ทำไมการกรรมสนองถึงไม่มีเหตุผล

 jeabsayhi    

ดิฉันมีความรุ้สึกว่า ตัวเอง ทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง กรรมสนองทันที โดยใช้เวลาไม่นานเลย
ดิฉันคิดว่า บางเรื่องสิ่งที่ดิฉันทำลงไปนั้น มันผิดมหันต์ขนาด ที่ดิฉันจะต้องมาโดนคนอื่นทำร้ายฉันแบบสุดๆ เลยหรือ?

"ส่วนคนที่ทำร้ายคนอื่น โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่มีความสลด หรือสำนึกผิด ทำไมเค้าอยู่อย่างมีความสุข สามารถหลอกใครได้อีก ไม่รู้สึกตัวเองเลยว่าตัวเองทำอะไรลงไปเสียหายแค่ไหน แล้ว...

แทนที่ คนที่หลอก น่าจะมีเหตุการณ์ให้หยุดและสำนึกได้แล้ว กลับกลายเป็น คนที่ถูกหลอก ต้องมานั่งสงบจิต หาวิธีให้อยู่อย่างไรให้มีความสุข โดยห้ามโกรธเกลียดคนที่ทำเรา ซึ่งก่อนหน้า คนที่ถูกหลอก ก็ไม่คิดจะทำร้ายใคร กลัวการทำร้ายใจใครด้วยซ้ำ ...




(พระอรหันต์จี้กงว่า มนุษย์เราอยู่ด้วยการหลอกตนเอง หลอกคนอื่น แล้วก็โดนคนอื่นหลอก)

ก็คน คนที่หลอกคุณ ทำร้ายคุณ วันนี้เขายังไม่ถูกใครทำร้าย ยังไม่ถูกใครหลอก เราจึงเห็น (ภายนอก) ว่าเขามีความสุขดีดังว่า

ไว้วันหนึ่งเขาถูกทำร้ายบ้าง โดนใครหลอกเอาบ้าง คุณจะเห็นเช่นกันว่า เขาก็ทุรนทุราย เหมือนเราทุรนทุรายอยู่ตอนนี้เช่นกัน


((แทนที่ คนที่หลอก น่าจะมีเหตุการณ์ให้หยุดและสำนึกได้แล้ว กลับกลายเป็น

คนที่ถูกหลอก ต้องมานั่งสงบจิต หาวิธีให้อยู่อย่างไรให้มีความสุข โดยห้าม

โกรธเกลียดคนที่ทำเรา))

เพราะเราเข้ามาในเว็บธรรมะ จึงมีผู้แนะนำแบบนั้น

หากเข้าไปเว็บไซต์อันธพาล อาจได้รับคำแนะนำเป็นอย่างอื่นประมาณว่า จงไปฆ่ามัน หรือไปทำร้ายตอบให้สาสมกับที่ทำเราเจ็บ ฯลฯ

แต่ผมมีข้อเสนอแนะอีกแบบหนึ่ง ไม่ต้องกดเก็บกักความรู้สึก อยากโกรธๆไป อยากเกลียดๆได้ แต่ให้รู้ว่ากำลังโกรธ กำลังนึกเกลียดคนๆนั้นอยู่
พิจารณาความคิดนั้นว่า มีคุณมีโทษอย่างไร ดูมันเกิด ดูมันสลายตัว และดูความคิดอื่นอีกจากที่กล่าวนั้นว่า อย่างไหนโปร่งโล่ง เบาสบาย

พิจารณาถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ว่าแก้ไขอะไรได้ก็แก้ไป หากแก้ไม่ได้ ควรรึจะเก็บกักความคิดเช่นนั้นไว้ให้เป็นไฟล์ขยะรกห้องหัวใจ







บาปยังไม่ได้ให้โทษเขามั้งคะ...หรือประมาณว่ากินบุญเก่าอยู่ คุณเองอาจจะเป็นคนทำบาปไม่ขึ้นก็ได้ อโหสิให้เขาไปเถอะคะคิดซะว่าชาติที่แล้วทำเขามา ชาตินี้ก็ชดใช้ให้หมดๆไป แล้วเลิกหันกลับไปมองเขาได้เลยไม่ว่าเขาจะกินบุญเก่าอยู่หรือรับผลกรรมเมื่อไหร่ เอาแค่ชดใช้หมดแล้ว อโหสิให้กันทางใครทางมัน คุณเป็นคนมีบุญนะคะทำอะไรไม่ถูกต้อง กรรมสนองทันที จะได้หมดๆในชาตินี้และเหมือนมีอะไรยับยั้งคุณไม่ให้ทำบ่อยหรือมากกว่านี้เพราะจะรู้ได้เมื่อโดนตอบสนองทันที ทำบุญเยอะๆนะคะ คุณมีบุญแล้ว ปล่อยพวกนั้นที่ยังไม่โดนกรรมสนองให้เขาเพลินไปเรื่อยๆเถอะคะ พวกเขาเป็นคนน่าสงสารด้วยซ้ำที่กรรมจะหนาสะสมขึ้นโดยไม่รู้ตัวเลย


คุณคงกำลังมีทุกข์เหลือเกิน แต่ก็โชคดีเหลือเกินที่รู้จักที่นี่ เดี๋ยวก็จะมีกำลังใจจากเพื่อนๆ

มาเพิ่มกำลังใจให้ ข้างบนนี่ก็ใจบุญทั้งน้ันจ้า


คนทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ชาติก่อนคุณอาจเคยไปทำเค้ามั้งค่ะ ดิฉันไม่ได้ไปทำร้ายใครยังโดนเค้าทำร้ายเลยค่ะโดนมาเยอะ โดนผู้ชายหลอก โดนของ รับกรรมหลายอย่าง ค่ะทั้งๆที่นั่งสมาธิ ตักบาตรทุกวัน ทำสังฆทาน ให้ทาน กินเจ อโหสิกรรมอย่างเดียวค่ะ ถ้าเค้ายังทำร้ายคุณอีกลองไปทำสังฆทานถวายพระพุทธรูปประจำวันเกิด แล้วกรวดน้ำให้เค้าดู นั่งสมาธิแล้วนึกอโหสิกรรมขอให้กรรมไม่มีผลต่อกันอีกเลิกแล้วต่อกัน อย่าไปอาฆาตพยาบาทเค้าเลยอวยพรเค้าให้มีดวงตามองเห็นธรรม นึกสงสารเค้าเถอะเค้ายังไม่รู้ว่ากรรมมีจริง ดิฉันทำแล้วได้ผลนะค่ะจากคนที่ไม่ค่อยชอบเกลียดเราเค้าก็กลับมาดีด้วยค่ะ


เหตุ-ผล ในตามความคิดของเรา

กับ เหตุ-ผล ในตามกรรม นั่นต่างกันนะคะ

เหตุผลตามความคิดของตัวเรา ที่อยากให้สนองโดยรวดเร็วนั้น ก็อาจจะ
ไม่ใช่เหตุผลเดียวกับคนอื่นๆอีกมากก็มีนะคะ เพราะเรากำลังโกรธ กำลังเกลียด
กำลังเสีย ..เขากำลังได้ เขากำลังมี เขากำลังดีใจ คนที่รัก-ชอบ-นิยมเขาก็มี
**นั่นเรามองด้วยตาเปล่า เห็นแต่ในปัจจุบัน**

แต่กรรมใดนั้นเมื่อได้ทำไว้แล้ว จะมีวิบากกรรม รออยู่ จะมามองแต่ขณะนี้
หรือชาตินี้ไม่ได้ เพราะชีวิตไม่ได้มีชาตินี้ชาติเดียว...และยังมีหลายภูมิที่เขารอเสวยวิบาก เช่น ภูมิอบาย นรก สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์(ที่มีลดหลั่นตามกรรม) สวรรค์ พรหม

ที่เห็นเขาไม่ถูกลงโทษให้สาสม ก็เพราะเขากำลังเสวยบุญที่เคยสะสมมาก่อนค่ะ
ที่เขาเรียกว่า บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป

การเวียนว่ายตายเกิด ยังมีอีกยาวนับไม่ถ้วนหรอกค่ะ ชีวิตของเขาไม่ใช่มีแต่ใน
ปัจจุบัน บางคนพอใกล้ปัจฉิมวัย อกุศลกรรมวิบาก็วิ่งมาชน เสวยบาปนั้นไป
เรามองไม่ถึงตรงนั้นก็มากนะคะ
บางคนจิตใต้สำนึกก่อนตายนั้น ไฟร้อนจากกรรมชั่วมันปรากฎวิ่งมาให้เขา
ทุรนทุรายก็มี แต่เราก็ไม่เห็น หรือไม่ทันได้รับทราบ

หลายคนที่กำลังก่อบาปอกุศลอยู่ เราก็สามารถมองได้ออกเลยว่า ต่อไปเขาจะ
ต้องเจออะไร ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีดูดี มีความสุขล้นก็เถอะนะ

ที่พูดนี้ ไม่ใช่ให้คุณสะใจกับคำพูดนี้นะคะ แต่ขอให้คุณรักษาใจ อย่าได้โกรธ
อย่าเครียด เพราะจิตดวงนั้นคือจิตที่ได้ก่อบาปเช่นกันค่ะ ตายไปขณะโกรธ
นี้ไปเกิดเป็นอสูรกายค่ะ เพราะเป็นอกุศลที่มีความโทสะ(พยาบาท)อยู่

มองเขาด้วยความเมตตา สงสารเถิดค่ะว่า ภายหน้าเขาต้องน่าสารมากค่ะเมื่อต้อง
เจอกับวิบากกรรมอะไร แล้วไฟโกรธคุณก็จะดับไปนะคะ





ทำไมการกรรมสนองถึงไม่มีเหตุผล

โดย : [DT06388] 10 มิ.ย. 2551 16:40 น.
....................
เพราะเรายังไม่เข้าใจ ในสัญญาความจำได้หมายรู้
คำว่า "กรรม" กับ "เหตุผล" ในความหมายทางพระพุทธศาสนา

กรรมกับกิจก็ศัพท์เดียวกัน แต่
ลงปัจจัยต่างกัน ความก็อย่างเดียวกัน
คือการงานที่สัตว์ทำลงไป, ทำทางกายก็
เรียกว่า กายกรรม, ทำทางวาจาคือพูด
ก็เรียกว่า วจีกรรม, ทำทางมนะ คือคิด
ก็เรียกว่า มโนกรรม, ว่าจำเพาะมนุษย์.
มนุษย์เราเคยทำกรรมเหล่านี้กันมาด้วย
กันทุกคน ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง
ทางใจบ้าง. กรรมเหล่านั้น ถ้าว่าตาม
พระสูตรแยกเป็น ๒ คือ เป็นกุศลส่วน
ดีกับเป็นอกุศลส่วนชั่ว, ถ้าตามอภิธรรม
เติม อัพยากต อีกอย่างหนึ่ง แต่ท่าน
เรียกว่าธรรม ดังที่เคยแสดงมาแล้ว.
อัพยากตหรืออัพยากฤต อย่างหนึ่งท่าน
ว่า เป็นแต่อุปการะ, ส่วนที่จะให้ผล
ต้องเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม.
กรรมที่ให้ผลโดยนัยหนึ่งท่านแสดงว่า
คนสามัญรู้ไม่ได้ ได้แก่คาดคะเนเอา.
ถูกหรือผิดก็ไม่แน่, ส่วนที่คนรู้ได้ ไม่ใช่
กรรมให้ผล เป็น ปัจจัย ให้ผล เช่นคน
กินเข้าก็ได้ผลคืออิ่ม, คนเรียนหนังสือก็
ได้ผล คืออ่านหนังสือออกหรือรู้หนังสือ
นี่ท่านว่าไม่ใช่กรรม เป็นปัจจัย, แต่ที่ว่า
เป็นปัจจัยนี้ก็ไม่เคยพบในพระบาลี เป็น
แต่พระอาจารย์ท่านแสดงไว้อย่างนั้น.
กรรมที่ให้ผลว่าตามกาลคือคราว
แยกเป็น ๔ คือ :-
ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม, ทิฏฐธรรม
หมายเอาปัจจุบัน เวทนียะ หมายเอาเสวย
หรือพึงเสวย, กรรม ก็กรรม. ทิฏฐธรรม
เวทนียกรรม กรรมที่พึงเสวยในปัจจุบัน
เมื่อคนทำกรรมอะไรลงไปแล้ว แล้วก็ได้
ผลในชาตินี้ ทั้งส่วนดีทั้งส่วนชั่ว นี่อย่าง
หนึ่ง.
อุปปัชชเวทนียกรรม, อุปปัชช
แปลว่า เข้าถึง ซึ่งหมายความว่าเกิด,
อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่พึงเสวยใน
ภพที่เกิด หมายความว่าชาติหน้าต่อจาก
ชาตินี้ไป, กรรมอันใดที่ทำไว้ทั้งส่วนดี
ทั้งส่วนชั่ว ยังไม่ให้ผลในชาตินี้ แต่จะ
ให้ผลต่อจากชาตินี้ไป เรียกว่า อุปปัชช-
เวทนียกรรม, นี่อย่างหนึ่ง.
อปราปรเวทนียกรรม, อปราปร
หมายความว่าสืบต่อ ๆ กันไป, อปราปร-
เวทนียกรรม กามเป็นที่พึงเสวยในภพ
สืบ ๆ ต่อไป หมายความว่า กรรมที่จะให้
ผลต่อจากชาติหน้าไป ไม่กำหนดว่าเมื่อ
ไรแล้วแต่จะเหมาะ เหมาะเมื่อไรก็ให้ผล
เมื่อนั้น นี่อย่างหนึ่ง.
อโหสิกรรม, อโหสิ ได้มีแล้วหรือ
ได้เป็นแล้ว, อโหสิกรรม แปลว่า กรรม
ที่ได้มีแล้วหรือได้เป็นแล้ว หมายความว่า
กรรมที่ให้ผลเสร็จแล้ว หรือให้ผลไม่ทัน
เช่นท่านอ้างว่า พระองคุลิมาลฆ่าคนมา
มาก, ถ้าว่าตายกรรมแล้ว ท่านจะต้องไป
ตกนรกมากมาย แต่นี่เพราะท่านได้บรรลุ
พระอรหัตเป็นพระอรหันต์เสียในชาติ
นั้น, กรรมนั้นตามไม่ทันจึงเป็นอโหสิ-
กรรม, หรือกรรมที่ให้ผลเสร็จแล้ว เช่น
ทำกรรมดีให้ผลดีเสร็จแล้ว กรรมนั้นก็
เป็นอโหสิกรรม, ทำกรรมชั่วให้ผลชั่ว
เสร็จแล้ว กรรมนั้นก็เป็นอโหสิกรรม นี่
อีกอย่างหนึ่ง.
รวมเป็น ๔ คือ ทิฏฐธรรมเวทนีย-
กรรม กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ อุปปัชช-
เวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า,
อปราปรเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลใน
ชาติต่อจากชาติหน้าไป ไม่กำหนดว่า
เมื่อไร อโหสิกรรม กรรมที่ได้มีแล้ว ได้
เป็นแล้ว.
กรรมอีกหมวดหนึ่ง ให้ผลตามชนิด
หรือตามกิจของตน แยกเป็น ๔ คือ :-
ชนกกรรม กรรมนำให้เกิด คือ
กรรมดีก็นำให้เกิดในภพชาติที่ดี กรรมชั่ว
ก็นำให้เกิดในภพชาติที่ชั่ว เรียกว่า ชนก-
กรรม, ชนก แปลว่า พ่อก็ได้.
อุปถัมภกกรรม กรรมที่อุดหนุน
หมายความว่า อุดหนุนกรรมเดิม หรือ ถ้า
ชนกกรรมเป็นกรรมดี นำให้เกิดดี อุป-
ถัมภกกรรมก็หนุนให้ดีเรื่อยไป, ถ้าชนก-
กรรม เป็นกรรมชั่ว ในให้เกิดชั่ว อุป-
ถัมภกกรรมก็หนุนให้ชั่วเรื่อยไป.
อุปปีฬกกรรม กรรมที่บีบคั้นกรรม
เดิม คือทำกรรมเดิมให้อ่อนลงไปทั้งใน
ส่วนดี ทั้งในส่วนชั่ว, เช่น ชนกกรรมนำ
ให้เกิดดีควรจะดีเรื่อยไป แต่มีกรรมชั่ว
มาบีบคั้นกรรมเดิมทำให้อ่อนลงไป, หรือ
ชนกกรรมนำให้เกิดชั่ว ควรจะชั่วเรื่อยไป
แต่ว่ามีกรรมดีมาบีบคั้นกรรมเดิม ทำให้
ชั่วน้อยเบาบางไป.
อุปฆาตกกรรม กรรมที่เข้าไปฆ่า
หรือ อุปัจเฉทกกรรม กรรมที่เข้าไปตัด
หมายความว่า กรรมที่เข้าไปฆ่าหรือตัด
กรรมเดิม เช่นกรรมเดิมที่ดีนำให้เกิดดี,
แต่มีอุปฆาตกกรรม หรือ อุปัจเฉทกกรรม
เข้าไปตัดเสียไม่ให้ดี, หรือชนกกรรมนำ
ให้เกิดชั่ว แต่อุปฆาตกกรรม หรือ อุปัจ-
เฉทกกรรมเข้าไปตัดเสียไม่ให้ชั่ว รวม
เป็น ๔.
อีกหมวดหนึ่ง กรรมที่ให้ผลตาม
กำลัง แยกเป็น ๔ คือ :-
กรรมที่มีกำลังมากเรียกว่า ครุกรรม
แปลว่ากรรมหนัก, กรรมมีกำลังมากใน
ฝ่ายดีท่านว่าได้แก่ ฌาน, คนที่ทำฌานให้
เกิดขึ้นและไม่เสื่อม ถ้าตายไปก็ไปเกิด
เป็นพรหม, คนที่ทำกรรมชั่วอย่างหนักที่
เรียกว่า อนันตริยกรรม ถึงจะทำกรรมดี
เท่าไรก็แก้กันไม่ได้ เมื่อตายลงต้องไปตก
นรก จึงเรียกว่า อนันตริยกรรม กรรมไม่
มีระหว่าง และเรียกว่า ครุกรรม คือ
กรรมหนัก.
อีกอย่างหนึ่ง พหุลกรรม หรือ
อาจิณณกรรม กรรมที่ทำเสมอ ๆ แม้ไม่
เป็นกรรมหนัก แต่ว่าทำมาก ๆ คราว ทำ
เสมอ ๆ, ถ้ามุ่งถึงทำมาก ๆ คราว ก็เรียก
ว่า พหุลกรรม, ถ้ามุ่งถึงทำเสมอ ๆ ก็เรียกว่า
อาจิณณกรรม ทั้งส่วนดีส่วนชั่ว
ถ้าไม่มีครุกรรมให้ผลก็เป็นหน้าที่ของพหุล
กรรม หรืออาจิณณกรรม ถ้าเป็นส่วนดี
ก็ให้ผลดี ถ้าเป็นส่วนชั่วก็ให้ผลชั่ว.
อ่อนลงมาก็ กตัตตากรรม กรรมที่
สักว่าทำ ไม่ใช่ตั้งอกตั้งใจจะทำจริงจัง แต่
ว่าพลอย ๆ ไปกับเขาเท่านั้น เพียงสักแต่
ว่าทำทั้งส่วนดีทั้งส่วนชั่ว, ถ้าไม่มีพหุล-
กรรม หรืออาจิณณกรรมที่จะให้ผล ก็
เป็นหน้าที่ของ กตัตตากรรม กรรมที่สัก
แต่ว่าทำจะให้ผล.
อีกอย่างหนึ่ง อาสันนกรรม กรรม
ใกล้ กรรมที่จวนแจ หมายความว่าใน
เวลาที่ใกล้จะตาย ถ้าทำอะไรที่ดี กรรมดี
ก็ให้ผลก่อน, ถ้าทำอะไรที่ชั่ว กรรมชั่วก็
ให้ผลก่อน, ท่านแสดงตัวอย่างเช่นพระ-
นางมัลลิกา พระมเหษีของพระเจ้าโกศล
ทำบุญทำกุศลไว้มา แต่ว่าเมื่อจะตายไป
นึกถึงกรรมชั่วก็ต้องไปตกนรกเสีย ๗ วัน
เมื่อพ้นจากนรกแล้วจึงขึ้นไปสวรรค์, หรื
อเพชฌฆาต คือคนฆ่านักโทษมามากตามที่
สมควร ตายไปจะต้องไปตกนรก แต่ว่า
เวลาจวนตายเขานึกถึงบุญกุศล แล้วตาย
ลงในขณะนั้น, บุญกุศลก็นำให้ไปเกิดใน
สุคติภพที่ดี, เพราะเหตุนี้แหละคนไทยที่
ถือพระพุทธศาสนา ทั้งคนถือศาสนาอื่น
ด้วย เมื่อจะตาย สำหรับคนไทย จึงบอก
กรอกหูว่า อรหํ ๆ ๆ เพื่อให้ระลึกถึง
อรหํ จะได้เป็น อาสันนกรรม จะได้
เป็นบุญเป็นกุศลให้ได้ไปสู่สุคติ, แต่การ
ทำเช่นนั้นจะดีหรือไม่ ยังไม่รู้แน่ เพราะ
ถ้าคนผู้นั้นใจดีก็อาจจะดีได้, แต่ถ้าใจไม่
ดีอาจจะตกใจเกิดกลัวตายขึ้นมาจะทำให้
เป็นอกุศลก็ได้.
รวมเข้าก็เป็นกรรม ๑๒ อย่าง ถ้า
ยกอโหสิกรรมเสียก็เหลือ ๑๑. ( โอ. ๒/
๑๔๓-๑๔๗ ).


เหตุผล

ทางพระพุทธศาสนา ในชั้น
ต้น สอนให้ผู้ใคร่ความถูกความดีตาม
เป็นจริงใช้ปัญญาพิจารณาจับเหตุจับผล
ไม่เพียงแต่ยึดสมมติเท่านั้น, เมื่อใช้ปัญญา
พิจารณาจับเหตุจับผลตามหลักพระพุทธ-
ศาสนา ก็อาจเห็นได้ว่า ผู้เป็นคนชั่ว
ก็เพราะประพฤติชั่ว ทำตัวให้เป็นคนเลว
ทำผู้อื่นให้เดือนร้อน อันผิดคลองธรรม
เป็นเหตุ จึงปรากฏผลเป็นคนชั่ว ถึงจะ
ได้รับสมมติว่าเป็นชั้นไหนก็ตาม ก็คง
เป็นคนชั่วอยู่นั่นเอง ตามเหตุผล, ส่วน
ผู้เป็นคนดี ก็เพราะประพฤติดี อุปถัมภ์
ตน ทำตนให้เป็นคนดีโดยลำดับ เว้นจาก
เบียดเบียนผู้อื่น เพราะไม่ทำให้เขาเดือด
ร้อน และอุปถัมภ์ผู้อื่นที่ควรอุปถัมภ์ตาม
สมควรโดยชอบธรรม ถึงจะได้รับสมมติ
ว่าเป็นชั้นไหนก็ตาม ก็คงเป็นคนดีอยู่นั่น
เอง ตามเหตุผล, ดังพระพุทธภาษิตว่า
" น ชจฺจา วสโล โหติ
น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ
คนไม่เป็นคนเลวเพราะชาติ ไม่เป็น
พราหมณ์เพราะชาติ.
กมฺมุนา วสโล โหติ
กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ
คนเป็นคนเลวเพราะกรรม เป็น
พราหมณ์ก็เพราะกรรม " ดังนี้เป็นต้น
เหตุผลนั้นแล จักทำให้ไปนรก หรือ
ไปสวรรค์ เหตุผลที่ชั่วคือบาป จักทำ
ให้ไปสู่คติภพที่ชั่ว, แต่เหตุผลที่ดีคือบุญ
จักทำให้ไปสูคติภพที่ดี ดังพระพุทธภาษิต
แสดงพระญาณที่เกิดขึ้นแก่พระองค์ว่า
" อิเม วต โภนฺโต สตฺตา เป็นต้น
แปลถือเอาโดยเนื้อความว่า สัตว์ทั้งหลาย
ประกอบด้วยทุจริต ทางกาย ทางวาจา
ทางใจ ด่าว่าพระอริยะ มีความเห็นผิด
ประกอบกรรมตามความเห็นผิด, เบื้อง
หน้าแต่ตายเพราะกายแตก เป็นผู้เข้าถึง
อบาย ทุคติ วินิบาต นิรยะ, ส่วนว่าสัตว์
ทั้งหลายประกอบด้วยสุจริตทางกาย ทาง
วาจา ทางใจ ไม่ด่าว่าพระอริยะ มี
ความเห็นชอบ ประกอบกรรมตามความ
เห็นชอบ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เป็นผู้เข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ " ดังนี้เป็น
ต้น, ไม่ใช่แต่ผู้ประพฤติทุจริตจะเข้าถึง
ทุคติ และผู้ประกอบสุจริตจะเข้าถึงสุคติ
เพียงในชาติหน้าเท่านั้น ถึงในชาตินี้เอง
ก็เข้าถึงทุคติทางชั่ว เข้าถึงสุคติทางดีอยู่
แล้ว เหมือนดังเมื่อวานนี้เป็นอย่างไร
ถ้าไม่เปลี่ยน วันนี้ก็คงเป็นอย่างนั้น,
วันนี้เป็นอย่างไร ถ้าไม่เปลี่ยน พรุ่งนี้ก็
คงเป็นอย่างนั้น, ผู้พิจารณาด้วยปัญญาอัน
ละเอียดย่อมเห็นได้. ( วชิร. ๓๔๗-๓๔๘ ).


เจริญในธรรมขอรับ






ขอคุณจงภูมิใจเถิดครับ เพราะแสดงว่าคุณเป็นคนที่มีบาปน้อย
ตามตำราท่านบอกว่า กรรมอะไรแรงกว่า ก็จะแสดงผลก่อน
คุณทำกรรมไม่ดีแล้วได้รับผลทันที นั่นแสดงว่าไม่มีกรรมอะไรแรงๆที่ค้างในชีวิตคุณเลย
คือ คุณทำกรรมใด กรรมนั้นก็จะเป็นกรรมแรงสุดทันที
หรือกล่าวอีกนัย คุณเป็นคนทำแต่ความดีมาตลอด จึงมีกรรมชั่วในชีวิตน้อยมาก
เมื่อคุณทำกรรมชั่ว มันก็ให้ผลทันที เพราะไม่มีกรรมชั่วอื่นมาแข่งขัน
คนอย่างนี้จะปฏิบัติได้ผลเร็ว



ขอให้คุณอโหสิกรรมแก่คนๆนั้น แล้วปฏิบัติตนในทางธรรม ไม่ต้องไปอาฆาต พยาบาท หรือสงสัย ในกรรมของผู้ใด ขอให้เราเร่งทำกรรมดีเพื่อส่งผลให้กำลังกรรมชั่วที่กำลังเผชิญอยู่อ่อนแรงด้วยจิตใจที่ศรัทธาและเชื่อมั่นในความดีของพระพุทธศาสนา ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข ไม่เร่าร้อน ขอให้คิดว่าสิ่งใดๆในโลกไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น


ขอบคุณทุกๆ ท่านมากๆ เลยน่ะค่ะ ที่ให้คำตอบมาด้วยความจริงใจ ดิฉันอ่านแล้ว รู้สึกดี ขอบคุณจริงๆ ค่ะ...

ตัวดิฉันเองบางทีก็รู้สึกแค้น และอาฆาต แต่สักครู่ ก็จะคิดอโหสิกรรม มันเป็นบางช่วงค่ะ บางทีก็นึกเรื่องแย่ๆ บางทีก็ขอบคุณที่เขาทิ้งเรา บางทีก็น้อยใจสวรรค์โชคชะตา พรหมลิขิต และบางก็นึกน้อยใจ ทำไมถึงเกิดมาทำคุณใครไม่ขึ้น ไม่รู้ว่าคิดไปคิดมา แบบนี้ จะเหมือนคนจิตประสาทหรือปล่าว
บางทีก็นึกน้อยใจ ว่าดิฉัน รักษาใจมานาน เพื่อต้องการรอคู่เราที่แท้จริง แต่พอรู้สึกว่าคนนี้ใช่ กลับ .. ถูกเค้าหลอก ถูกเค้าเหยียดหยาม ดูถูกเรา.. กลายเป็นคนไม่มีค่าอะไรเลยค่ะ ซึ่งก่อนหน้า ดิฉันสนุกกับชีวิตที่อยู่ตัวคนเดียวไม่เคยรักใคร
... แต่ตอนนี้ ฉันก็อยู่คนเดียวเหมือนเดิม แต่..มีความเจ็บปวดในใจ คิดทุกที ใจมันร้าว มันหวิวตลอดเลยค่ะ... เลยคิดโทษกรรมนั่นแล
ดิฉันทุกข์มากค่ะ ทุกข์มา 3 ปีกว่าแล้ว ดิฉัน ฝังใจเรื่องเลวร้ายตลอดเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะจางหายไปเมื่อไหร่ ... แต่การที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา เค้าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดิฉัน มองหาธรรมมะเพื่อเยียวยาชีวิตให้อยู่ต่อให้ได้ .. แต่มันก็ต้องเดินไปพร้อมกับการเจ็บปวดด้วยเหมือนกันค่ะ... ดิฉันรักเค้ามาก แต่ก็กลัวเค้ามากเช่นกันค่ะ ...
ดิฉันคิดว่า ที่ใครๆ เค้าบอกกันว่า "อกหักดีกว่ารักไม่เป็น" หากเป็นตอนนี้ ดิฉันคิดว่า รักไม่เป็นดีกว่าอกหักค่ะ .. รัก(ผู้ชาย) ไม่เป็น ยังดีกว่า ให้ไม่รู้จักความรักแบบหญิงชาย มันเหมาะกับดิฉันมาก ดิฉันคงจะมีความสุขแบบเดิม ดีกว่าค่ะ....

ยังไงก็ขอบคุณสำหรับความเห็นทุกท่านน่ะค่ะ ขอบคุณจริงๆ ดิฉันจะพยายามคิดทำแต่สิ่งดีๆ เข้าหาตัวค่ะ ทำให้ตัวเองเสมอตัว ดีกว่า ทำตัวแย่ลงไป ...





ทำไมการกรรมสนองถึงไม่มีเหตุผล

โดย : [DT06388] 10 มิ.ย. 2551 16:40 น.

ค้นใน "มโน" ซิจ๊ะ....จะเห็นเหตุผลของกรรมสนอง ว่ามีเหตุผลมากๆ

ถูกที่ ถูกเวลาเสมอ ไม่มียกเว้น สักคนเดียวในแผ่นดินนี้

ทั้งกรรมดีกรรมชั่ว.....มีที่มาแน่นอนจ้า.....เชื่อป๋มเต๊อะ....อะ อะ อะ อะ

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม".......สาธุ อะ อะ อะ อะ




ผมขอยกบทความของท่านนิ้งหน่อง เรื่อง"กรรม กรรม กรรม"

กรรม ทั้งหลายเกิดขึ้นจากจิตที่เจตนาทำกรรม ซึ่งจะถูกบันทึกไว้ในจิต แม้ผู้ผูกเวรจะไปเกิดใหม่ จะอโหสิ เลิกอาฆาตพยาบาทแล้ว กรรมนั้นก็ยังไม่หมด

กรรม คือความผิดพลาดของมนุษย์ ไม่รู้เท่าทันการเกิด-ดับ ของสิ่งที่เกิดขึ้น และรับเอาสิ่งนั้นเข้าสู่ใจ ก่อให้เกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน(ตัวกู-ของกู) ตามมา ซึ่งจะดับยากกว่าผัสสะที่ได้รับมา และพร้อมจะแสดงออกมาในรูปแบบของวิบากกรรมต่อไปในอนาคต

กรรม ในธรรมชาติของกฏ บางอย่างให้ผลในชาตินี้ บางอย่างให้ผลในชาติหน้า สิ่งที่วัดผลของกรรม คือ ๑. วัตถุ ๒. ประโยค ๓. เจตนา

วัตถุ หมายถึง คน สัตว์ สิ่งของ หรือเรื่องที่เป็นตัวกรรม

ประโยค หมายถึง ความพยายาม คือการกระทำทางกาย วาจา ถ้าพยายามมาก บาปก็มาก ถ้าพยายามน้อย บาปก็น้อย

เจตนา หมายถึง ความจงใจ ไม่มีเจตนาก็ไม่บาป ไม่มีเจตนาก็ไม่บุญ จึงตรัสกฏแห่งกรรมว่า

"เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าการกระทำที่มีเจตนาว่าเป็นกรรม"



เจริญในธรรมครับ

ที่มา : กรรม/สติ/ทวารหก
--------------------------------------------------------------------------------

นิ้งหน่อง [DT02764] [ วันเสาร์ ที่ 26 มกราคม 2551


เจริญในธรรมครับ







ลองหาหนังสือธรรมะของสมเด็จพระสังฆราช สกลฯ มาอ่านดูนะครับ
หนังสือเรื่อง "ชีวิตนี้น้อยนัก" จะพูดถึงเรื่องกรรมเอาไว้พอสมควร

เมื่อก่อนก็คิดว่าทำไมคนที่เราเห็นว่าเขาทำชั่ว แล้วเขายังลอยนวลอยู่จนทุกวันนี้
แล้วกฏหมายบ้านเมืองก็ไม่ได้ลงโทษอะไรเขาเลย ตอนนี้รู้แล้วครับ.......

กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปฏิสาระนา.


...........เมื่อรัก กลับกลายเป็นแค้น เจ็บนี้แอบแฝง ทิ่มแทงรุนแรงเหลือเกิน
...........ใจเริ่มเสื่อมทรามความชั่วสิ่งใจของคน ที่สุดก็คง จบลงด้วยความร้าวราน
...น้ำเซาะทราย....
เข้มแข็งกับจิตที่สูงที่ดีของตัวเองไว้นะคะ อย่าให้แค่ความรู้สึกที่ฝังแน่นและการกระทำของคนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเรามาทำลายจิตที่กำลังเริ่มมีบารมีสูงสุดคือ"อภัยทาน"ของเราเสื่อมลง ...อดีตจบแล้ว แก้ตัวไม่ได้ แต่แก้ไขได้....อดีตเป็นครูที่ดีเป็นบทเรียนที่ดีของเรา โดยที่เราเป็นอิสระจากมัน คือเห็นแล้วไม่เป็นได้ การลืมเป็นสิ่งที่ทำยาก ความคิดเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดลืมคะ
..แต่จงตั้งหลักกับปัจจุบันว่าเรากำลังดำเนินชีวิตของเราอย่างไร..
คุณต้องพัฒนาศักยภาพในใจของคุณให้แข็งแรงอยู่กับปัจจุบันนะคะ แล้วอดีตจะไม่มีอิทธิพลเหนือเรา การรู้ทัน...การเข้าใจ....การอยู่เหนืออดีต เราต้องมีสติและปัญญานะคะ อดีตได้เกิดขึ้นแล้ว แต่มันก็จบแล้ว คนที่ไม่ยอมให้อดีตจบคือคุณต่างหาก เพราะฉะนั้นคุณต้องฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบัน อยู่แบบคนที่ร่าเริง เบิกบานแจ่มใส แล้วอดีตจะไม่มีอิทธิพลในปัจจุบัน แค่จิตเราสุข สงบร่มเย็น คิดแต่สิ่งที่ดีและไม่ต้องระแวงกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงเราก็จะช่วยตัวเองให้มีความสุขได้คะ อย่ารู้สึกสับสนอย่ารู้สึกตัวเองไม่มีค่า เราทุกคนมีค่าในตัวเองเสมอคะเราเห็นค่าของตัวเองได้โดยไม่ต้องให้ใครมาเห็นค่าเราสุขด้วยความรู้สึกตัวเองได้ไม่ต้องอิงความรู้สึกใคร คิดแค่ว่าที่ผ่านมาอโหสิกรรมให้เขา สำหรับเราไม่เท่าไหร่สบายมากและขอบคุณที่เขาเป็นแค่อุบายพาเราเรียนรู้กลไปสู่ความอิสระทางจิตใจและให้เราค้นพบความเข้มแข็งในตัวเอง.........เอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้นะคะ


........อกหักแค่เรื่องขำ ขำ ไม่เจ็บสักเท่าไหร่ บอกให้เธอรู้ไว้ยังไงไม่ถึงตาย....




สวัสดีครับ กัลยาณมิตรทุกท่าน

...การสงสัยเรื่องการให้ผลของกรรมเป็นการดี...

......... ใครเล่าที่ระลึกได้ว่าได้ทำกรรมใดไว้ในอดีต...นึกไม่ได้ทั้งนั้น กรรมดีและกรรมชั่ว จะมาระลึกรู้กันบ้างก็เมื่อต้องประสบผลของกรรมแล้ว บางคน จึงสงสัยว่านั่นคงเป็นผลของกรรมชั่ว เพราะทำให้เคราะห์ร้าย เดือดเนื้อ ร้อนใจ บางคนจึงสงสัยว่านั่นคงเป็นผลของกรรมดี เพราะทำให้โชคดี มีความสุขกายสบายใจ

กรรมนั้นให้ผลที่ซื่อสัตย์นัก คือย่อมจักเป็นทุกข์ เป็นโทษแก่ผู้กระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น.........ผู้มีสติพึงระวังไม่ทำความไม่ดี ทั้งกาย วาจา ใจ เชื่อกรรมอย่างมีกตัญญูกตเวทีในพระมหากรุณาของพระพุทธองค์เถิด จักเป็นสิริมงคลล้ำเลิศอย่างสูงสุดอันเป็นที่ปรารถนาทั่วกัน กรรมดีทางใจที่ควรพร้อมกัน ทำให้เกิดขึ้น ก็คือความมั่นคงในพระคุณของพระพุทธเจ้า

(บางส่วนจากชีวิตนี้สำคัญนัก โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ฯ)

เจริญในธรรมทุกท่านครับ



ขอบคุณ คุณพ้นน้ำ และท่านอื่นๆ ด้วยน่ะค่ะ ที่ช่วยให้กำลังใจดิฉัน ..
ดิฉันดีใจที่ได้เข้ามาเว็ปธรรมะไทยและนำปัญหาที่ว้าวุ่นใจมาระบายที่นี้ ได้คำตอบของผู้มีจิตกุศลดี จากที่นี้หลายๆ ท่าน ขอบคุณมากๆ ค่ะ


เข้มแข็ง อดทน ยิ้มสู้นะคะ ไม่นานทุกอย่างจะเป็นแค่แผลเป็นที่ให้เราลูบเล่นแค่ยามว่างเมื่อฟ้าหลังฝนผ่านไป อากาศสดใสจะมาเอง มองด้วยสายตาที่บริสุทธิ์แต่อย่ามองผ่านม่านน้ำตาแล้วคุณจะพบสิ่งดีๆที่รอคุณหันมามอง มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังบ้างนะคะอย่าเก็บไว้คนเดียวทุกๆคนที่นี่ เป็นกำลังใจและเพื่อนช่วยคิดได้เสมอคะ


ดีจังค่ะ ที่คุณรู้ตัวว่าได้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องและได้รับผลของการกระทำที่ไม่ถูกต้องนั้น แสดงว่าคุณเป็นคนมีเหตุผลแน่นอน แต่ตอนนี้จิตใจของคุณยังอยู่ในอารมณ์ของความเสียใจ ความคับแค้นใจ ทำให้คุณสับสันไป ทุกอย่างในชีวิตของเราต้องมีการกระทำทั้งนั้น ก็คือ "เหตุ" และต้องมี "ผล" ที่ได้รับมาจากกระทำนั้นเสมอ ไม่ว่าจะกระทำ "เหตุดี" หรือ "เหตุไม่ดี" เพราะสมเด็จพ่อของเราได้ทรงตรัสไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" แน่นอน ส่วนจะได้รับผลช้าหรือเร็ว มากหรือน้อยนั้น อยู่ที่การกระทำกรรมนั้น หนักเบา มากน้อยเพียงใด เราไม่ทราบว่า คนคนหนึ่งก่อนที่จะมาพบกับเรานั้น เคยทำกรรมดี กรรมชั่วในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติมามากน้อยเพียงใด ตัวเราเองในชาติปัจจุบันเรายังอาจจะลืมไปเลยว่าตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบันทำอะไรดี ไม่ดี ไปบ้าง นี่ไม่ต้องพูดถึงฃาติก่อน ๆ ที่ผ่านมาใช่ไหมคะ ฉะนั้น ขณะที่เขามาพบกับเรา อาจจะเป็นช่วงที่เรากำลังได้ผลของกรรมวิบากที่เคยกระทำมาแล้วในอดีตก็เป็นได้ ซึ่งเท่ากับเราได้ใช้ " หนี้กรรมเก่า" ที่เราทำมา หรืออาจเป็น "บททดสอบ" ว่าเราจะผ่านด้านนี้ไปได้หรือไม่ ซึ่งก็คือ การสร้างบารมีของความอดทนอย่างหนึ่ง ส่วน "เขา" กฌกำลังสร้าง"กรรมใหม่ " ที่ไม่ดี ในขณะที่กำลังใช้ "บุญเก่า" พอดี (ที่คุณบอกว่าเขายังมีความสุขอยู่) ขอให้คุณมีพลังใจที่จะสร้างจิตใจให้เข้มแข็ง ด้วยพลังแห่งบุญและความดี แล้วคุณจะพบความจริงของความสุข อย่างที่คุณคาดไม่ถึงทีเดียวค่ะ และวันนั้นเมื่อผลของบุญ - บาป สัมฤทธิ์ผล คุณอาจจะนึกสงสารคนที่คุณนึกอยากจะให้เขาได้รับผลของกรรมอยู่ในขณะนี้ก็เป็นได้ค่ะ เวลานี้ คุณไม่ต้องใส่ใจเลยว่าเขาจะได้รับผลของกรรมจากการกระทำใด ๆ แล้วหรือยัง ขอให้คุณทำใจลืมเขาไปเลย เพราะคิดมา 3 ปี ยาวนานพอแล้ว คุณได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วในการคิดหาวิธีสงบจิต หาวิธีให้ชีวิตมีความสุขในหนทางอันร่มเย็นนี้ ขอแนะนำ ด้วยการแผ่เมตตาให้คนที่ทำร้าย เรา แรก ๆ อาจทำใจได้ยากมาก แต่ขอรับรองว่าถ้าทำเป็นประจำ แล้วจะทำได้ อานิสงค์หรือค่ะ คุณก็จะหลับสบาย หายทุกข์ค่ะ ส่วนการสวดมนต์หรือปฏิบัติธรรมอื่น ๆ คุณคงทำอยู่แล้วนะคะ ขอเป็นกำลังใจ ด้วยคนนะคะ ด้วยจริงใจค่ะ


ขอบคุณ คุณแก้วสิริ และคุณพ้นน้ำ มากค่ะ จริงๆ กรรมมันเกิดที่การกระทำของเรา จะช้าหรือเร็ว อยู่ที่โอกาสจังหวะชีวิตที่จะต้องเจอ .. ดิฉันอ่านที่ท่านทั้งหลายตอบกระทู้ ได้จดจำคำดีๆ ใส่ใจเพื่อย้ำเตือนตัวเอง ...
หากทุกๆ สิ่งดิฉัน ยังเจอกับคำว่า สับสน อีก จะขอมาระบายที่นี้ เพื่อได้ความคิดดีๆ อีกน่ะค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ


 4,123 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย