จิตคิดประทุษร้าย ผิดศีลหรือไม่

 ma-o    

จิตคิดประทุษร้าย ไม่ดีต่อผู้ทรงศีลหรือพระรัตนตรัย ผิดศีลหรือไม่ ถ้าผิดมากน้อยประการใด และขอวิธีแก้ด้วยครับ.




ไม่ผิดจ้ะ


เรายังไม่ได้ทำกรรมครบทั้งกายและวาจาใช่มั้ยล่ะ ศีลมี5 ข้อ กาเม,ฆ่าสัตว์,ลักทรัพย์,สุราเป็นบาปทางกายถ้าจิตคิดแต่ว่าข่มได้ไม่ทำ อาจเพราะกลัวบาป ก็ไม่ผิดศีลจ้ะ แต่อาจสั่งสมผูกเป็นกรรมต่อไปได้ เช่น ผูกโกรธเพราะคนด่าแล้วอยากจะแก้แค้น ผูกพยาบาทคนนั้น บังเอิญปีต่อไปไอ้ที่มันด่าเราเกิดมีดวงตาเห็นธรรม อบรม ศึกษา หรืออาจออกบวช เป็นโสดาบัน อนาคตใครเล่าจะรู้ว่าจะเกิดอะไร เราจะทำอะไร พยายามสวดมนต์ไหว้พระเยอะๆ คิดว่าน่าจะแก้ได้จ้ะ


เห็นด้วยกับคุณ จ้ะ

ผมขอเสริมนิดนึงนะครับ มีวิธีแก้ 2 วิธี แล้วแต่จะเลือกใช้นะครับ
วิธีที่ 1. แผ่เมตตา(สมถกรรมฐาน) ...จะช่วยให้เรามีจิตใจสงบเยือกเย็น เป็นการทำให้จิตไม่ดีเปลี่ยนเป็นจิตดี
แต่หยุดจิตคิดประทุษร้ายได้ชั่วคราว กดความชั่วไว้ชั่วคราว
วิธีที่ 2. เจริญภาวนา(วิปัสสนา)...จะใช้ช่วยลดกิเลสให้เบาบางลง ลดจิตคิดประทุษร้ายให้เกิดน้อยลงได้
ทำให้เรารู้ทันกิเลสมากขึ้น ไม่หลงไปตามมันหรือไม่เผลอไปทำชั่ว วิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาได้อย่างถาวร
ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนมาทำร้ายเรา เราเกิดคิดประทุษร้ายอยากทำร้ายเค้าคืน..ก็ให้เรารู้ว่ามีจิตคิดประทุษร้ายเกิดขึ้นแล้ว
เมื่อรู้ทันจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นก็จะดับไป หลังจากนั้นเราก็ไม่รู้สึกอยากทำร้ายเค้าแล้ว เพราะหมดเหตุ

ไม่รู้ว่าเป็นคำตอบที่ดีรึป่าวนะครับ แต่ผมก็พยายามตอบตามสติปัญญาที่มีอยู่
หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยด้วยนะครับ
^_^


จิตคิดประทุษร้าย ผิดศีลหรือไม่

ไม่ผิดศีล แต่ผิดธรรม...แล้วจะผิดศีลตามได้ในที่สุด....อะ อะ อะ อะ


กุศลกรรมบถ ๑๐ (ทางแห่งกุศลกรรม, ทางทำความดี, กรรมดีอันเป็นทางนำไปสู่สุคติ)


ว่าโดยหัวข้อย่อ ดังนี้


ก. กายกรรม ๓ (การกระทำทางกาย)

๑. ปาณาติปาตา เวรมณี (เว้นจากปลงชีวิต)

๒. อทินนาทานา เวรมณี (เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้โดยอาการขโมย)

๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี (เว้นจากประพฤติผิดในกาม)


ข. วจีกรรม ๔ (การกระทำทางวาจา)

๔. มุสาวาทา เวรมณี (เว้นจากพูดเท็จ)

๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี (เว้นจากพูดส่อเสียด)

๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี (เว้นจากพูดคำหยาบ )

๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี (เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ )


ค. มโนกรรม ๓ (การกระทำทางใจ — mental action)

๘. อนภิชฌา (ความไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้ของเขา)

๙. อพยาบาท (ความไม่คิดร้ายผู้อื่น)

๑๐. สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ ถูกต้องตามคลองธรรม)



การรักษาศีลให้บริสุทธิ์นั้น ต้องมีความเพียรอย่างมาก ศีลนั้นต้องไม่ขาด ไม่เป็นช่อง ไม่ด่างไม่พร้อย

ยกตัวอย่าง ศีลข้อ ๑ ให้ดูก่อน

๑. ปาโณ = สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา = ตนรู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ = จิตคิดจะฆ่า
๔. ตชฺโชวายาโม = ความเพียรที่เกิดจากเจตนานั้น
๕. เตน มรณํ = สัตว์นั้นตายด้วยความเพียรนั้น

ศีลขาด
ฆ่าสัตว์หรือคน มีอกุศลที่จะฆ่า พยายามฆ่า สัตว์หรือคนนั้นตายด้วยความพยายามนั้น

ศีลเป็นช่อง
หากสัตว์หรือคนนั้นไม่ตายด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง มีจิตคิดจะฆ่า มีความพยายามจะฆ่า แต่ว่าไม่ตาย

ศีลด่างศีลพร้อย
จิตคิดจะฆ่าและไม่ถึงกับพยายาม คิดอยู่ในใจ ไม่ถึงกับลงมือ แต่คิดงุ่นง่านจะฆ่าอยู่

ศีลพร้อย
ถ้าหากว่าไม่ถึงคิดว่าจะฆ่า แต่จิตเดือดร้อนคิดที่จะทำร้าย ก็แปลว่าไม่ถึงกับด่างทีเดียว แต่ว่าพร้อย ก็เป็นอันว่าไม่บริสุทธิ์

ของคุณ น่าจะเข้าข่าย ศีลพร้อย ไม่บริสุทธิ์

รักษาศีล คือแก้ความโกรธ ให้อภัยเป็นทาน หรือเรียกว่า อภัยทาน
อภัยทานนี้ดีกับคนให้ คนให้เย็นก่อน สงบก่อน เป็นการฝึกจิตโดยตรง
ทำให้การพัฒนาของจิตดีขึ้น สูงขึ้น มีค่าขึ้น

เจริญธรรม




การที่ได้ปล่อยจิตคิดประทุษร้ายแบบขาดสติขณะนึกคิดก็ผิดศิลข้อที่หนึ่งแล้วนะค่ะแต่มีโทษน้อยเพราะยังไม่ได้ทำประทุษร้ายใครแต่ถ้าคุณทำไปแล้วหลังจากการนึกคิดก็คงไม่ต้องถามใครว่าผิดไหมเพราะคำตอบผิดเต็มร้อยค่ะพยายามอย่าคิดนึกสิ่งที่ทำให้ตนต้องเป็นบาปทางกายวาจาใจให้ต้องเป็นจุดเริ่มต้นของการทำบาปให้เต็มร้อยเลยนะค่ะเพราะคนเราถ้าคิดประทุษร้ายใครได้ก็จะสามารถทำลงไปอย่างไม่ตั้งใจหรืออาจเป็นแรงกดดันให้ทำอย่างที่คิดแบบโดยตั้งใจแผ่เมตรตาให้เข้าไปคุณโกรธก็กำหนดว่าโกรธหนอเรื่อยไปเอาจิตกำหนดไว้ที่อารมณ์นั้นแล้วจะดีขึ้นเองอย่าไปสร้างกำลังความชั่วโดยคิดอกุศลเลยค่ะเพราะเป็นบาปแก่ตัวคุณเอง


การมีจิตคิดประทุษร้ายถ้าเรามีความคิดแบบนั้นความคิดนั้นมันก็ตกนรก
ตัวเราไม่ตกนรกถ้าเราแค่คิดแล้วมีสติรู้ตัวเลิกความคิดอันนั้นโดยไม่ได้
กระทำตามความคิดนั้นปล่อยให้ความคิดนั้นตกนรกไป


ศีล แปลว่า ปกติ
จิตคิดประทุษร้าย ก็คือ จิตที่ไม่ปกติ
ศีล ในความหมายของข้อปฏิบัติ เพื่อความปกติ ในภายนอก ทางกายทางวาจา
จิตคิดประทุษร้าย ยังไม่มีการกระทำ ทางกายวาจา


พระโสไรยเถระ (ผู้กลายเป็นผู้หญิงและกลับกลายเป็นผู้ชายอีกที)
ตัวอย่างของการกระทำกรรมด้วยใจ


อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท จิตตวรรคที่ ๓
หน้าต่างที่ ๙ / ๙.


๙. เรื่องพระโสไรยเถระ [๓๒]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดายังพระธรรมเทศนานี้ว่า “น ตํ มาตา ปิตา กยิรา” เป็นต้น ซึ่งตั้งขึ้นในโสไรยนคร ให้จบลงในพระนครสาวัตถี.

เศรษฐีบุตรกลับเพศเป็นหญิงแล้วหลบหนี
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี, ลูกชายของโสไรยเศรษฐี ในโสไรยนคร นั่งบนยานน้อยอันมีความสุขกับสหายผู้หนึ่งออกไปจากนคร เพื่อประโยชน์จะอาบน้ำด้วยบริวารเป็นอันมาก.
ขณะนั้น พระมหากัจจายนเถระมีความประสงค์จะเข้าไปสู่โสไรยนคร เพื่อบิณฑบาต ห่มผ้าสังฆาฏิภายนอกพระนคร. ก็สรีระของพระเถระมีสีเหมือนทองคำ ลูกชายของโสไรยเศรษฐีเห็นท่านแล้ว จึงคิดว่า “สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้ควรเป็นภริยาของเรา, หรือสีแห่งสรีระของภริยาของเรา พึงเป็นเหมือนสีแห่งสรีระของพระเถระนั้น.”
ในขณะสักว่าเขาคิดแล้วเท่านั้น เพศชายของเศรษฐีบุตรนั้น ก็หายไป, เพศหญิงได้ปรากฏแล้ว. เขาละอายจึงลงจากยานน้อยหนีไป. ชนใกล้เคียงจำลูกชายเศรษฐีนั้นไม่ได้ จึงกล่าวว่า “อะไรนั่นๆ ?” แม้นางก็เดินไปสู่หนทางอันไปยังเมืองตักกสิลา.

พวกเพื่อนและพ่อแม่ออกติดตามแต่ไม่พบ
ฝ่ายสหายของนาง แม้เที่ยวค้นหาข้างโน้นและข้างนี้ ก็ไม่ได้พบ. ชนทั้งปวงอาบเสร็จแล้วได้กลับไปสู่เรือน, เมื่อชนทั้งหลายกล่าวกันว่า “เศรษฐีบุตรไปไหน?” ชนที่ไปด้วยจึงตอบว่า “พวกผมเข้าใจว่า เขาจักอาบน้ำกลับมาแล้ว.” ขณะนั้น มารดาและบิดาของเขาค้นดูในที่นั้นๆ เมื่อไม่เห็น จึงร้องไห้ รำพัน ได้ถวายภัตเพื่อผู้ตาย ด้วยความสำคัญว่า “ลูกชายของเรา จักตายแล้ว.”

นางเดินตามพวกเกวียนไปเมืองตักกสิลา
นางเห็นพวกเกวียนไปสู่เมืองตักกสิลาหมู่หนึ่ง จึงเดินติดตามยานน้อยไปข้างหลังๆ ขณะนั้น พวกมนุษย์เห็นนางแล้ว กล่าวว่า “หล่อนเดินตามข้างหลังๆ แห่งยานน้อยของพวกเรา (ทำไม?) พวกเราไม่รู้จักหล่อนว่า ‘นางนี่เป็นลูกสาวของใคร?’ นางกล่าวว่า “นาย พวกท่านจงขับยานน้อยของตนไปเถิด. ดิฉันจักเดินไป”, เมื่อเดินไปๆ (เมื่อยเข้า) ได้ถอดแหวนสำหรับสวมนิ้วมือให้แล้ว ให้ทำโอกาสในยานน้อยแห่งหนึ่ง (เพื่อตน).

ได้เป็นภริยาของลูกชายเศรษฐีในเมืองนั้น
พวกมนุษย์คิดว่า “ภริยาของลูกชายเศรษฐีของพวกเรา ในกรุงตักกสิลา ยังไม่มี, เราทั้งหลายจักบอกแก่ท่าน, บรรณาการใหญ่ (รางวัลใหญ่) จักมีแก่พวกเรา.” พวกเขาไปแล้ว เรียนว่า “นายแก้วคือหญิง พวกผมได้นำมาแล้วเพื่อท่าน.” ลูกชายเศรษฐีนั้นได้ฟังแล้ว ให้เรียกนางมา เห็นนางเหมาะกับวัยของตน มีรูปงามน่าพึงใจ มีความรักเกิดขึ้น จึงได้กระทำไว้ (ให้เป็นภริยา) ในเรือนของตน.

ชายอาจกลับเป็นหญิงและหญิงอาจกลับเป็นชายได้
จริงอยู่ พวกผู้ชาย ชื่อว่าไม่เคยกลับเป็นผู้หญิง หรือพวกผู้หญิงไม่เคยกลับเป็นผู้ชาย ย่อมไม่มี. เพราะว่า พวกผู้ชายประพฤติล่วงในภริยาทั้งหลายของชนอื่น ทำกาละแล้ว ไหม้ในนรกสิ้นแสนปีเป็นอันมาก เมื่อกลับมาสู่ชาติมนุษย์ ย่อมถึงภาวะเป็นหญิง สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ
ถึงพระอานนทเถระ ผู้เป็นอริยสาวก มีบารมีบำเพ็ญมาแล้วตั้งแสนกัลป์ ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ในอัตภาพหนึ่งได้บังเกิดในตระกูลช่างทอง ทำปรทารกรรม ไหม้ในนรกแล้ว, ด้วยผลกรรมที่ยังเหลือ ได้กลับมาเป็นหญิงบำเรอเท้าแห่งชายใน ๑๔ อัตภาพ, ถึงการถอนพืช (เป็นหมัน) ใน ๗ อัตภาพ.
ส่วนหญิงทั้งหลายทำบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น คลายความพอใจในความเป็นหญิง ก็ตั้งจิตว่า “บุญของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ ขอจงเป็นไปเพื่อกลับได้อัตภาพเป็นชาย” ทำกาละแล้ว ย่อมกลับได้อัตภาพเป็นชาย. พวกหญิงที่มีผัวดังเทวดา ย่อมกลับได้อัตภาพเป็นชาย แม้ด้วยอำนาจแห่งการปรนนิบัติดีในสามีเหมือนกัน. ส่วนลูกชายเศรษฐีนี้ยังจิตให้เกิดขึ้นในพระเถระโดยไม่แยบคาย จึงกลับได้ภาวะเป็นหญิงในอัตภาพนี้ทันที.

นางคลอดบุตร
ก็ครรภ์ได้ตั้งในท้องของนาง เพราะอาศัยการอยู่ร่วมกับลูกชายเศรษฐีในตักกสิลา. โดยกาลล่วงไป ๑๐ เดือน นางได้บุตร ในเวลาที่บุตรของนางเดินได้ ก็ได้บุตรแม้อีกคนหนึ่ง.
โดยอาการอย่างนี้ บุตรของนางจึงมี ๔ คน, คือบุตรผู้อยู่ในท้อง ๒ คน, บุตรผู้เกิดเพราะอาศัยเธอ (ครั้งเป็นชายอยู่) ในโสไรยนคร ๒ คน.

นางได้พบกับเพื่อนเก่าแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง
ในกาลนั้น ลูกชายเศรษฐีผู้เป็นสหายของนาง (ออก) จากโสไรยนคร ไปสู่กรุงตักกสิลาด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม นั่งบนยานน้อยอันมีความสุขเข้าไปสู่พระนคร. ขณะนั้น นางเปิดหน้าต่างบนพื้นปราสาทชั้นบน ยืนดูระหว่างถนนอยู่ เห็นสหายนั้น จำเขาได้แม่นยำ จึงส่งสาวใช้ให้ไปเชิญเขามาแล้ว ให้นั่งบนพื้นมีค่ามาก ได้ทำสักการะและสัมมานะอย่างใหญ่โต.
ขณะนั้น สหายนั้นกล่าวกะนางว่า “แม่มหาจำเริญ ในกาลก่อนแต่นี้ ฉันไม่เคยเห็นนาง, ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนนางจึงทำสักการะแก่ฉันใหญ่โต, นางรู้จักฉันหรือ?”
นาง. จ้ะ นาย ฉันรู้จัก, ท่านเป็นชาวโสไรยนคร มิใช่หรือ?
สหาย. ถูกละ แม่มหาจำเริญ.
นางได้ถามถึงความสุขสบายของมารดาบิดา ของภริยา ทั้งของลูกชายทั้งสอง สหายนอกนี้ตอบว่า “จ้ะ แม่มหาจำเริญ ชนเหล่านั้นสบายดี” แล้วถามว่า “แม่มหาจำเริญ นางรู้จักชนเหล่านั้นหรือ?”
นาง. จ้ะ นาย ฉันรู้จัก, ลูกชายของท่านเหล่านั้นมีคนหนึ่ง, เขาไปไหนเล่า?
สหาย. แม่มหาจำเริญ อย่าได้พูดถึงเขาเลย, ฉันกับเขา วันหนึ่งได้นั่งในยานน้อยอันมีความสุขออกไปเพื่ออาบน้ำ ไม่ทราบที่ไปของเขาเลย. เที่ยวค้นดูข้างโน้นและข้างนี้ (ก็) ไม่พบเขา จึงได้บอกแก่มารดาและบิดา (ของเขา), แม้มารดาและบิดาทั้งสองนั้นของเขา ได้ร้องไห้ คร่ำครวญ ทำกิจอันควรทำแก่คนผู้ล่วงลับไปแล้ว.
นาง. ฉัน คือเขานะ นาย.
สหาย. แม่มหาจำเริญ จงหลีกไป, นางพูดอะไร? สหายของฉันย่อมงามเหมือนลูกเทวดา, (ทั้ง) เขาเป็นผู้ชาย (ด้วย).
นาง. ช่างเถอะ นาย ฉัน คือเขา.
ขณะนั้น สหายจึงถามนางว่า “อันเรื่องนี้เป็นอย่างไร?”
นาง. วันนั้น เธอเห็นพระมหากัจจายนเถระผู้เป็นเจ้าไหม?
สหาย. เห็นจ้ะ.
นาง. ฉันเห็นพระมหากัจจายนะผู้เป็นเจ้าแล้ว ได้คิดว่า ‘สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้ควรเป็นภริยาของเรา, หรือว่าสีแห่งสรีระของภริยาของเราพึงเป็นเหมือนสีแห่งสรีระของพระเถระนั่น’, ในขณะที่ฉันคิดแล้วนั่นเอง เพศชายได้หายไป, เพศหญิงปรากฏขึ้น, เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันไม่อาจบอกแก่ใครได้ ด้วยความละอาย จึงหนีไปจากที่นั้นมา ณ ที่นี้ นาย.
สหาย. ตายจริง เธอทำกรรมหนักแล้ว, เหตุไร เธอจึงไม่บอกแก่ฉันเล่า? เออ ก็เธอให้พระเถระอดโทษแล้วหรือ?
นาง. ยังไม่ให้ท่านอดโทษเลย นาย, ก็เธอรู้หรือ? พระเถระอยู่ ณ ที่ไหน?
สหาย. ท่านอาศัยนครนี้แหละอยู่.
นาง. หากว่า ท่านเที่ยวบิณฑบาต พึงมาในที่นี้ไซร้, ฉันพึงถวายภิกษาหารแก่พระผู้เป็นเจ้าของฉัน.
สหาย. ถ้ากระนั้น ขอเธอจงรีบทำสักการะไว้, ฉันจักยังพระผู้เป็นเจ้าของเราให้อดโทษ.

นางขอขมาพระมหากัจจายนเถระ
เธอไปสู่ที่อยู่ของพระเถระ ไหว้แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว เรียนว่า “ท่านขอรับ พรุ่งนี้ นิมนต์ท่านรับภิกษาของกระผม.”
พระเถระ. เศรษฐีบุตร ท่านเป็นแขกมิใช่หรือ?
เศรษฐีบุตร. ท่านขอรับ ขอท่านอย่าได้ถามความที่กระผมเป็นแขกเลย, พรุ่งนี้ ขอนิมนต์ท่านรับภิกษาของกระผมเถิด.
พระเถระรับนิมนต์แล้ว. สักการะเป็นอันมาก เขาได้ตระเตรียมไว้แม้ในเรือนเพื่อพระเถระ.
วันรุ่งขึ้น พระเถระได้ไปสู่ประตูเรือน. ขณะนั้น เศรษฐีบุตรนิมนต์ท่านให้นั่งแล้ว อังคาส (เลี้ยงดู) ด้วยอาหารประณีต พาหญิงนั้นมาแล้ว ให้หมอบลงที่ใกล้เท้าของพระเถระ เรียนว่า “ท่านขอรับ ขอท่านจงอดโทษแก่หญิงผู้สหายของกระผม (ด้วย).”
พระเถระ. อะไรกันนี่?
เศรษฐีบุตร. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในกาลก่อน คนผู้นี้ได้เป็นสหายที่รักของกระผม พบท่านแล้ว ได้คิดชื่ออย่างนั้น; เมื่อเป็นเช่นนั้น เพศชายของเขาได้หายไป, เพศหญิงได้ปรากฏแล้ว, ขอท่านจงอดโทษเถิด ท่านผู้เจริญ.
พระเถระ. ถ้ากระนั้น เธอจงลุกขึ้น, ฉันอดโทษให้แก่เธอ.

เขากลับเพศเป็นชายแล้วบวชได้บรรลุอรหัตผล
พอพระเถระเอ่ยปากว่า “ฉันอดโทษให้” เท่านั้น เพศหญิงได้หายไป, เพศชายได้ปรากฏแล้ว. เมื่อเพศชาย พอกลับปรากฏขึ้นเท่านั้น. เศรษฐีบุตรในกรุงตักกสิลาได้กล่าวกะเธอว่า “สหายผู้ร่วมทุกข์ เด็กชาย ๒ คนนี้เป็นลูกของเรา แม้ทั้งสองแท้ เพราะเป็นผู้อยู่ในท้องของเธอ (และ) เพราะเป็นผู้อาศัย ฉันเกิด, เราทั้งสองจักอยู่ในนครนี้แหละ, เธออย่าวุ่นวายไปเลย.”
โสไรยเศรษฐีบุตรพูดว่า “ผู้ร่วมทุกข์ ฉันถึงอาการอันแปลก คือเดิมเป็นผู้ชาย แล้วถึงความเป็นผู้หญิงอีก แล้วยังกลับเป็นผู้ชายได้อีก โดยอัตภาพเดียว (เท่านั้น); ครั้งก่อน บุตร ๒ คนอาศัยฉันเกิดขึ้น, เดี๋ยวนี้ บุตร ๒ คนคลอดจากท้องฉัน; เธออย่าทำความสำคัญว่า ‘ฉันนั้นถึงอาการอันแปลกโดยอัตภาพเดียว จักอยู่ในเรือนต่อไปอีก, ฉันจักบวชในสำนักแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา เด็ก ๒ คนนี้จงเป็นภาระของเธอ, เธออย่าเลินเล่อในเด็ก ๒ คนนี้” ดังนี้แล้ว จูบบุตรทั้ง ๒ ลูบ (หลัง) แล้ว มอบให้แก่บิดา ออกไปบวชในสำนักพระเถระ,
ฝ่ายพระเถระให้เธอบรรพชาอุปสมบทเสร็จแล้ว พาเที่ยวจาริกไป ได้ไปถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับ. นามของท่านได้มีว่า “โสไรยเถระ.”
ชาวชนบทรู้เรื่องนั้นแล้ว พากันแตกตื่นอลหม่านเข้าไปถามว่า “ได้ยินว่า เรื่องเป็นจริงอย่างนั้นหรือ? พระผู้เป็นเจ้า.”
พระโสไรยะ. เป็นจริง ผู้มีอายุ.
ชาวชนบท. ท่านผู้เจริญ ชื่อว่าเหตุแม้เช่นนี้มีได้ (เทียวหรือ?); เขาลือกันว่า “บุตร ๒ คนเกิดในท้องของท่าน, บุตร ๒ คนอาศัยท่านเกิด” บรรดาบุตร ๒ จำพวกนั้น ท่านมีความสิเนหามากในจำพวกไหน?
พระโสไรยะ. ในจำพวกบุตรผู้อยู่ในท้อง ผู้มีอายุ.
ชนผู้มาแล้วๆ ก็ถามอยู่อย่างนั้นนั่นแหละเสมอไป. พระเถระบอกแล้วบอกเล่าว่า “มีความสิเนหาในจำพวกบุตรผู้อยู่ในท้องนั้นแหละมาก.” เมื่อรำคาญใจจึงนั่งแต่คนเดียว ยืนแต่คนเดียว. ท่านเข้าถึงความเป็นคนเดียวอย่างนี้ เริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อมในอัตภาพ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว.
ต่อมา พวกชนผู้มาแล้วๆ ถามท่านว่า “ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า เหตุชื่ออย่างนี้ได้มีแล้ว จริงหรือ?”
พระโสไรยะ. จริง ผู้มีอายุ.
พวกชน. ท่านมีความสิเนหามากในบุตรจำพวกไหน?
พระโสไรยะ. ขึ้นชื่อว่าความสิเนหาในบุตรคนไหนๆ ของเรา ย่อมไม่มี.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลพระศาสดาว่า “ภิกษุรูปนี้พูดไม่จริง ในวันก่อนๆ พูดว่า ‘มีความสิเนหาในบุตรผู้อยู่ในท้องมาก’ เดี่ยวนี้พูดว่า ‘ความสิเนหาในบุตรคนไหนๆ ของเราไม่มี,’ ย่อมพยากรณ์พระอรหัตผล พระเจ้าข้า.”

จิตที่ตั้งไว้ชอบดียิ่งกว่าเหตุใดๆ
พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราพยากรณ์อรหัตผลหามิได้, (เพราะว่า) ตั้งแต่เวลาที่บุตรของเรา เห็นมรรคทัสนะ๑- ด้วยจิตที่ตั้งไว้ชอบแล้ว ความสิเนหาในบุตรไหนๆ ไม่เกิดเลย, จิตเท่านั้น ซึ่งเป็นไปในภายในของสัตว์เหล่านี้ ย่อมให้สมบัติที่มารดาบิดาไม่อาจทำให้ได้” ดังนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
๙. น ตํ มาตา ปิตา กริยา อญฺเญ วาปิ จ ญาตกา
สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร.
มารดาบิดา ก็หรือว่าญาติเหล่าอื่น ไม่พึงทำเหตุนั้น (ให้ได้),
(แต่) จิตอันตั้งไว้ชอบแล้ว พึงทำเขาให้ประเสริฐกว่าเหตุนั้น.
____________________________
๑- บาลีบางแห่งว่า มตฺตสฺส ทิฏฺฐกาลโต แต่กาลเห็นมรรค.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตํ ความว่า มารดาบิดา (และ) ญาติเหล่าอื่น ไม่ทำเหตุนั้นได้เลย.
บทว่า สมฺมาปณิหิตํ คือ ชื่อว่าตั้งไว้ชอบแล้ว เพราะความเป็นธรรมชาติตั้งไว้ชอบในกุศลกรรมบถ ๑๐.
บาทพระคาถาว่า เสยฺยโส นํ ตโต กเร. ความว่า พึงทำคือย่อมทำเขาให้ประเสริฐกว่า คือเลิศกว่า ได้แก่ให้ยิ่งกว่าเหตุนั้น.
จริงอยู่ มารดาบิดา เมื่อจะให้ทรัพย์แก่บุตรทั้งหลาย ย่อมอาจให้ทรัพย์สำหรับไม่ต้องทำการงานแล้วเลี้ยงชีพโดยสบาย ในอัตภาพเดียวเท่านั้น, ถึงมารดาบิดาของนางวิสาขา ผู้มีทรัพย์มากมายถึงขนาด มีโภคะมากมาย ได้ให้ทรัพย์สำหรับเลี้ยงชีพโดยสบายแก่นาง ในอัตภาพเดียวเท่านั้น, ก็อันธรรมดามารดาบิดาที่จะสามารถให้สิริ คือความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในทวีปทั้งสี่ ย่อมไม่มีแก่บุตรทั้งหลาย. จะป่วยกล่าวไปไย (ถึงมารดาบิดาผู้ที่สามารถให้) ทิพยสมบัติหรือสมบัติมีปฐมฌานเป็นต้น (จักมีเล่า), ในการให้โลกุตรสมบัติ ไม่ต้องกล่าวถึงเลย. แต่ว่าจิตที่ตั้งไว้ชอบแล้ว ย่อมอาจให้สมบัตินี้ แม้ทั้งหมดได้, เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “เสยฺยโส นํ ตโต กเร.”
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
เทศนาได้เป็นประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.

เรื่องพระโสไรยเถระ จบ.
จิตตวรรควรรณนา จบ
วรรคที่ ๓ จบ
.. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท จิตตวรรคที่ ๓ จบ.
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙]

อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=366&Z=394




 4,109 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย