"อยู่เรียบง่าย
แต่จิตใจสูงส่ง" เป็นอุดมคติที่เราใช้มองรูปแบบของวิถีชีวิตพระสงฆ์ขั้นสูงสุด
หรือเราเรียกว่า "พระอริยะเจ้า"
สถานภาพพระสงฆ์จากทัศนะอันนี้ ทำให้พระสงฆ์ได้รับการปฏิบัติเหมือนบุคคลชั้นสูงในสังคม
พระสงฆ์จึงได้รับการดูแลอย่างดี ได้รับความเคารพกราบไหว้ นับถือ บูชาสักการะ
ได้รับการอุปถัมภ์ทางด้านวัตถุและปัจจัย 4 อันประณีต
ทั้งนี้เนื่องมาจากบุคลิกภาพที่น่าประทับใจแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป
อันได้แก่ ความเป็นอยู่เรียบง่ายในรูปแบบชีวิต (Life Style) ด้วยพระวินัย
และสภาพจิตใจที่ประเสริฐและสูงส่งด้วยธรรมะ ที่เหนือกว่าสามัญชนทั่วไป
พระวินัย-สิ่งที่สร้างรูปแบบชีวิตของพระสงฆ์
ความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายอันประกอบไปด้วยสาระที่เรียกว่า
"พระวินัย" เป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของพระ พระภิกษุ เมื่อเข้ามาบวชพระอุปัชฌาย์ได้แนะนำในสิ่งที่ปฏิบัติได้และปฏิบัติไม่ได้
- สิ่งที่ปฏิบัติได้ เรียกว่า "นิสัย"
มี 4 ประการคือ
1. บิณฑบาต
2. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
3. อยู่โคนไม้
4. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า
นิสัยถือว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตที่เอื้อต่อความเป็นพระที่สมบูรณ์
แต่เป็นทางเลือก มิได้บังคับ
- สิ่งปฏิบัติไม่ได้เรียกว่า "อกรณียกิจ"
มี 4 ประการเช่นกัน คือ
1. เสพเมถุน
2. ลักขโมย
3. ฆ่ามนุษย์
4. อวดอุตริมนุษยธรรม
การล่วงละเมิดใน 4 ประการกนี้ ทำให้ชีวิตความเป็นพระสิ้นสุดลงทันที
ทั้ง 2 ประการนี้ เป็นแบบแผนการดำเนินชีวิตของความเป็นพระแบบพุทธดั้งเดิมมาจนถึงปัจจุบัน
ศาสนกิจแบ่งพระสงฆ์ตามความถนัด แต่จุดหมายเดียวกัน
ศาสนกิจคือ สิ่งที่พระภิกษุต้องปฏิบัติหลังจากบวชแล้ว
ท่านเรียกว่า
"ธุระ" มี 2 อย่างคือ
1. คันถธุระ = ธุระฝ่ายคัมภีร์ กิจด้านการเล่าเรียน,
ศึกษาพระธรรมวินัย = คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด
2. วิปัสสนาธุระ = ธุระฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน
= กิจด้านการบำเพ็ญภาวนาหรือเจริญกรรมฐาน
ตามระบบในพระวินัย พระภิกษุต้องอยู่ในสำนักเดียวกับอุปัชฌาย์
เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยอย่างน้อย 5 พรรษา (นวกภูมิ) จึงจะพ้นจากนิสัย
(นิสัยมุตตกะ) ไปอยู่ที่อื่นได้และในระหว่างนั้นก็ต้องศึกษาด้านคันถธุระเป็นพื้นฐาน
อาจจะมีการปฏิบัติที่หลังหรือควบคู่ไปกับการศึกษาก็ได้ตามความเหมาะสม
ปริยัติเป็นบาทฐานสู่ปฏิบัติ
ปฏิบัติเป็นบาทฐานสู่ปฏิเวธ
มีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งชอบและถนัดในด้านปริยัติ
จึงมีหน้าที่รวบรวม ประมวล ถ่ายทอด เผยแพร่คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ไปสู่ผู้อื่น
และบริหารดูแลกิจการคณะสงฆ์ พระสงฆ์กลุ่มนี้เรียกว่า "พระสายปริยัติ"
พระสายนี้มักจะอยู่กับที่ อยู่ในสำนัก ในวัดและอยู่ใกล้กับบ้าน ต่อมาก็อยู่ใกล้เคียงกับชาวบ้าน
จึงมักถูกเรียกว่า "พระบ้าน" (คามวาสี)
ธุดงควัตร-จุดกำเนิดของพระป่า
ในการปฏิบัติ พระพุทธองค์ทรงแนะนำพระภิกษุไปอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสม
ที่ที่ทรงแนะนำ เช่น สุญญาคาร (เรือนว่าง) ป่าช้า ป่า โคนไม้ เป็นต้น
ซึ่งเป็นที่สัปปายะ (สะดวกและเหมาะสม) สำหรับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง
ในสมัยพุทธกาลพระมหากัสสปเถระนิยมชมชอบการปฏิบัติธรรมในลักษณะเช่นนี้
เท่านั้นยังไม่พอท่านยังปฏิบัติให้เคร่งครัดเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีกโดยการปฏิบัติธุดงควัตร(ธรรมอันเป็นอุบายดับกิเลส
และช่วยส่งเสริมความมักน้อยสันโดษ) จนพระบรมศาสดาสรรเสริญท่านให้เป็นเอตทัคคะในด้านนี้
ซึ่งมีพระอีกจำนวนมากที่ชอบและถนัดในการปฏิบัติในสายนี้
ต่อมาพระในสายนี้ได้เป็นตัวแทนพระภิกษุที่ปฏิบัติเคร่งครัด
ที่เราเรียกว่า "พระป่า" (อรัญวาสี)
ข้อสังเกตประการหนึ่งต่อสายพระป่า ได้แก่
พระพุทธองค์ไม่ทรงบังคับให้พระภิกษุทุกรูปปฏิบัติเช่นนี้ตลอดเวลา หลักฐานที่ปรากฏชัด
เช่น ข้อเสนอของพระเทวทัต 5 ประการ เช่น การอยู่ป่าเป็นวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร
เป็นต้น พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต โดยให้ถือเป็นทางเลือกก็พอ
ปฏิเวธ คือ จุดมุ่งหมายของพระทั้ง 2
สาย
การบรรลุธรรม (วิมุตติ) เป็นจุดหมายสูงสุดของการบวชในพระพุทธศาสนา
การบรรลุธรรมต้องอาศัยทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติควบคู่กันไป ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปก็จะทำให้การบรรลุธรรมเป็นไปได้ยาก
พระสงฆ์ที่เก่งด้านปริยัติอย่างเดียวไม่ปฏิบัติก็มืดบอด ปฏิบัติอย่างเดียวไม่มีปริยัติก็หลงทาง
ทั้งสองฝ่ายต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อไปสู่หนทางเดียวกันคือปฏิเวธ
อีกประการหนึ่ง ในการธำรงและสืบทอดพระศาสนา
ทั้งปริยัติและปฏิบัติ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องป้องกันพระศาสนาไม่เสื่อมลง
เมื่อไม่มีปริยัติ ปฏิบัติก็ไม่มี ปฏิเวธไม่ต้องพูดถึง เพราะปริยัติ
(พุทธธรรม) เป็นผลมาจากการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าและพระสาวก ซึ่งได้แก่
ปฏิเวธนั่นเอง
พระป่า-พระบ้านในเมืองไทยกับริบทที่แปรเปลี่ยน
เมื่อประเทศไทยรับพระพุทธศาสนาเข้ามา
เราไม่ได้รับเข้ามาเพียงหลักธรรมเท่านั้น แต่ยังได้รับวัฒนธรรมของสงฆ์เข้ามาอีกด้วย
ในสมัยสุโขทัย มีการแบ่งพระสงฆ์ออกเป็น 2 ฝ่ายเช่นกัน คือ
1. คามวาสี คือ คณะของพระภิกษุที่ศึกษาเน้นหนักในด้านพระพุทธวจนะในพระไตรปิฎก
อรรถกถา และคัมภีร์ต่างๆ รวมทั้งวิทยาการต่างๆ อาศัยอยู่ในเขตเมืองหรือใกล้ชุมชน
2. อรัญวาสี คือ คณะของพระภิกษุที่เน้นหนักในด้านการปฏิบัติ
มุ่งบำเพ็ญภาวนา อยู่ในป่าและสถานที่ห่างไกลจากบ้านและชุมชนออกไป
การแบ่งคณะสงฆ์ในลักษณะนี้ เนื่องจากเงื่อนไขทางสังคมเปลี่ยนไปจากเรื่องศาสนามาเป็นเรื่องสังคมและการเมือง
เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม จนมาถึงรัตนโกสินทร์ คณะสงฆ์ได้แบ่งออกไปเป็น
2 นิกาย คือ
1. มหานิกาย - พระสงฆ์จำนวนมากที่เป็นฝ่ายดั้งเดิม
2. ธรรมยุต - พระสงฆ์คณะใหม่ มีระเบียบวิธีปฏิบัติและความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนจากเดิม
ทั้งมหานิกายและธรรมยุต มีพระทั้ง 2
แบบ คือ มีทั้งพระป่าและพระบ้านทั้ง 2 นิกาย ต่อมาพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
พระเถระที่ชาวบ้านนับถือว่าเป็นพระสุปฏิปันโน มีศีลาจารวัตรงดงามและเป็นต้นแบบพระสายป่าในเมืองไทย
ท่านได้นำการธุดงค์และอยู่ป่าเป็นวัตร มาเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับในคณะสงฆ์และสร้างศรัทธาในหมู่ญาติโยม
ข้อสังเกตจากพระภิกษุสายอาจารย์มั่น คือ เป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ผู้คนส่วนใหญ่จึงมักจะคิดว่าพระสายป่าที่ปฏิบัติเคร่งครัดเป็นพระสายธรรมยุตไปด้วย
เก่งกับเคร่ง-จุดแข็งและจุดอ่อนของพระทั้ง
2 สาย
ดังกล่าวแล้วพระสายปริยัติ (พระบ้าน)
มีความมุ่งมั่นและเชี่ยวชาญในพระปริยัติ รวมทั้งด้านการบริหารคณะสงฆ์ด้วย
พระสงฆ์สายบ้านจึงมีความรู้ในพระปริยัติอย่างดี มีความสามารถในด้านบริหาร
ซึ่งเห็นได้จากระบบการศึกษาสงฆ์และการปกครองคณะสงฆ์ทั้งหมดอยู่ในกำมือของพระสายบ้าน
และพระสายนี้ถือเป็นรากฐานที่แท้จริงของคณะสงฆ์ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพของคณะสงฆ์ทั้งหมด
อีกอย่างหนึ่งคณะสงฆ์สายนี้ได้มีส่วนร่วมในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์การของรัฐ
และมีส่วนช่วยอย่างมากในการสร้างความเป็นปึกแผ่นต่อชาติ และจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
และรักษาคุ้มครองปกป้องพระศาสนาในคราวมีภัยในนามของพระสงฆ์ทุกฝ่าย
เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกับบ้านเมืองและประชาชน นี้เป็นจุดแข็ง
จุดอ่อนของคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสี คือ มักจะถูกชาวบ้านและคณะสงฆ์สายอื่นมองว่า
"ไม่เคร่งครัด" ประพฤติย่อหย่อนในด้านพระวินัย ทั้งที่ความจริงอาจจะตรงกันข้ามก็เป็นได้
ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากกว่า การที่พระสายบ้านถูกมองอย่างนี้อาจจะเป็นเพราะว่าวิถีชีวิตของพระสายบ้านใกล้ชิดและไม่แตกต่างกับชาวบ้านเท่าไร
เช่น การปกครอง การศึกษา การใช้เทคโนโลยี การบริหารจัดการ ฯลฯ และความเก่งในสายปริยัติเอง
ในบางครั้งอาจมองว่าพระสายอื่นว่ารู้น้อยกว่า จนเกิดการเปรียบเทียบได้
ความเคร่งครัด สร้างศรัทธาให้พระป่า
ค่านิยมทำบุญกุศลกับพระสายป่า มาจากการปฏิบัติที่เคร่งครัดในศีลาจารวัตรของแต่ละท่าน
พระป่าเป็นที่นิยมของชาวบ้านในการทำบุญกุศล ชาวบ้านญาติโยมบางส่วนอาจจะคิดว่าทำบุญกับพระป่าได้บุญมากกว่าพระสายบ้าน
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่มีพุทธพจน์รับรอง อันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เราสังเกตได้
ความเป็นอยู่เรียบง่าย วิถีชีวิตที่สันโดษ กอปรกับการปฏิบัติเคร่งครัดในด้านธุดงควัตร
ทำให้พระป่าเป็นที่เคารพและนับถือยิ่งกว่าพระทุกสายในประเทศและยังเป็นที่เล่าลือและเชื่อถือกันว่า
"วิธีแบบพระป่าคือวิถีแห่งพระอริยะ" จึงมีพระสายนี้หลายรูปได้รับการเล่าลือว่าบรรลุธรรมในระดับต่างๆ
ทำให้พุทธศาสนิกชนศรัทธามากยิ่งขึ้น นี่เป็นจุดแข็งของพระป่า
จุดอ่อนของพระป่า คือ ความรู้ในด้านวิชาการ
การถ่ายทอด การเผยแพร่พุทธธรรม ที่ไม่เป็นระบบ สิ่งปรากฏออกมาจากท่านเหล่านั้นล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ
ถ้าถูกต้องก็เป็นสิ่งที่ดีไป แต่ถ้าผิดพลาดก็ยากจะแก้ไข เพราะมีความเชื่อเคารพศรัทธาอยู่เต็มไปหมดและสีลัพพตปรามาส
(ความถือมั่นในศีลพรต) โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบพระสายอื่น จะก่อให้เกิดทิฐิมานะถือตัวและเปรียบเทียบได้เช่นกัน
สุดท้ายคือ เมื่อพระป่าเป็นที่เคารพของชาวบ้าน
จึงเต็มไปด้วยอดิเรกลาภ ซึ่งอาจจะเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดี ได้ใช้โอกาสเลียนรูปแบบแล้วแต่แสวงผลประโยชน์จากความเคร่งครัดของท่านเหล่านั้นได้
เรื่องนี้มีปรากฏอยู่เนืองๆ
ความแตกแยกไม่ได้อยู่ที่สายพระป่า-พระบ้าน
ดังกล่าวแล้วข้างต้น พระสายป่าและพระบ้านล้วนเป็นทางเลือกในวิถีความเป็นพระ
ตามถนัดของแต่ละบุคคล แต่ความเป็นพระภิกษุ
(สมณภาวะ) คือมี 227 ข้อ และถือไตรสรณคมน์สมบูรณ์เท่าเทียมกัน
ไม่มีความแตกต่างกัน
ในสมัยพุทธกาล ในคราวพุทธปรินิพพานพระพุทธเจ้า
พระป่าสายพระมหากัสสปะเถระ ออกจากป่ามาร่วมศาสนกิจและช่วยสังคายนากับพระสายบ้าน
เช่น พระอานนท์ พระอุบาลี อนุรุทธะ เป็นต้น อย่างไม่มีข้อรังเกียจเดียดฉันท์
จนเป็นตันติ (แบบแผน) ที่ดีงามของคณะสงฆ์ตลอดมา
ความแตกแยกของคณะสงฆ์ไม่เคยมีปรากฏในเรื่องสายที่ตนสังกัด
แต่จะแตกแยกกันด้วย 2 ประการคือ
1. สีลสามัญญตา = ศีลเสมอกันหรือไม่
2. ทิฏฐิสามัญญตา = ความเห็นชอบร่วมกันมีหรือไม่
ประวัติศาสตร์ในคณะสงฆ์ไทย พระสายป่าที่เราถือว่าเป็นพระสุปฏิปันโน
ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยในการนำพระป่ามาทะเลาะกับพระบ้านสักครั้งเดียว
พระเดชพระคุณเจ้าเหล่านั้นเข้าใจในสถานะที่เป็นอยู่และจุดมุ่งหมายของชีวิตของกันและกัน
เราจะเห็นพระสายบ้านทั้งธรรมยุตและมหานิกายไปกราบเคารพสักการะ สนับสนุนพระสายป่าอยู่เป็นประจำ
พระสายป่าก็สนับสนุนส่งเสริมกิจการคณะสงฆ์และให้ความร่วมมือกับพระสายบ้านเสมอมา
ความแตกแยกที่เคยปรากฏในคณะสงฆ์ไทยเป็นเรื่องนิกายเสียส่วนใหญ่
เช่น ธรรมยุตกับมหานิกาย ปัจจุบันเรื่องนี้มีปรากฏอยู่บ้าง แต่ไม่รุนแรงเหมือนแต่ก่อน
การพยายามโยงพระสายป่ามาทะเลาะกับพระสายบ้าน
ในปัจจุบันซึ่งไม่น่าจะเข้ากับได้กับคติที่วิญญูชนทั้งหลายในพระพุทธศาสนาจะยอมรับได้
และการประกาศว่าพระป่าเป็นผู้ประท้วงก็มิสมควรอย่างยิ่ง เพราะพระป่าที่แท้ย่อมไม่ประท้วงมีแต่ประสานประโยชน์และสร้างสันติสุขแก่สังคม
เราชาวพุทธไม่น่าสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมใดๆ ที่จะก่อให้เกิดความแตกแยกในคณะสงฆ์
(สังฆเภท) ซึ่งเป็นไปความเสื่อมพระศาสนาโดยรวม และเป็นบาปที่สุดในพระพุทธศาสนา
ถ้าฝ่ายใดที่จะเอาชนะให้ได้ ก็ให้ชนะไป
เราชาวพุทธแท้ทุกคนขอเป็นผู้แพ้ เพื่อเป็นพระที่แท้จริงตลอดไป
|