เท่าที่ฟังมาพอจำได้ว่าผู้ที่ตายก่อนอายุขัย เช่น ถูกฆ่าตายหรือเกิดอุบัติเหตุเรียกว่าถูกกรรมตัดรอน คือตายก่อนอายุขัย ที่อยากกราบเรียนถาม คือ ผู้ที่ป่วยตาย เช่นเป็นมะเร็ง หรือเป็นโรคอื่นๆตายจะถือว่าถูกกรรมตัดรอนหรือไม่ (หากกระผมใช้คำถามผิดหรือใช้คำผิดได้โปรดแก้ไขให้ด้วย เช่นกรรมตัดรอนนั้นกระผมเข้าใจว่า คือ คนที่ตายก่อนที่จะถึงอายุขัยครับ)
อนุโมทนากับคำถามครับ
คือตายก่อนอายุขัย ที่อยากกราบเรียนถาม คือ ผู้ที่ป่วยตาย เช่นเป็นมะเร็ง หรือเป็นโรคอื่นๆตายจะถือว่าถูกกรรมตัดรอนหรือไม่
เข้าใจถูกต้องครับ
ความหมายของคำว่ากรรมตัดรอนคือ
กรรมตัดรอน (อุปฆาตกกรรมหรืออุปเฉทกกรรม) กรรมใดที่ทำหน้าที่ฆ่ากรรมอื่นให้สิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาด เรียกว่า “กรรมตัดรอน” หรือ “อุปฆาตกกรรม” พลังอำนาจของ กรรมตัดรอน ก็มีสองอย่างเช่นเดียวกัน คือกรรมฝ่ายดี และกรรมฝ่ายชั่ว มีหน้าที่ตัดกรรมฝ่ายตรงข้ามกับตนให้สิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาด ซึ่งรุนแรงยิ่งกว่าพลังอำนาจของกรรมเบียดเบียน(อุปปีฬกกรรม)
อย่างเช่น บุคคลที่บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือ เป็นที่นับถือแห่งมหาชนทั้งปวง แต่ครั้งกรรมตัดรอนฝ่ายชั่วตามมาทัน ก็จะเกิดพลังอำนาจ ให้เกิดภัยพิบัติอันตรายต่างๆ ยับเยิน ดังถูกพะเนินทุบตีถึงความพินาศในชั่วพริบตา หรือล้มตายหมดอายุ ในชั่วครูเดียว ทั้งๆ ที่ยังไม่น่าจะตายเลย
มาเรียนรู้เรื่องกรรมอย่างละเอียดครับ
กรรมให้ผลอย่างไร ?
กรรม คือ การกระทำ เรียกว่าเป็นเหตุก็ได้ หรือ มัคคก็ได้ คนไทยนิยมใช้คำว่ากรรมซึ่งเป็นเหตุว่า ..ผล..ใช้คำว่ากรรมว่าเป็น ผล ...ซึ่งผิดสภาวะธรรมที่เป็นจริง
ในที่นี้จะเรียกรวมๆว่ามัคคก็แล้วกันเข้าใจง่ายดี
วิบากกรรม ก็คือ ผลของการกระทำ หรือ ผลกรรม หรือ ผล นี่คนไทยมักเรียกสั้น ๆ ว่ากรรม ทำให้เกิดความสับสนในเรื่องของเหตุ และผล เพราะใช้ภาษาผิดความหมาย ผิดสภาวะธรรม
เรียกให้ไพเราะว่า "ผล คือ วิบากแห่งมัคค " นั่นเอง
ผลกรรมพอจะแบ่งได้ 3 ประเภท
1. ผลกรรมที่ให้ผลตามกาล(คราว)
1.1.ผลกรรมให้ผลในภพนี้ ( ให้ผลทันตาเห็น )
ได้แก่ผลทานบริสุทธิ์ที่ถวายแก่ ผู้ออกจากฌานสมาบัติ ผลสมาบัติ และ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ ซึ่งเราเป็นผู้ถวายเป็นคนแรกหรือกลุ่มแรก ก็จะได้สมบัติทันตาเห็น
ได้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรเจริญมัคคปฏิปทา บรรลุฌานสมาบัติ 1 - 8 ก็ดี....บรรลุมัคค 4 ....ผล 4 ก็ดี ....สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติก็ดี จะได้ปีติ สุข อุเบกขา ตลอดจนญาณปัญญาทันตาเห็นทีเดียว
1.2.ผลกรรมให้ผลต่อเมื่อเกิดแล้วในภพหน้า ( ให้ผลในชั่วโมงหน้า วันหน้า เดือนหน้า ปีหน้า ชาติหน้าได้ด้วย )
1.3.ผลกรรมให้ผลในภพต่อๆไป ( ให้ผลในชั่วโมงต่อไป วันต่อไป เดือนต่อไป ปีต่อไป ชาติต่อๆๆไปได้ด้วย )
1.4.ผลกรรมให้ผลสำเร็จแล้ว/อโหสิกรรม/ ( เป็นผลกรรมล่วงกาลเวลาแล้ว เลิกให้ผลแล้ว เปรียบเสมือนเมล็ดพืชที่ต้นอ่อนข้างในตายแล้ว ย่อมเพาะไม่ขึ้น )
2. ผลกรรมให้ผลตามกิจ
2.1.ผลกรรมแต่งให้ไปเกิดใหม่ ( สามารถยังผู้กระทำกรรมนั้น ให้เคลื่อนจากภพหนึ่ง ไปถือปฏิสนธิในภพอื่น เช่นฆ่าตัวตาย ถูกผู้อื่นหรือถูกอมนุษย์ฆ่าตาย ทำบุญกุศลไว้มากหมดอายุขัยที่จะเสวยผลสุขได้ในโลกมนุษย์ ต้องไปเกิดในโลกสวรรค์ )
2.2.ผลกรรมสนับสนุน ( ไม่อาจแต่งปฏิสนธิเอง ต่อเมื่อผลกรรมในข้อ 2.1 แต่งปฏิสนธิแล้ว จึงเข้าสนับสนุนส่งเสริมผลกรรมในข้อ 2.1 นั้น เช่น ผมได้มาพบกับผู้ใจดีมีปัญญาเป็นต้น )
2.3.ผลกรรมบีบคั้น ( เมื่อผลกรรมในข้อ 2.1 แต่งปฏิสนธิแล้ว ก็เข้าบีบคั้นผลกรรมแห่งข้อ 2.1 นั้น ไม่ให้ให้ผลได้เต็มที่ เช่น ชายหญิงเป็นคนดีมีความรู้มีความสามารถ แต่บังเอิญได้คู่ครองที่ไม่เอาไหน ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมก็ซวยได้เหมือนกัน )
2.4.ผลกรรมตัดรอน ( ย่อมตัดรอนผลกรรมในข้อ 2.1 และ 2.2 ให้ขาดเสียทีเดียว เช่น เกิดเป็นผู้หญิงที่สวยงาม ถ้าประกวดแล้วได้ตำแหน่งนางงามจักรวาลแน่นอน แต่เกิดอุบัติเหตุเสียโฉมเสียก่อน ไม่เสียชีวิตแต่แค่เสียโฉม )
3. ผลกรรมให้ผลตามลำดับ
3.1.ผลกรรมหนัก หรือครุกรรม ผลกรรมใดหนักผลกรรมนั้นให้ผลก่อน
ในฝ่าย "อกุศล" อนันตริยกรรม 5 เป็นผลกรรมที่หนักที่สุด ได้แก่ผลกรรม ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรห้นต์ ประทุษร้ายให้พระพุทธเจ้าทรงห้อพระโลหิต และยุยงทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ตายแล้วไปนรกก่อน
ในฝ่าย "กุศล" ฌานสมาบัติ 8 เป็นผลกรรมหนักที่สุด ตายแล้วไปพรหมโลกก่อน แต่คนมักไม่ค่อยไปเพราะมันมีความสุขสบาย คนไปนรกกันมากกว่า....เพราะชักชวนมารักษาศีลไม่ค่อยมา ชักชวนยกพวกไปตีกันชอบไป
3.2.ผลกรรมชิน ( ได้แก่ผลกรรมที่เคยทำมามาก ทำมาบ่อยๆ จนชินติดเป็นนิสัย เช่นรักษาศีลเป็นนิสัย นั่งสมาธิเป็นนิสัย ฆ่าสัตว์เป็นนิสัย ลักขโมยเป็นนิสัยเป็นต้น )
3.3.ผลกรรมเมื่อจวนเจียน/ผลกรรมอันทำเมื่อจวนจะตายใกล้จะตาย เช่น ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงบาปเวรที่เคยทำก่อนจะตาย
3.4ผลกรรมสักแต่ว่าทำ/ผลกรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ไม่เจตนาให้ผู้อื่นเดือดร้อน เช่นหกล้มทับมดตายไปด้วย เป็นต้น
คำว่าอโหสิกรรมตามความหมายที่แท้จริง
มุ่งหมายเฉพาะพระอรหันต์ขีณาสพผู้ดับขันธ์ปรินิพพานแล้วเท่านั้นที่มีอโหสิกรรม/ผลกรรมให้ผลสำเร็จแล้วไม่ให้ผลอีกแล้วครับ
ยังเสวยขันธ์ 5 เหลืออยู่ตราบใดกรรมวิบากย่อมติดตามให้ผลอยู่ตราบนั้นครับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ขีณาสพ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ละเว้น ผลกรรมคอยจดจ้องที่จะให้ผลอยู่จนตลอดอายุขัย ทั้งกุศลวิบาก และ อกุศลวิบาก เพียงแต่ผลกรรมเหล่านั้นจะตามทันหรือไม่เท่านั้นเอง เช่นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ยังทรงปวดพระเศียร ปวดพระปริษฎางค์ ทรงห้อพระโลหิตที่พระบาท มีพระปัญญามาก มีโภคทรัพย์มาก มีบริวารมากเป็นต้น
.....เราเคยทำกรรมล่วงเกินผู้มีคุณธรรมหรือไร้คุณธรรมก็ตาม แม้พวกเขาเหล่านั้นจะยกโทษให้/กล่าวอโหสิกรรมให้แล้วก็ตาม ใช่ว่าวิบากกรรมนั้นจะสิ้นสุดแต่เพียงแค่นั้นก็หาไม่ เรายังมีขันธ์ 5 อยู่ตราบใดก็จะมีกรรมวิบากนั้นรอคอยตามติดที่จะให้ผลต่อไปทุกภพทุกชาติตราบ เท่าเข้าสู่พระนิพพานครับ
กรรมวิบากจะให้ผลได้หรือไม่ได้ จะให้ผลเมื่อไหร่ นอกจากประเภทของวิบากกรรม 3 ประเภทนั้นแล้ว ยังมีปัจจัยอย่างอื่นอีกครับ
ใด้แก่
................รูปสมบัติ
................ภพสมบัติ
................กาลสมบัติ
................และประโยคสมบัติ
รูปสมบัติ
....รวมทั้งผู้ที่มีรูปสวย เสียงเพราะ มีปัญญาฉลาด มีชาติตระกูลสูง อกุศลวิบากจะยังไม่ให้ผลมากนัก แต่กุศลวิบากจะให้ผลมากกว่า เช่น คนรูปสวย เสียงเพราะ แม้เกิดในตระกูลที่ยากจน เมื่อโตขึ้นได้โอกาสเป็นดารา นักร้อง ก็ร่ำรวย มีความสุขในทรัพย์สมบัตินั้นได้ หรือ สาวสวยคนจนมีเศรษฐีมาสู่ขอก็มีความสุขได้ครับ ..แต่ลูกเศรษฐีขี้เหร่และเลว คนจน ๆอาจต้องทำความเคารพนะครับ
ภพสมบัติ
................ทุคติภพ แม้จะเคยสั่งสมบุญมามากแต่ถ้าไปเกิดในอบายภูมิ...ก็มีแต่อกุศลวิบากเท่านั้น ที่จะมาคอยให้ผลจนโงหัวไม่ขึ้นครับ
................โลกมนุษย์ ให้ผลได้ทั้งอกุศลวิบากและกุศลวิบาก
................สวรรค์และพรหม ให้ผลเฉพาะ กุศลวิบากเท่านั้น บนสวรรค์จึงไม่มีสัตว์เดรฉานครับ มีแต่ทิพย์สมบัติครับมีต้นไม้ทิพย์ ดอกไม้ทิพย์ให้ชื่นชม
กาลสมบัติ
................กาลที่พระเจ้าจักรพรรดิ์เกิดขึ้นในโลก
................กาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก
ในกาลนี้อกุศลวิบากจะยังไม่ให้ผล เพราะบุญบารมีของพระองค์ท่านห้ามไว้ เราจึงอยู่ในกาลนั้นอย่างมีความสุข แต่ให้ระวังกาลแบบคนเลวมาเกิดพร้อม ๆ กัน อย่างฮิตเล่อร์นะครับแล้วจะหนาว...!
ประโยคสมบัติ
.........คือความประพฤติตนเป็นคนดีมีศีลสัจจ์ครับ ถ้าให้ทาน รักษาศีล รักษาฌานสมาบัติ ผลสมาบัติเอาไว้คงมั่น อกุศลวิบากก็ห่างออกไปเรื่อยๆครับ มีความสุขครับ
เกิดมาไม่หล่อ ไม่สวย แถมยากจนอีกต่างหาก แต่พยายามประพฤติธรรม รักษาศีล รักษาฌานเอาไว้นี่แหละครับ คนแบบนี้อยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข ใคร ๆ ก็เลื่อมใสศรัทธาเชื่อถือยกย่องในบั้นปลายของชีวิต
ที่มา
http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=174
อนุโมทนาครับ
อนุโมทนาครับ