Warning: file(../ad468.txt): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/randomad468.php on line 4
 
 
หน้าแรก บทความธรรมะ
Search By Google

วิธีเจริญวิปัสสนา

โดย : ธรรมรักษา
วันที่ online : ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๘



วิปัสสนา คือ ความเห็นแจ้ง คือเห็นตรงต่อความเป็นจริงของสภาวธรรม, ปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์ อันเป็นเหตุให้ถอนความหลงผิด รู้ผิดในสังขาร (สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งทั้งนามธรรม และรูปธรรมก็ตาม) เสียได้, การฝึกอบรมปัญญา ให้เกิดความเห็นแจ้ง รู้ชัดในสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นของมันเอง (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต)

การเจริญวิปัสสนา เป็นวิถีทางเดียว ที่ทุกคนจะได้เข้าถึง "ความจริงของชีวิต" สามารถที่จะแยกออกได้ว่า สิ่งใดเป็น "สัจจะ" และสิ่งใดเป็น "มายา"

เมื่อรู้ และเห็นสิ่งเหล่านี้ อย่างแจ่มแจ้ง และถูกต้องแล้วโอกาสที่จะตกเป็น "ทาส" ของมัน ก็เป็นไปได้ยาก ยกเว้นแต่เป็น " ทาสสมยอม" คือ เป็นทาสของมันทั้ง ๆ ที่รู้ อย่างนี้ ก็ไม่มีใครช่วยได้

ในที่นี้จะกล่าววิธีปฏิบัติวิปัสสนาที่แพร่หลายในประเทศไทยเพียงสังเขป เป็นที่รับรองต้องกัน ในหมู่ผู้รู้ทั้งหลายว่า สำนักปฏิบัติธรรม หรือสำนักวิปัสสนาในเมืองไทยเกือบทั้งหมดได้ใช้แนว " อานาปานสติสูตร "(14/167) และ " สติปัฏฐานสูตร " (12/84) เป็นเสียส่วนใหญ่

ต่างกันแต่ว่า ส่วนมากไม่ได้เอาไปสอน หรือปฏิบัติให้ครบหมดทั้งพระสูตร แต่ได้เจาะ หรือตัด เอาเฉพาะที่ต้องการจะเน้น แล้วนำไปขยาย ตามแต่ที่ตนต้องการ ด้วยเหตุนี้ แนวการปฏิบัติของสำนัก หรืออาจารย์ต่าง ๆ จึงไม่เหมือนกัน

จึงทำให้ผู้ที่มีการศึกษาน้อย หรือผ่านการปฏิบัติมาน้อยแห่ง จึงเกิดความสงสัยว่า ทำไมจึงมีหลายแบบมากนัก ? และแบบไหน ? เป็นแบบที่ถูกต้อง ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สุด ?

ก็ตอบได้ว่า หลักในอานาปานสติสูตร และสติปัฏฐานสูตร หรือมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุด ถ้าท่านไม่ชอบวิธีอื่น ๆ ก็ทำตามหลักที่ว่านี้เถิด ไม่ผิดแน่นอน

ขอเพิ่มเติม สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาพระว่า อย่าได้เอาวิปัสสนา ไปปนกับการเพ่งกสิณ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ และสีต่าง ๆ รวมทั้งเพ่งพระพุทธรูปด้วย เพราะนั่นเป็นวิธีการ ของการฝึกสมาธิล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับวิปัสสนาในช่วงนี้เลย สมาธิจะเป็นวิปัสสนาได้ ก็ต่อเมื่อการเอาจิตที่สงบ หรือตั้งมั่นดีแล้วนั้น ไปเจริญวิปัสสนา โดยการพิจารณาร่างกายเป็นอสุภะ กายคตาสติ ปฏิกูล หรือมรณสติ เป็นต้น

ถ้าเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว จะต้องใช้หลักของอานาปานสติ และสติปัฏฐาน คือ เน้นที่สติเท่านั้น แม้ในหลักทั้ง 2 นี้ ในขั้นต้น ๆ ก็ยังเป็นเรื่องของสมาธิอยู่ เช่น การกำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก ให้จิตจดจ่อ หรือแน่นิ่ง อยู่กับลมหายใจ เป็นต้น

ดังนั้น สำนักปฏิบัติต่าง ๆ บางแห่ง จึงปฏิบัติควบคู่กันทั้งสมาธิ และวิปัสสนา ต่างกันแต่ว่า สำนักไหนจะเน้นที่สมาธิมาก หรือ เน้นที่วิปัสสนา คือปัญญา มากน้อยกว่ากันเท่านั้น

ขอบันทึกไว้ในเบื้องต้นก่อนว่า ผลของการเจริญสมาธิ กับการเจริญวิปัสสนานั้น แตกต่างกันมากเลยทีเดียว กล่าวคือ

การเจริญสมาธิล้วน ๆ เมื่อจิตสงบแล้ว อย่างน้อย ๆ จะเกิดมีขนลุก น้ำตาไหล คันตามตัว ตัวเบา หรือตัวลอย ตัวแข็ง เกิดความสุขสบาย นั่งแล้วไม่อยากเลิก ในบางคน เป็นต้น

นอกจากนี้ อาจเห็นนิมิตต่าง ๆ ทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน อยากเห็นอะไรก็ได้เห็น ซึ่งเป็นทั้งของจริงก็มี ของเก๊ก็มาก

ส่วนการเจริญวิปัสสนานั้น ผลจะปรากฏว่า จิตจะเกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด คลายความยึดถือในสิ่งต่าง ๆ เพราะสิ่งต่าง ๆ ล้วนมีปัญหา ไม่จีรังยั่งยืน เป็นต้น ทำให้รู้จักชีวิตได้อย่างแท้จริง

ในการเจริญวิปัสสนาเบื้องต้น ไม่สนุกสนานเพลิดเพลิน เพราะต้องฝืน ระมัดระวัง ต้องประคองสติ และสัมปชัญญะ(รู้ตัว) ให้ทันกับพฤติกรรมทั้ง 3 คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ อยู่ตลอดเวลา แต่ในที่สุดก็จะเกิดความสุขไปอีกแบบหนึ่ง คือ สุขเกิดจากการปล่อยวาง เบาสบาย เพราะรู้เท่าทันในสัจจะ หรือในมายาแห่งชีวิต

ผลพวงของสมาธิ และวิปัสสนา ในการเจริญวิปัสสนาต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐาน จะขาดเสียมิได้ แต่การเจริญสมาธินั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยวิปัสสนาก็ได้ แต่ผลพวงย่อมต่างกัน

สมาธิ ทำให้มีความสุข มีฤทธิ์และอำนาจต่าง ๆ อย่างสูงถ้าได้ฌาน ตายแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลก และยังไม่พ้นทุกข์ ยังไม่หมดภพชาติ ยังไม่หมดกิเลสตัณหา ต้องกลับมาเกิดอีก

วิปัสสนา ทำให้หมดทั้งความสุข และความทุกข์ คือ รู้สัจจธรรมของโลก และชีวิต อย่างถูกต้องแท้จริง จนหมดความอยากมี อยากเป็น หรือความต้องการใด ๆ

เมื่อเรารู้ข้อเท็จจริง ของสมาธิและวิปัสสนา อย่างนี้แล้วก็ควรที่จะปฏิบัติให้ครบทั้งสมาธิ และวิปัสสนา แม้ว่าการปฏิบัตินี้ จะไม่อาจละกิเลสตัณหาได้สิ้นเชิง แต่การที่เราได้สัมผัสกับความสุขในสมาธิ กับการได้สัมผัสสัจจะของชีวิต (วิปัสสนา) ย่อมจะบรรเทาความมัวเมา ในโลกและชีวิตลง อย่างน้อยก็ 50%

ที่กล่าวมานี้ เป็นประสบการณ์ส่วนตัว ไม่มีในตำรา และไม่ยืนยันว่า เป็นความเห็นที่ถูกต้อง หรือไม่ ? แต่ขอยืนยันได้ว่า หลังจากผ่านการปฏิบัติแล้ว มันเป็นอย่างนี้ และไม่มีการต่ำลง มีแต่จะยิ่งสูงขึ้นไปตามลำดับ

 แสดงความคิดเห็น - คำแนะนำ
จำนวนคนอ่าน 10172 คน
 pichit chaiyapech [15 มิ.ย. 2549 เวลา 11:00 น.]
  ผมอยากจะรู้เรื่องการปฏิบัติกสิณ10 ช่วยบอกผมด้วยที่เมล์ผมนี้ pichit48@chaiyo.com kakalot.water@tyhaimail.com -_-"

 คนไกลบ้าน [8 พ.ค. 2549 เวลา 19:15 น.]
  อยากทราบประวัติ หลวงพ่อจิ วัดหนองหว้า

 ก้านบัว [27 เม.ย. 2549 เวลา 06:16 น.]
  ลูกผู้ชายเกิดมาต้องสัมผัส วิปัสนา+สมาธิ

 samai [11 มี.ค. 2549 เวลา 19:08 น.]
  อ่านปริญัติดูง่ายๆ พอปฎิบัติจึงรู้ว่าตัวเองยังโง่ๆ

 \" น้อย \" 7มี. ค . 2549 เวลา01 .40 น.k.1.w.10. [7 มี.ค. 2549 เวลา 01:39 น.]
  การเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นการทำให้จิตใจสงบ

 โอ๋ [3 มี.ค. 2549 เวลา 13:53 น.]
  หลักธรรมของพระพุธทองค์ คือความจริงที่ถูกต้องและตายตัว อย่างปฏิเสธไม่ได้เลย

 บอย [7 ก.พ. 2549 เวลา 12:29 น.]
  พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ทำบุญสร้างโบสถ์สร้างศาลาสร้างวัด ก็ไม่เท่ากับเจริญวิปัสนาเพียงครั้งเดียว


   
*ชื่อ :
อีเมล :
*จังหวัด :
*ความคิดเห็น :
 
หน้าแรก พระพุทธศาสนา ประวัติพระพุทธสาวก หัวข้อธรรม ธรรมปฏิบัติ ศาสนพิธี วันสำคัญทางศาสนา ทศชาติชาดก วิทยุธรรมะไทย
พุทธศาสนสุภาษิต พจนานุกรมพุทธศาสน์ ทำเนียบวัดไทย คลังแสงแห่งธรรม พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ข่าวธรรมะ กิจกรรมธรรมะ สมุดเยี่ยม
ธรรมะไทย - dhammathai.org Warning: include(../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/articles/027.php on line 576 Warning: include(../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/articles/027.php on line 576 Warning: include(): Failed opening '../useronline.php' for inclusion (include_path='.:/usr/local/lib/php') in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/articles/027.php on line 576