ภาษาคนคือภาษาใจ
มนุษย์ มาร อินทร์ พรม ยม ยักษ์ และสัพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนแล้วใช้ภาษาเดียวกัน เป็นภาษาสากลที่ทุกคนสื่อถึงกันได้ เรียกว่า ภาษาใจ ถ้าเข้าใจ ใส่ใจ รู้ใจ ก็เข้าใจภาษาคน จึงเป็นภาษาที่เข้าใจได้ยากมาก นอกจากผู้ที่รู้ทันต้นจิต จะคิดหนอๆ เท่านั้น จึงจะเข้าใจภาษาคน เพราะฉะนั้น ที่สื่อกันทุกวันนี้จึงไปกันคนละเรื่อง แม้แต่คำพูดที่พูดออกไปถ้าถูกย้อนถามกลับว่า เข้าใจคำพูดของตัวเองไหม ว่าพูดเพื่ออะไร ผู้ที่รู้ไม่ทันต้นเหตุแห่งวจีวิญญัติ ก็ไม่สามารถที่จะอธิบายความหมายของคำพูดตัวเองได้ จึงเถึยงกัน ทะเลาะกัน เพราะมันไปคนละทาง รวมแล้วเรียกว่า ยังไม่รู้จักภาษาคน นี่แหละที่พยายามสื่อให้รู้ว่า ผู้ที่รู้ไม่ทัน โง่ทุกเรื่องจริงๆ
เคยพบพระธุดงค์ทางภาคเหนือ ท่านพูดให้ฟัง ท่านบอกว่า ไม่มีใครหรอกที่จะพูดภาษาธรรมให้เป็นภาษาคนได้ ก็เลยบอกพระธุดงค์รูปนี้ไปว่า พระพุทธเจ้าไง ที่พูดภาษาธรรมให้เป็นภาษาคนได้ พระธุดงค์รูปนี้ก็บอกว่า ก็นั่นพระพุทธเจ้านิ คนทั่วไปพูดไม่ได้หรอก ก็เลยแย้งต่อไปว่า ก็ผู้ที่จดจำคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ได้มากไงก็พูดได้ ท่านก็บอกว่า ไม่มีหรอก เสร็จแล้วเราก็อธิบายให้ท่านฟังว่า ภาษาคนหรือภาษาธรรมก็คือภาษาเดียวกัน เพราะเรื่องธรรมะไม่ใช่เรื่องของใคร แต่เป็นเรื่องของใจทุกคน เข้าใจ ใส่ใจ ก็รู้ภาษาธรรมและภาษาคน หลวงพ่อพระธุดงค์ท่านก็อุทานว่า คุณทำภาษาธรรมให้เป็นภาษาพูดได้ด้วยหรือ ก็เลยบอกว่า จดจำของพระพุทธเจ้ามา ก็พูดภาษาธรรม ภาษาคนให้เป็นภาษาพูดได้ ผู้รู้ทัน จะคิดหนอๆ เท่านั้นจึงจะฟังออก
ปากเป็นเอก คำพูดเป็นสุดยอดแห่งฤทธิ์ที่พิชิตปัญหาได้ทุกเรื่อง แต่ต้องผ่านความรู้ทันกลั่นกรองจนถึงต้นเหตุ จะพูดหนอๆ ก็จะรู้คำพูดได้ทุกคำว่าประกอบด้วยคุณหรือโทษ ความเกิด หรือความดับ หรือทางออก หลุดพ้น หรือติดอยู่ ผู้รู้ทัน จะพูดหนอๆ ก็สามารถทำเร่องที่ติดให้หลุดได้ แต่ถ้ายึดถือ รู้ไม่ทัน พูดเรื่องที่หลุดกลับเข้าไปติด เพราะฉะนั้นขีดความสามารถระหว่างผู้รู้ทันกับรู้ไม่ทันจึงแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน หน้ามือและหลังมือ ผู้ที่ใส่ใจเข้าไปถึงต้นเหตุ จะคิดหนอๆ ก็จะอุทานออกมาว่า เมื่อก่อนนี้หลงโง่มาตลอดชีวิต เดี๋ยวนี้มารู้ชัดว่า ธรรมอันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นมาและดับไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนเปิดของที่ปิด บอกทางกับผู้หลงทาง หรือเปิดไฟในที่มืด รู้ชัดว่าการกระทำที่ยิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
เพราะต้นเหตุแห่งคำพูดมันเกิดขึ้นมาจากความคิด ถึงแม้เราหุบปาก แต่ใจของเรายังคิด ในทางธรรมะเรียกว่า วจีสังขารกำลังทำงานอยู่ได้ขื่อว่าพูดแล้ว ผู้ที่รู้ทัน จะพูดหนอๆ แต่ไม่ได้อ้าปากพูด แต่กระแสแห่งคำพูดก็ถูกปล่อยออกไปแล้ว เช่น จะถามอะไรใครก็ไม่ต้องเอ่ยปากถาม เดี๋ยวผู้นั้นก็จะมาตอบเอง คิดจะโทรศัพท์หาใคร บางครั้งก็ไม่ต้องโทร เขาจะโทรกลับมาหาเอง พระพุทธเจ้าจึงบรรจุไว้ในฤทธิ์แห่งนิรุตติ แตกฉานคำพูดในปฎิสัมภิทา 4
จากสายสืบนิสัยศาสตร์