ขอถวายความรู้เรื่องสังขารุเปกขาญาณ ที่ถูกต้องแด่พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี

 Apipanyo    


 
ปัญญาในความปรารถนาจะพ้นไปทั้งพิจารณาและวางเฉยอยู่ เป็นสังขารุเบกขาญาณ

สังขารุเปกขาญาณ = ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร คือ เมื่อพิจารณาสังขารต่อไป ย่อมเกิดความรู้เห็นสภาวะของสังขารตามความเป็นจริง ว่า มีความเป็นอยู่เป็นไปของมันอย่างนั้นเป็นธรรมดา จึงวางใจเป็นกลางได้ ไม่ยินดียินร้ายในสังขารทั้งหลาย แต่นั้นมองเห็นนิพพานเป็นสันติบท ญาณจึงแล่นมุ่งไปยังนิพพาน เลิกละความเกี่ยวเกาะกับสังขารเสียได้

ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสีย ทั้งพิจารณาหาทาง และวางเฉยอยู่ เป็นสังขารุเปกขาญาณอย่างไร ฯ

ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสียจากความเกิดขึ้น ทั้งพิจารณา หาทางและวางเฉยอยู่
ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสียจากความเป็นไป ทั้งพิจารณาหาทางและวางเฉยอยู่
ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสียจาก สังขารนิมิต ฯลฯ .....
.....จากกรรมเครื่องประมวลมา
.....จากปฏิสนธิ
.....จากคติ
.....จากความบังเกิด
.....จากความอุบัติ
.....จากชาติ
.....จากชรา
.....จากพยาธิ
.....จากมรณะ
.....จากความโศก
.....จากความรำพัน
ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสียจากความคับแค้นใจ ทั้งพิจารณาหาทางและวางเฉยอยู่ เป็นสังขารุเปกขาญาณ

ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสีย ทั้งพิจารณาหาทาง แลวางเฉยอยู่ว่า.....
..... ความเกิดขึ้นเป็นทุกข์
..... ความเป็นไปทุกข์
..... สังขารนิมิตเป็นทุกข์ ฯลฯ
..... ความคับแค้นใจเป็นทุกข์

ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปเสีย ทั้งพิจารณาหาทางและวางเฉยอยู่ว่า.....
..... ความเกิดขึ้นเป็นภัย
..... ความเป็นไปเป็นภัย ฯลฯ
..... ความคับแค้นใจเป็นภัย

..... ความเกิดขึ้นมีอามิส
..... ความเป็นไปมีอามิส ฯลฯ
..... ความคับแค้นใจมีอามิส

..... ความเกิดขึ้นเป็นสังขาร
..... ความเป็นไปเป็นสังขาร ฯลฯ
..... ความ คับแค้นใจเป็นสังขาร

ความเกิดขึ้นเป็นสังขาร ญาณวางเฉยสังขารเหล่านั้น เพราะ เหตุนั้นจึงชื่อว่าสังขารุเปกขาญาณ
แม้ธรรม ๒ ประการนี้ คือ สังขารและอุเบกขา ก็เป็นสังขาร ญาณวางเฉยสังขารเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสังขารุเปกขาญาณ
ความเป็นไปเป็นสังขาร ฯลฯ
.....นิมิตเป็นสังขาร
.....กรรมเครื่องประมวลมาเป็นสังขาร
.....ปฏิสนธิเป็นสังขาร คติเป็นสังขาร
.....ความบังเกิดเป็นสังขาร
.....ความอุบัติเป็นสังขาร
.....ชาติเป็นสังขาร
.....ชราเป็นสังขาร
.....พยาธิเป็นสังขาร
.....มรณะเป็นสังขาร
.....ความโศกเป็นสังขาร
.....ความรำพันเป็นสังขาร
.....ความคับแค้นใจเป็นสังขาร ญาณวางเฉยสังขารเหล่านั้น
เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสังขารุเปกขาญาณ แม้ธรรม ๒ ประการ คือ สังขารและอุเบกขา ก็เป็นสังขาร ญาณวางเฉยสังขารเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสังขารุเปกขาญาณ ฯ


การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ย่อมมีได้ด้วย อาการ ๒ คือปุถุชน...
.....ย่อมยินดีสังขารุเปกขา ๑
.....ย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขา ๑

การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของพระเสขะ ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๓ คือ พระเสขะ...
.....ย่อมยินดีสังขารุเปกขา ๑
.....ย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขา ๑
.....พิจารณาแล้วเข้าผลสมาบัติ ๑

การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของท่านผู้ปราศจากราคะ ย่อมมีได้ด้วย อาการ ๓ คือ ท่านผู้ปราศจากราคะ...
.....ย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขา ๑
.....พิจารณาแล้วเข้าผลสมาบัติ ๑
.....วางเฉยสังขารุเปกขานั้นแล้ว ย่อมอยู่ด้วยสุญญตวิหารสมาบัติ อนิมิตตวิหารสมาบัติ หรืออัปปณิหิตวิหารสมาบัติ ๑

การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชนและของพระเสขะ เป็น อย่างเดียวกันโดยสภาพแห่งความยินดีอย่างนี้
......ปุถุชนยินดีสังขารุเปกขา มีจิตเศร้าหมอง มีอันตรายแห่งภาวนา มีอันตรายแห่งปฏิเวธ มีปัจจัยแห่งปฏิสนธิต่อไป
.....พระเสขะยินดีสังขารุเปกขา ก็มีจิตเศร้าหมอง มีอันตรายแห่งภาวนามีอันตรายแห่งปฏิเวธในมรรคชั้นสูง มีปัจจัย แห่งปฏิสนธิต่อไป

การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและ ของท่านผู้ปราศจากราคะ เป็นอย่างเดียวกันโดยสภาพแห่งการพิจารณาอย่างนี้
.....ปุถุชนย่อมพิจารณาเห็นสังขารุเปกขาโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
.....พระเสขะก็พิจารณาเห็นสังขารุเปกขาโดยความเป็นของ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
.....ท่านผู้ปราศจากราคะ ก็พิจารณาเห็น สังขารุเปกขาโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและ ของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันโดยสภาพเป็นกุศลและ อัพยากฤตอย่างนี้
.....สังขารุเปกขาของปุถุชนเป็นกุศล
.....สังขารุเปกขาของพระเสขะก็เป็นกุศล
.....สังขารุเปกขาของท่านผู้ปราศจากราคะเป็นอัพยากฤต

การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและ ของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันโดยสภาพที่ปรากฏและโดยภาพที่ไม่ปรากฏอย่างนี้
.....สังขารุเปกขาของปุถุชน ปรากฏดีในกาลนิดหน่อย (ในเวลาเจริญ วิปัสสนา) ไม่ปรากฏดีในกาลนิดหน่อย
.....สังขารุเปกขาของพระเสขะ ก็ปรากฏ ดีในการนิดหน่อย
.....สังขารุเปกขาของท่านผู้ปราศจากราคะ ปรากฏดีโดยส่วนเดียว

การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและ ของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันโดยสภาพที่ยังไม่เสร็จกิจและโดยสภาพที่เสร็จกิจแล้วอย่างนี้
..... ปุถุชนย่อมพิจารณา เพราะเป็นผู้ยังไม่เสร็จกิจจากสังขารุเปกขา
..... พระเสขะก็พิจารณาเพราะเป็นผู้ยังไม่เสร็จกิจจากสังขารุเปกขา
..... ท่านผู้ปราศจาก ราคะย่อมพิจารณาเพราะเป็นผู้เสร็จกิจจากสังขารุเปกขา

การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ของพระเสขะและ ของท่านผู้ปราศจากราคะ มีความต่างกันโดยสภาพที่ละกิเลสได้แล้วและโดยสภาพที่ยังละ กิเลสไม่ได้อย่างนี้
.....ปุถุชนย่อมพิจารณาสังขารุเปกขาเพื่อจะละสังโยชน์ ๓ เพื่อต้องการ ได้โสดาปัตติมรรค
..... พระเสขะย่อมพิจารณาสังขารุเปกขาเพื่อต้องการได้มรรคชั้นสูง ขึ้นไป เพราะเป็นผู้ละสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว
.....ท่านผู้ปราศจากราคะย่อมพิจารณา สังขารุเปกขา เพื่อต้องการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน เพราะเป็นผู้ละกิเลสทั้งปวง ได้แล้ว

การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขา ของพระเสขะและของท่านผู้ ปราศจากราคะ มีความต่างกันโดยสภาพ แห่งวิหารสมาบัติอย่างนี้
.....พระเสขะยังยินดีสังขารุเปกขาบ้าง ย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขาบ้างพิจารณา แล้วเข้าผลสมาบัติบ้าง
.....ท่านผู้ปราศจากราคะย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขาบ้างพิจารณา แล้วเข้าผลสมาบัติบ้าง วางเฉยสังขารุเปกขานั้นแล้ว ย่อมอยู่ด้วยสุญญตวิหารสมาบัติ อนิมิตตวิหารสมาบัติ หรืออัปปณิหิตวิหารสมาบัติ


สังขารุเปกขา ๘ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ สังขารุเปกขา ๑๐ ย่อม เกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา ฯ

สังขารุเปกขา ๘ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ
.....ปัญญาที่พิจารณา หาทางแล้ววางเฉยนิวรณ์ เพื่อต้องการได้ปฐมฌาน
.....ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยวิตกวิจาร เพื่อต้องการได้ทุติยฌาน
.....ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยปีติ เพื่อต้องการได้ ตติยฌาน
..... ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยสุขและทุกข์ เพื่อต้องการได้จตุตถฌาน
.....ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ว วางเฉยรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา (และ) นานัตตสัญญา เพื่อต้องการได้ อากาสานัญจายตนสมาบัติ
.....ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ว วางเฉยอากาสานัญจายตนสัญญา เพื่อต้องการได้วิญญาณัญจายตนสมาบัติ
.....ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยวิญญาณัญจายตนสัญญา เพื่อต้องการได้อากิญจัญญายตนสมาบัติ
.....ปัญญาที่พิจารณา หาทางแล้ววางเฉยอากิญจัญญายตนสัญญา เพื่อต้องการได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ


สังขารุเปกขา ๑๐ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา ฯ

ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยความเกิดขึ้น ความเป็นไป นิมิต กรรมเครื่องประมวลมา ปฏิสนธิ คติ ความบังเกิด อุบัติ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ความโศก ความรำพัน ความคับแค้นใจ
.....เพื่อต้องการได้โสดาปัตติมรรค
.....เพื่อต้องการได้โสดาปัตติผลสมาบัติ
.....เพื่อต้องการได้สกทาคามิมรรค
..... เพื่อต้องการได้สกทาคามิผลสมาบัติ
.....เพื่อต้องการได้อนาคามิมรรค
.....เพื่อต้องการได้อนาคามิผล สมาบัติ
.....เพื่อต้องการได้อรหัตมัค
.....เพื่อต้องการได้อรหัตผลสมาบัติ
.....เพื่อต้องการสุญญตวิหารสมาบัติ
..... เพื่อต้องการได้อนิมิตตวิหารสมาบัติ

สังขารุเปกขาเป็นกุศล ๑๕ เป็นอัพยากฤต ๓ เป็นอกุศลไม่มี ฯ
ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉย ...
.....เป็นโคจรภูมิของสมาธิ-จิต ๘
.....เป็นโคจรภูมิของปุถุชน ๒
.....เป็นโคจรภูมิของพระเสขะ ๓
.....เป็นเครื่องให้จิตของท่านผู้ปราศจากราคะหลีกไป ๓
.....เป็นปัจจัยแห่งสมาธิ ๘
.....เป็นโคจรแห่งภูมิแห่งญาณ ๑๐

สังขารุเปกขา ๘ เป็นปัจจัยแห่งวิโมกข์ ๓ อาการ ๑๘ นี้ พระโยคาวจรอบรมแล้วด้วยปัญญา

พระโยคาวจรผู้ฉลาดใน สังขารุเปกขา ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฐิต่างๆ ฉะนี้แล ฯ

เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปทั้งพิจารณา หาทางและวางเฉย เป็นสังขารุเปกขาญาณ ฯ 



ศึกษาเพิ่มเติมได้จากพระไตรปิฎกออนไลน์เล่มที่ 31

http://www.tipitaka.com/tipitaka31.htm


 เจริญในธรรมครับ    






ประมาณ ๑๕ วันต่อมา (ตอนนั้นข้าพเจ้าถึงญาณที่ ๑๑แล้ว) เวลาประมาณ ๓ ทุ่มครึ่ง ข้าพเจ้ากำลังเตรียมตัวจำวัด ก็ได้ยินเสียงคล้ายเด็กร้องให้ สะอื้นเบา ที่ระเบียงใกล้หน้าต่าง บางครั้งก็ร้องให้ บางครั้งก็หัวเราะบ่นพึมพำสลับกันไป ทำให้ข้าพเจ้าขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันที "เราโดยผีหลอกเข้าให้แล้ว" แต่ก็พยายามแข็งใจเดินออกไปดูให้เห็นกับตาว่าผีจริงหรือเปล่า (อยากเห็นมานานแล้ว จะได้นำไปเทศน์ให้โยมฟังได้เต็มปากเต็มคำว่า ผีมีจริง) พอออกไปดู เห็นหลวงพี่(ที่ชอบพูดอวดแสงสีของตนนั่นแหละ) กำลังนั่งร้องให้อยู่ ก็เลยนึกสงสาร เข้าไปตามว่า "หลวงพี่ มีอะไรหรือเปล่า ทำไมมานั่ง(ร้องให้)อยู่ตรงนี้" ท่านก็เดินกลับพร้อมกับพูดว่า " วันนี้จะร้องให้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ต่อไปจะไม่ร้องอีกแล้ว" ข้าพเจ้าฟังแล้วก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่กล้าถาม ท่านก็เดินร้องให้พึมพำเดินเข้ากุฏิไป นอนร้องให้ต่อ เวลาประมาณ ตี ๒ เสียงร้องก็ดังแรงขึ้นๆ จนได้ยินชัดเจน นึกสงสารอยากช่วย( .... ) จึงลุกขึ้นไปดู ได้ยินเสียงท่านบ่นพึมพำว่า "ไอ้เฮีย? กูเคยเห็นมึงแล้วมึงมาทำไมอีกวะ มึงไม่ต้องมาหรอก กูเคยเห็นมึงแล้ว ท้อง(พอง-ยุบ)ทำไมมันเบานักวะ" พร้อมกับเอากำมือทุบหน้าท้องไปด้วย ข้าพเจ้าบอกท่านว่า "กำหนดตามที่มันเป็นซิ เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง รู้ก็ให้กำหนดว่ารู้ เห็นก็ให้กำหนดว่าเห็น" เสียงท่านก็เบาลงพักหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าหลังจากนั้นจะดังขึ้นอีกหรือเปล่า



รุ่งเช้า ท่านไปส่งอารมณ์ สยาดอบอกว่า "ไม่ต้องกลัว มันเป็นเพียงสภาวของภยญาณ (ญาณที่ ๖) สาเหตุเกิดจากการไม่ยอมกำหนดแสงสีตั้งแต่ต้น ปล่อยให้จิตเข้าไปยึดมั่นยินดีกับสิ่งที่เห็นจนปัญญา ญาณอ่อนกำลัง กำหนดเท่าไรก็ไม่ดับซะที บวกกับท่านเป็นคนขี้กลัวอยู่ด้วยจึงทำให้เป็นเช่นนี้"


ตั้งแต่บัดนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยนึกอยากเห็นแสงสีอีกเลย ถ้าเห็นแล้วเป็นแบบนี้ขอไม่เห็นดีกว่า ต่อมาแม้จะเห็นอยู่บ้างในบางบัลลังก์ ก็พยายามเบี่ยงหน้าหนี และรีบกำหนดให้ดับไปในทันที .. ไม่อยากนั่งร้องให้ขี้มูกโป่ง..?


พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี - 125.25.216.185 [13 มิ.ย. 2551 05:21 น.] คำตอบที่ 20






ท่านยังไม่ผ่านสังขารุเปกขาญาณหรอกครับท่าน
จิตของท่านขณะนั้นเป็นอกุสล ให้ผลเป็นทุข์

การปฏิบัติธรรมเป็นการยัง/หรือสร้าง กุศลจิตให้เกิดขึ้น
กุศลให้ผลเป็นสุขครับ ปฏิบัติธรรมแล้วทุกข์ ไม่ใช่ลักษณะของ กุศลจิตครับ

แต่ขณะปฏิบัติท่านมีความทุกข์ แสดงว่าจิตท่านเป็นอกุศล
เพราะอกุศลมูลเป็นปัจจัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ท่านต้องการความสุข ต้องการความหลุดพ้น แต่ท่านทำเหตุให้เกิดทุกข์ด้วยอกุศลิจต
เป็นการปฏิบัติที่สวนทางกันกับมัคคผลนิพพานครับท่าน
การปฏิบัติธรรมของท่านเป็นการปฏิบัติผิดแนวทางแห่งมรรคมีองค์ 8 ครับ
ความเกิดขึ้นแห่งสังขารุเปกขาญาณ ที่ถูกต้องเป็นดังนี้ครับ



สังขารุเปกขา ๘ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ สังขารุเปกขา ๑๐ ย่อม เกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา ฯ

สังขารุเปกขา ๘ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมถะ
.....ปัญญาที่พิจารณา หาทางแล้ววางเฉยนิวรณ์ เพื่อต้องการได้ปฐมฌาน
.....ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยวิตกวิจาร เพื่อต้องการได้ทุติยฌาน
.....ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยปีติ เพื่อต้องการได้ ตติยฌาน
..... ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยสุขและทุกข์ เพื่อต้องการได้จตุตถฌาน
.....ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ว วางเฉยรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา (และ) นานัตตสัญญา เพื่อต้องการได้ อากาสานัญจายตนสมาบัติ
.....ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ว วางเฉยอากาสานัญจายตนสัญญา เพื่อต้องการได้วิญญาณัญจายตนสมาบัติ
.....ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยวิญญาณัญจายตนสัญญา เพื่อต้องการได้อากิญจัญญายตนสมาบัติ
.....ปัญญาที่พิจารณา หาทางแล้ววางเฉยอากิญจัญญายตนสัญญา เพื่อต้องการได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ


สังขารุเปกขา ๑๐ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา ฯ

ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉยความเกิดขึ้น ความเป็นไป นิมิต กรรมเครื่องประมวลมา ปฏิสนธิ คติ ความบังเกิด อุบัติ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ความโศก ความรำพัน ความคับแค้นใจ
.....เพื่อต้องการได้โสดาปัตติมรรค
.....เพื่อต้องการได้โสดาปัตติผลสมาบัติ
.....เพื่อต้องการได้สกทาคามิมรรค
..... เพื่อต้องการได้สกทาคามิผลสมาบัติ
.....เพื่อต้องการได้อนาคามิมรรค
.....เพื่อต้องการได้อนาคามิผล สมาบัติ
.....เพื่อต้องการได้อรหัตมัค
.....เพื่อต้องการได้อรหัตผลสมาบัติ
.....เพื่อต้องการสุญญตวิหารสมาบัติ
..... เพื่อต้องการได้อนิมิตตวิหารสมาบัติ

สังขารุเปกขาเป็นกุศล ๑๕ เป็นอัพยากฤต ๓ เป็นอกุศลไม่มี ฯ
ปัญญาที่พิจารณาหาทางแล้ววางเฉย ...
.....เป็นโคจรภูมิของสมาธิ-จิต ๘
.....เป็นโคจรภูมิของปุถุชน ๒
.....เป็นโคจรภูมิของพระเสขะ ๓
.....เป็นเครื่องให้จิตของท่านผู้ปราศจากราคะหลีกไป ๓
.....เป็นปัจจัยแห่งสมาธิ ๘
.....เป็นโคจรแห่งภูมิแห่งญาณ ๑๐

สังขารุเปกขา ๘ เป็นปัจจัยแห่งวิโมกข์ ๓ อาการ ๑๘ นี้ พระโยคาวจรอบรมแล้วด้วยปัญญา

พระโยคาวจรผู้ฉลาดใน สังขารุเปกขา ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฐิต่างๆ ฉะนี้แล ฯ

เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาเครื่องความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปทั้งพิจารณา หาทางและวางเฉย เป็นสังขารุเปกขาญาณ ฯ

เจริญในธรรมครับ


อภิปัญโญ ภิกขุ


• ปุญฺญํ สุขํ ชิวิตสงฺขยมฺหิ บุญนำสุขมาให้ในเวลาสิ้นชีวิต

• สัจธรรมของชีวิตกับการสร้างบารมี - หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย

• ๖๘.ปางปลงอายุสังขาร

• เอนไซม์สมุนไพรบ้วนปาก

• หลักธรรม ๓ เรื่องที่มีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันมาก

• ตายเป็นสุข คือตาย อย่างไม่มีอะไรตาย

RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย