ.ย. 2549 เวลา 13:40 น.]
  ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว

 สาธุชน [26 พ.ค. 2549 เวลา 21:43 น.]
  สาธุชนที่เป็นชาวพุทธทุกท่านเรื่องของเคร่งหรือไม่เคร่งนั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญคือความสามัคคีของหมู่สงฆ์ที่จะช่วยกันรักาาพระพุทธศาสนาและสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ได้คงทน ทุกฝ่ายมีความสำคัญเท่าเทียมกัน พระบ้านอย่าว่าพระป่า พระป่าอย่าพระบ้านเป็นพอ ต่างคนต่างทำหน้าที่เถอะ เพราะว่าคนนั้นมีอุปนิสัยหรือจริตไม่เหมือนกัน จะให้เหมือนกันหมดเลยที่ดียวไม่ได้ แม้ว่าจะบวชเป็นพระแล้วก็ตาม แต่อย่างไรเขาก้พยายามฝึกฝนตนเองอยุ่มิได้ขาด เปลี่ยนความคิดใหม่ หันมาสามัคคีทั้งสองฝ่ายดีกว่า มันจึงจะทำให้โลกน่าอยู่ มิฉะนั้นถ้าเราไม่สามัครีกัน อาจจะเป็นจุดอ่อนที่จะทำให้คนไม่หวังดียุยงทำให้เรานั้นแตกสามัคคีกันแล้วต่อไปเขาจะทำลายศาสนาของเราได้นะครับ เพราะฉนั้นเราจะต้องสามัคีกันนะครับ ถึงอย่างไรเราก็นับถือพระพุทธศาสนาเราจึงไม่ควรที่แบ่งแยกกันนะครับ.......

 niwat@dbthailand.com [2 เม.ย. 2549 เวลา 21:35 น.]
  พระป่าหรือพระบ้านก็คือสมณะ ผู้สงบจากกิเลส (แม้จะยังฝึกตนเองอยู่ก็ดี) โลภะ โทสะ และโมหะ บางครั้งอาจจะแตกต่างกันบ้างเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติก็ดี แต่เป้าหมายก็เหมือนกันคือพระนิพพาน การที่เราจะดูว่าเคร่งหรือเก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูจริยาของท่านว่ามีความสงบระงับหรือไม่ โดยเฉพาะจะต้องปฏิบัติตรง ตามโอวาทปาฏิโมกข์ ไม่ว่าจะเป็น หลักการ อุดมการณ์ และวิธีการในการเผยแผ่คำสอนโดยความเคารพในความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น

 nutthapala@hotmail.com [1 ก.พ. 2549 เวลา 18:13 น.]
  คุณเอย ดีชั่วอยู่ที่ตัวเราเองไม่เกี่ยวกับป่าเกี่ยวกับบ้านดอก ถ้าอยู่ป่า แต่ควบคุมราคโทสโมหของตนไม่ได้ มันก็ ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าอยู่บ้านควบคุมราคโทสโมหได้ก็ไม่ต่างจากอยู่ป่า ป่าเป็นเพียงสถานที่สงัดภายนอกเท่านั้นตัวป่าเองมันทำให้ใครๆหมดกิเลสไม่ได้ดอก ดีชั่วมันอยู่ที่ตัวเราเอง อย่าโง่นักเลย บั้นปลายพระชนชีพของพระพุทธเจ้าท่านก็อยู่เมือง จากพระผู้เคยจำพรรษาในถ้ำในป่ากิเลสที่เกิดผุดขึ้นในใจก็ตัวเดียวกัน เจริญธรรมเน้อ กิตติโสภโณภิกขุ 01-1-49

 แมลงหวี่ [31 ม.ค. 2549 เวลา 15:01 น.]
  เป็นพระสงฆ์ถือศีล227 ข้อเหมือนกัน พระป่า และพระบ้าน มีข้อวัตรปฏิบัตเหมือนกัน ไม่แตกต่างกันเลย แต่อยู่กับพระที่จะนำไปปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน พระป่า มีข่าวเล่าลือตาหน้าหนังสือพิมพ์ที่ไม่ดี พระบ้านก็มีข่าวเล่าลือไม่ดีเหมือนกัน ความหมายคำว่าพระที่ชาวบ้านศรัทธาเป็นว่าที่บริสุทธิ์ใจที่จะดำรงค์ความเป็นพระจริง ๆ ไม่ผลประโยชน์เข้าเกี่ยวข้อง


   
*ชื่อ :
อีเมล :
*จังหวัด :
*ความคิดเห็น :
 
หน้าแรก พระพุทธศาสนา ประวัติพระพุทธสาวก หัวข้อธรรม ธรรมปฏิบัติ ศาสนพิธี วันสำคัญทางศาสนา ทศชาติชาดก วิทยุธรรมะไทย
พุทธศาสนสุภาษิต พจนานุกรมพุทธศาสน์ ทำเนียบวัดไทย คลังแสงแห่งธรรม พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ข่าวธรรมะ กิจกรรมธรรมะ สมุดเยี่ยม
ธรรมะไทย - dhammathai.org Warning: include(../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/articles/phra.php on line 691 Warning: include(../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/articles/phra.php on line 691 Warning: include(): Failed opening '../useronline.php' for inclusion (include_path='.:/usr/local/lib/php') in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/articles/phra.php on line 691