คือผมเคยทำตัว เสเพลมาแล้ว ช่วงหนึ่งมาอีกช่วงหนึ่งได้บวช หลังบวชก็เปลี่ยนทันที ทั้งสวดมนต์ ตักบาต นั่งสมาธิ ทำบุญทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้แม้แต่เรื่องทางกามก็ไม่อยาก (มีภรรยาแล้วครับ) ในช่วงนี้ผมพูดน้อย คิดดีตลอดเป็นสุขครับ แต่ มันเหมือนปลงชีวิตเกินไปครับ เหมือนซังกะตาย บางที่ก็ไม่ยินดียินร้าย ไม่โกรธ แม้ใครบ่นหรือด่า มองคนว่าเราเป็นธรรมชาติของเขาครับ ตอนนี้เหมือนเราขาดความกะตือรือร้นครับ ไม่อยากได้อยากดีเลยครับ ปลงไปหมดเหมือนทำไปเพื่อรอวันตายจิงๆๆ พูดตลกก็ไม่ได้ก็เพราะเท่ากับพูดเพ้อเจ้อคับ เพราะตอนนี้ถือศีลห้าครับ ถ้าทุกคนเดินตามพระพุธศาสนาหมด โลกจะสดใสไหมครับการหัวเราะคงมีน้อย ชีวิตที่สดชื่นในตอนมีความรักก็หมดไป เพราะไม่คิดเรื่องกาเม ถ้าถือศีลแล้วกามจะไม่คิดโดยอัตโนมัตครับ ตอนนี้ผมถึงขั้น ยุงกัดก็ให้กินเลือดไปจะได้เอาไปดำรงชีพของเค้าต่อไป คิดว่าถ้ายุงกินเลือดเรามากไปก็จะเกิดทุกข์แก่ตัวเองบินไม่ไหว แต่เลือดเราผลิตได้ตลอดถือว่าปลงสังขารครับ แค่ร่างกายภายนอก ตอนนี้ชีวิตหาใคร ตอบไม่ได้ครับ มันพูดลำบากครับและที่ผมพูดไปนี้จะมีใครเข้าใจผมสักกี่คนก็ไม่รู้ คือผมอธิบายมาเป็นคำพูดยากครับ มันอยู่ในจิตใจของผมครับ
บางทีเคยคิดถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ต่อไปเราไปบวชไม่ดีหรือ มาเป็นคาราวาสทำไม
แต่เนื่องจากมีครอบครัวครับ
แต่ถ้าผมทำอย่างนี้ต่อไปก็ไม่ต่างอะไรกันมากกับที่ผมบวชครับครับ แม้แต่กินข้าวผมก็กินแบบพิจารณาตลอดจนไม่รู้สึกว่าไหนอร่อยไหนไม่อร่อย ถ้าผ่านลิ้นไปแล้วไม่มีอะไรอร่อยเลยครับ ทีก่อนอันนี้ก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย มันเปลี่ยนไปครับ ผมจะทำตัวอย่างไรดีครับ ช่วยชี้ทางสว่างให้ผมบ้างครับ ผงเข้าตาครับ (อยากได้สายกลางครับ) เจริญในธรรมครับ สาธุ
โดย : k [124.120.52.11] 28 พ.ค. 2551 12:17 น.
มรรค (ภาษาสันสกฤต : มรฺค; ภาษาบาลี : มคฺค) คือ หนทางถึงความดับทุกข์ เป็นส่วนหนึ่งของอริยสัจ (เรียกว่า มัคคสัจจ์ หรือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ) และนับเป็นหลักธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยหนทาง 8 ประการด้วยกัน เรียกว่า "มรรคมีองค์แปด" หรือ "มรรคแปด" (อัฏฐังคิกมรรค) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ
3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ
4. สัมมากัมมันตะ คือ ทำการงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพชอบ
6. สัมมาวายามะ คือ เพียรชอบ
7. สัมมาสติ คือ ระลึกชอบ
8. สัมมาสมาธิ คือ ตั้งใจชอบ
อริยมรรคมีองค์แปด เป็นปฏิปทาสายกลาง(ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่าง) ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
มรรคมีองค์แปด สามารถจัดเป็นหมวดหมู่ได้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา
* ข้อ3-4-5 เป็น ศีล (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)
* ข้อ6-7-8 เป็น สมาธิ (สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ)
* ข้อ1-2 เป็น ปัญญา (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ)
สรุป...ยึดถือการทำความดีตามบัญญัตินี้จ้า...อะ อะ อะ อะ
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พอทราบครับ ผมไม่ได้ปวดหัว เอายาแก้ปวดหัว มาทำไม ผมนอนไม่หลับครับอยากจะให้ชี้แนะหน่อยครับ แต่ต้องถึงขั้นก่อนไม่งั้นเข้าใจยากครับ
ผมจะทำตัวอย่างไรดีครับ ช่วยชี้ทางสว่างให้ผมบ้างครับ ผงเข้าตาครับ (อยากได้สายกลางครับ) เจริญในธรรมครับ สาธุ
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พอทราบครับ ผมไม่ได้ปวดหัว เอายาแก้ปวดหัว มาทำไม ผมนอนไม่หลับครับอยากจะให้ชี้แนะหน่อยครับ แต่ต้องถึงขั้นก่อนไม่งั้นเข้าใจยากครับ
k - 124.120.52.11 [28 พ.ค. 2551 13:26 น.] คำตอบที่ 2
เวรกรรมๆ.....ยังไม่รู้จักตัวเองสักนิดเลย...แล้วจะแนนำได้ไง
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พอทราบครับ แปลว่า ยังไม่ทราบ
ฉะนั้น ควรไปเริ่มที่รักษาศีลห้ามาใหม่ก่อนละกัน...อะ อะ อะ อะ
รักษาอยู่ครับศ๊ล 5 แต่ยังไม่เข้าใจอีกละ อะ เจริญธรรมครับ หาสายกลางไม่เจอครับ ตอนนี้ เล่นซอด้วงครับ
หาสายกลางไม่เจอครับ ตอนนี้ เล่นซอด้วงครับ
k - 124.120.52.11 [28 พ.ค. 2551 16:53 น.] คำตอบที่ 4
ทางสายกลางของซอด้วงอยู่ที่นิ้วจ้า...อะ อะ อะ อะ
ถ้ายังหาไม่เจออีก แสดงว่าไร้วาสนา....กรรมเก่ายังไม่บรรเทาลง
ควรจะสีซอไปสักพักนึงก่อน...อีกซักระยะหนึ่งคงจะเจอทางสายกลาง...อะ อะ อะ อะ
คุณ k - 124.120.52.11 [28 พ.ค. 2551 16:53 น.] คำตอบที่ 4
เอาอย่างนี้ดีกว่านะครับ ผมขอแนะนำให้คุณ k ลองทำดังต่อไปนี้
1. ลองอดอาหารทุกอย่างที่คนเขากินกันซัก 3 มี้อ แล้วลองให้เมียทอดปลา หรือน่องไก่เอาให้หอมสุดๆ แล้วเอามาวางไว้ต่อหน้าคุณ ที่คุณต้องทำคือนั่งจ้องมันอย่างเดียว อย่าขยับเคลื่อนไหว ถ้าทำได้นานเกิน 5 นาที แสดงว่าคุณเยี่ยม
2. ให้เพื่อนหรือใครก็ได้ไปหาแผ่น DVD หนัง ญี่ปุ่น เอาเรด R หรือ เฉ๊ยด X เลยก็ได้ พร้อมกับหาเด็กสาวๆหน้าตาดีๆแบบนางเอกหนังเกาหลี มาด้วย 1 คน ให้มานั่งดูเป็นเพื่อนคุณ 2 ต่อ 2 (อย่าให้เมียคุณรู้เป็นอันขาด) ถ้าคุณทนนั่งดูกับเด็กได้นานจนจบเรื่อง โดยไม่ทำอะไรเด็กเลย แสดงว่าคุณยอด ข้าน้อยขอคารวะ
แต่ถ้าคุณทำอะไรๆลงไปแบบที่ผู้ชายคนอื่นๆเขาทำกัน ก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ เพราะคุณคือปุถุชนคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ป่วยไข้แต่อย่างใด ฮ่า ฮ่า !
คือคุณมีบุญกุศลมาสูง เป็นนิมิตของผู้มีบุญ มองเห็นความทุกข์ของโลกในขณะที่คนอื่นวิ่งลงสู่วังวนที่เค้าต้องใช้กรรมต่อไปไม่จบไม่สิ้น ลองสวดมนต์คาถาพระอาการวัตสูตรและอาราธนาพระปริตร ที่ต้องแนะนำอย่างนี้เพราะการบูชาผู้ควรบูชา จะให้ผลบังเกิดการตัดสินใจถูกต้องน่ะ ยินดีในกุศลด้วยน่ะ เราก็อยากบวชเหมือนกัน เราไม่มีครอบครัวแต่ยังไม่กล้าพอ คิดว่าคุณคงมีบุญเยอะมากทีเดียว ปล.คาถาพระอาการวัตสูตร
http://www.84000.org/anisong/33.html
สาธุ ที่ท่านมีอุปนิสัยที่ดีนะครับ
เห็นธรรม คือ เห็นอริยสัจ 4 ประการ
ถึงธรรม(เป็นที่ดับทุกข์) ก็จะเป็นตามลำดับนะครับ ตามส่วนแห่งกำลังสติ สมาธิ ปัญญา
** ลองศึกษาให้มากยิ่งขึ้น และปฏิบัติตามหลัก สติปัฏฐาน 4 ครับ
ควรศึกษาเรื่อง นิวรณ์ ขันธ์ 5 และปฏิจจะสมุปปบาท
** ที่ได้สำรวจตนเองดีแล้วครับ ดีมากๆ
ช่วงนี้ก็ต้องสั่งสมการเรียนรู้ การสดับตรับฟัง ให้มากๆ นะครับ ศึกษาพระไตรปิฏกก็ดีครับ
กระผมสวดมนต์ทุกวัน เริ่มตั้งแต่พิจราณาสังขาร ไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป และพิจรณารูปรักภายนอกไม่มีอะไรเป็นของเราเลย มี แต่ธาตุต่างๆๆที่มารวมตัวกันแล้วก็มาตั้งอยู่ สักวันต้องหายไป เสื่อมไปแน่นอน ถึงคุณลองดูผมดูมาหมดแล้วครับที่คุณพูดนะ แม้แต่ดาราว่าสวยๆๆมาแก้ผ้า ผมยังมองว่าถลกหนังออกไปจะเหลืออะไร มีแต่น้ำเลือดน้ำหนองทั้งนั้น มีแต่เมือก เหมือนเมือกปลาคาวน่าขยะแขยง ถึงคุณ d อย่าว่าแต่พระอาการวัตสูตรและอาราธนาพระปริตร เลยผมสวดถึงกับจักวานใหญ่ น้อย ธรรมจักรสวดหมดครับ ชินบัญชร ชุมนุมเทวดา มังคลสูตร รตนสูตร กรณียเมตตสูตร ขันธปริตร โมรปริตร วัฏฏกปริตร ธชัคคสูตร อาฏานาฏิยปริตร อังคุลิมาลปริตร โพชฌังคปริตร อภยปริตร ชัยปริตร อิติปิโส พาหุง และอีกมากครับ
ถึงคุณตามมาครับ ขันธ์ ทั้งห้าผมก็พิจารณามาแล้วครับ เลยเป็นอย่างที่ผมบอกไงครับ ปลงไปหมดทำไงดี เงินทอง เคยอยากได้มากๆๆแต่เดี๋ยวนี้ ขออย่าให้ลูกกับเมียลำบากก็พอครับ โปรดชี้แนะครับ ผมหาทางออกไม่เจออยู่ในวังวนของจริยธรรมครับ ทำไงครับ วันไหนไม่ได้ใส่บาตเหมือนเราทิ้งภาระอะไรบางอย่างครับ ทุกวันนี้ต้องตื่น ตี 5 ครับมาหุงข้าว ทำกับข้าว ใส่บาต จนความตะหนี่หายไปหมด เก็บเงินไม่อยู่ให้ทานบ่อยครับ อย่าถึงกับพระเวศสันดรเลย เจริญในธรรมครับ สาธุ
คุณ k ครับ
อาการอย่างนี้ ผมก็เคยเป็นครับ
จะขอเล่าอย่างย่อๆให้ฟัง เมื่อประมาณสามสิบปีมาแล้ว ผมปฏิบัติสมาธิล้วนๆ หลวงลุงสอนให้ทำ จนจิตดิ่งลงสู่อัปนาสมาธิ ในตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่า สมาธิแต่ละขั้นนั้นเรียกว่าอะไร ตั้งใจมุ่งมั่นปฏิบัติอย่างเดียว คนกำลังหนุ่ม จิตก็รวดเร็วมาก คืนหนึ่งๆจะเปลี่ยนอาการที่จิตพบอย่างใหม่ทุกคืน มารู้ทีหลังจากการอ่านประวัติของหลวงปู่ต่างๆ จึงทราบว่าจิตขั้นนั้นเรียกว่าอัปนาสมาธิ เป็นสมาธิขั้นลึกที่สุด จากนั้นมาเกิดฌานขึ้นหลายอย่าง เช่น ต่อให้คนทั้งโลกมายืนด่าเรา ด่าพ่อ แม่เรา เราก็จะไม่รับรู้คำด่าเหล่านั้นเลย เหมือนกับลมพัดผ่านหูไปเฉยๆ เข้าไปเที่ยวในบาร์กับเพื่อนๆ เห็นคนที่ลีลาศเต้นรำกันบนฟลอร์ เห็นเป็นโครงกระดูกเต้นกันหย็องแหย็งๆ นึกว่าเราคงดูผิด เอามือขยี้ตา กะพริบตาก็แล้ว มองไปทีไร เห็นเป็นโครงกระดูกเต้นหย็องแหย็งๆอยู่อย่างนั้น สักพักใหญ่ๆ ภาพต่างๆจึงกลับมาเห็นเหมือนเดิม การกินข้าวในระยะนั้น ไม่รับรู้รส เพียงคิดว่ากินเพื่อมีชีวิตอยู่ หวังการปฏิบัติให้สำเร็จเท่านั้น เบื่อไปหมด วางเฉยไปหมด มองอะไรก็ไม่เที่ยงไปหมด จนคิดว่า "เอ....ถ้าเราบวช เราคงจะบรรลุธรรมอย่างรวดเร็วแน่นอน....." แน่ะ...ความคิด คิดแล้วไม่คิดเปล่า ลาออกจากงานเลย....เตรียมตัวบวช...วันไปบวช ไม่บอกใครมาก บอกเมีย บอกแม่ บอกพี่สาว พี่ชาย ไม่มีการจัดงานใดๆ ไปร่วมบวชกับนาคคนอื่นๆ เพื่อไม่ให้ยุ่งยากในการนิมนต์พระ จิตกำหนดแต่พุทโธ อยู่ตลอดเวลา
.....ทีนี้ เมื่อบวชแล้ว...เอาละซี กิเลสเล่นงานเอาแบบเรารู้ไม่ทันเลยละ ครูบาอาจารย์ก็ไม่มีที่จะปรึกษา คิดว่าตัวเองปฏิบัติเอาเองก็ได้ ของง่ายๆ...ที่ว่ากิเลสเล่นงานน่ะ จิตที่เคยรวมลง มันไม่ยอมรวมเอาเสียเลย แค่เปลี่ยนจากกางเกงมาห่มผ้าเหลือง จิตก็ไม่รวมเสียเลย ไม่ว่าจะพุทโธ บทสวดทั้งหลาย วิธีการต่างๆ ที่เคยใช้ได้ผล กลับหมดความหมาย กิเลสมันบอกว่า คุณทำบุญสร้างกุศลมาน้อยไป อยู่ในผ้าเหลืองมันสร้างกุศลทำบุญใส่บาตรไม่ได้ ให้คุณสึกออกไปสะสมสร้างน้ำทำบุญมาให้พอเสียก่อนแล้วค่อยมาบวช โอยยยย...คุณเอ๋ย..ทีนี้กิเลสมันตี มันสับเรา มันเอาเราต้มยำทำแกงเสียจน......ผลสุดท้ายเลยต้องสึก
....นี่แหละ เพราะการที่ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องคอยแนะนำ
คุณ k ครับ สภาวะจิตของคุณในขณะนี้ ยากที่คนทั่วไปจะแนะนำได้ เพราะสภาวะจิตกำลังเข้าสู่องค์สมาธิอย่างแนบแน่น ใครจะว่าอะไร คำพูดเหล่านั้นมันจะไม่เข้าสู่จิตของคุณได้ เพราะจิตมันมีกำลังเข้มแข็ง นอกจากจิตของผู้ที่ปฏิบัติธรรมที่เหนือกว่าคุณเท่านั้น ดังนั้นขออนุญาตแนะนำครูบาอาจารย์ฝ่ายปฏิบัติสักสององค์ คุณ k สะดวกไปทางไหน ก็ตัดสินใจเลือกเอาก็แล้วกัน ท่านแก้ให้คุณได้แน่นอน เหมือนกับที่เคยแก้ให้ผมมาแล้ว
1. หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ วัดป่าบ้านค้อ ต.เขือน้ำ อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี
2. หลวงพ่อทวี จิตฺตคุตฺโต วัดป่าอรัญญวิเวก หมู่ 5 บ้านป่าลัน ต.ปงน้อย อ.ดอยหลวง จ. เชียงราย
ถ้าไปไม่ถูกอย่างไร ต้องการความช่วยเหลือ กรุณาติดต่อที่
bansha@truemail.co.th
สวัสดีครับคุณ K
ในความเห็นของผม ทางสายกลางของคุณ K คือ ความปกติพอดีของใจ ธรรมแท้ ๆ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความถูก ผิด ดี ชั่ว คือความเป็นกลาง ๆ เท่านั้น ลองหาธรรมที่เหมาะกับตัวเอง ในเมื่อคุณ K ก็รักษาศีลห้า (เบญจศีล) อยู่แล้ว ลองเอาเบญจธรรม คือ ๑ เมตตากรุณา ๒ สัมมาอาชีวะ ๓ กามสังวร - สำรวมระวังในกามารมณ์ รู้จักยับยั้งชั่งใจ หรือ สทารสันโดษ พอใจในคู่ครองของตนเท่านั้น ๔ สัจจะ ๕ สติ สัมปชัญญะ
หรือ หลักธรรมสำหรับส่งเสริมการใช้ชีวิตแบบผู้ครองเรือน ที่เรียกว่า ฆราวาสธรรม คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ หรือธรรมว่าด้วยความสุขของผู้ครองเรือนที่เรียกว่า "กามโภคีสุข" คือ ๑ สุขจากการมีทรัพย์ ๒ สุขจากการใช้จ่ายทรัพย์ ๓ สุขจากการไม่เป็นหนี้ ๔ สุขจากความประพฤติไม่มีโทษ
แหม มาสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำซะแล้ว พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนทิ้งโลก แต่สอนให้คนอยู่กับโลก แต่ไม่ยึดติดโลกต่างหาก คนที่ยึดถือกามอย่างพอดีย่อมเป็นผู้ฉลาดใช้ชีวิต แม้ยังไม่หลุดพ้น แต่ก็ยังอยู่ในทางสายกลาง คุณ K ขณะนี้ใช้ชีวิตเป็นผู้ครองเรือนอยู่ แต่ก็สามารถขัดเกลาตนเอง สามารถปฏิบัติธรรมได้แม้ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ก็มีปรากฎตั้งแต่สมัยพุทธกาล ครับ...ลองค้นหาทางสายกลางของตัวเองให้เจอ ขอเป็นกำลังใจให้
เจริญในธรรมครับ
ถ้ายังต้องวางตัวแบบนี้แบบนั้น ท่านั้นท่านนี้ ยังงั้นยังงี้ แสดงว่า ยังเข้าไม่ถึงธรรม เพราะผู้เข้าถึงธรรมท่านไม่ต้องวางตัว ท่านก็อยู่ของท่านตามปกติที่มนุษย์พึงอยู่กันนี่แหละ
แต่อ่านๆ ดูแล้ว เหมือน จขกท. รู้ดีกว่าคนตอบอีกนะ แต่ตั้งกระทู้มาเพื่อฟังความเห็นของแต่ละท่านๆ ฮิฮิฮิ
ขอขอบคุณทิพย์อักษร มากครับที่เข้าใจ นึกว่าเข้าใจอยู่คนเดียว ตอนนี้ผมกำลังสับสนว่าถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ต่อไป ธรรมที่เราทำนี้ จะทำให้เราปล่อยวางไปซะหมดครับ ปัญหามันอยู่ที่ว่า จะเบาในการปฏิบัตธรรมดี หรือจะทำไปเรื่อยๆๆถ้าถามตัวเองว่าอย่างไหนมีความสุขก็ทำสิ่งนั้นซิ ตอบว่า ธรรมช่วยให้สุขใจข้างเคียงสบายกายเพราะงดอบายมุขหมด ถ้าใช้ชีวิตเหมือนก่อน อยากกินอาหารญี่ปุ่นสุดอร่อยก็อร่อยจนต้องกินอีก(ยึดติดมันเองปรุงแต่งว่ามันอร่อย)ดื่มเหล้านอกราคาแพงๆๆเกิดมาทั้งทีกินให้รู้ไป เที่ยวผู้หญิงสวยๆๆเลือกมาถ้าอยากเปลี่ยนรูปรส ล้วนแต่ผิดศีลแต่มีความสุขในจุดหนึ่งพูดสนุกเฮฮากับเพื่อนๆๆอำกันบ้างโกหกกันบ้างสนุกดีเหมือนกัน มีงานสังสรรคล้มหมูกินกันอร่อยครับ แต่ถ้าใจเรามาทางธรรมแล้ว ที่พูดมามันหายไปหมด หายไปเองอัตโนมัติไม่รู้ทำไง กลายเป็นการวางเฉยไปซะหมด แม้แต่เมียลูกเรา ก็คิดว่าเป็นเพื่อนร่วมโลก แต่ร่วมกันที่มีความผูกพันมากกว่าคนอื่น เท่านั้นเอง ไม่คิดว่าเป็นพ่อเค้า คิดว่าเรามีบุญร่วมกันที่เกิดมาแล้วเจอกัน ผมสุขใจที่ได้เกิดมาใกล้ชิดกัน(พูดกับลูก)ชาติหน้าเราอาจเกิดมาเป็นลูกเค้าก็ได้ ถ้าเราทำกรรมใว้ในชาตินี้
ขอบคุณนิ้งหน่อง
ขณะนี้ใช้ชีวิตเป็นผู้ครองเรือนอยู่ แต่ก็สามารถขัดเกลาตนเอง สามารถปฏิบัติธรรมได้แม้ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ก็มีปรากฎตั้งแต่สมัยพุทธกาล ครับ...ลองค้นหาทางสายกลางของตัวเองให้เจอ ขอเป็นกำลังใจให้ ของคุณนิ้งหน่องก็ถูกแต่ผมเลยอย่างนั้นแล้วครับ
ปัญหาถ้าบรรลุธรรมคนข้างหลังผมละครับพ่อแม่พี่น้อง ถ้าผมบวชก็จบ แต่เราอยากเป็นคนปกติแต่ไม่ทิ้งธรรมมะครับ ให้รักษาศีลห้าก็ทำครับ ให้ตักบาตก็ทำครับ หวังจะนิพพาน หวังจะพบศาสนาพระสิอานด์ก็ เลยเป็นอย่างที่บอกครับ ความอยากได้อยากดีหายหมดครับ นั่งรู้ ตื่น เบิกบาน อยู่คนเดียว แต่ถ้าไม่เข้มงวดเรื่องศีลมากก็คงจะดี แต่ความรู้สึกมันบอกมาเองอัตโนมัติครับ ว่าเห้ยเราทำไม่ดีแล้วนะเราผิดศีลแล้วนะ ถ้าใครทำอย่างผมเป็นประจำก็จะรู้ครับ ทำจนกลายเป็นนิสัย ผมจะหันหัวเรือไปทางไหนดี เราจะละเว้นความเพียร หรือ เราจะทำต่อ ถ้าละไปสิ่งที่เก็บกดใว้คงจะระเบิดจนรับไม่ทันตอนนี้สุขของเราแต่คนรอบข้างละ ผมก็คงบอกได้ว่า อย่ายึดติดอะไรมากเกินไปทุกอย่างครับ
ธรรมมะสอนให้คนที่ทำชั่วมาก กลายเป็นคนชั่วน้อยลง ชั่วน้อยกลายเป็นละเว้นความชั่วทั้งปวง ผ้าขาวต้องใส่สีครับ สีดำกับขาวก็สวยได้ครับ จริงไหมครับ ท่านผู้รู้ เจริญในธรรมครับ
ถึงคุณชิน คุณถามตัวเองยังครับว่าทำทานมากขนาดไหน ผมตั้งกะทู้เพื่อแลกเปลี่ยนกันเป็นธรรมทานครับ นี่ก็ถือว่าให้ทานสำหรับคนอ่านครับ พอท่านปฏิบัติถึงอย่างนี้แล้วท่านจะนึกถึงผมครับ ขอบคุณครับ
คุณพี่เคครับ
เพาะบ่มมันไปเรื่อย อย่าหยุดนะครับ มะม่วงถึงคราวสุกมันสุกของมันเอง
กาลเวลาทำให้เราเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าในทางปฏิบัติ ดีใจมากเลยที่พบคนที่ปฏิบัติอย่างจริงๆ
ผู้ปฏิบัติได้แบบคุณเค หายากมากในปัจจุบัน
กระผมกำลังจะตั้งกระทู้ใหม่ เป็นการปฏิบัติที่กระผมพบในขณะที่ปฏิบัติ ขอเวลาอีก
สักนิด ตอนนี้งานยังยุ่งอยู่ครับ อีกไม่นานเกินรอครับ
บางทีคุณพี่อาจจะมีอะไรดีๆแนะนำกระผมด้วยก็ได้นะครับ
น้องโอปอ
คุณโอปอ ผมขอเวลาทำงานก่อนครับ เดี๋ยวคุยกันครับ ขอบคุณครับ
ขออนุญาติทุกคน ตอน เย็นพบกันครับ ใครว่างชี้แนะล่วงหน้าไปก่อนครับ
ตอบคุณ k คห. 15 ผมไม่ได้ตำหนิคุณนะครับ ชมชมว่าคุณรู้เรื่องต่างๆดีกว่าผมซึ่งเป็นหนึ่งผู้ตอบเสียอีก คือรู้อะไรต่างๆมากดูจากข้อเขียน ดังที่ คห. 12 ผมว่า การรู้ธรรมแล้วยังหาที่ลงตัววางตัวไม่ได้ ยังไม่เข้าไม่ถึงธรรม ยืนยันว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเรายังต้องจับต้องถืออยู่ คือไม่มีที่วาง ฝากข้อคิดไว้เฉยๆครับ
ที่ถามว่า ทำทานมามากขนาดไหน ผมทำเท่าที่มีโอกาสครับ เลือกให้ผู้ที่ควรให้ครับ
ทานเมื่อจัดลำดับแล้วอยู่ลำต้น เช่นที่จัดไว้แบบหนึ่งดังนี้ครับ ทาน ศีล ภาวนา
คุณ K ครับ
ที่คุณประสพอยู่ขณะนี้ เรียกว่า เป็นสภาวะธรรมขั้นหนึ่งครับ เหมือนกับนิพพิทาญาณ
คือมีความเบื่อหน่าย แต่ยังตัดไปเพื่อพรหมจรรย์ไม่ได้ เพราะยังมีปฏิฆะสัญญา
จึงยังไม่ถึงขั้น "นิพพิทาญาณ" ครับ
ผู้ที่เริ่มได้ฌาน(สมาธิ) สัปยุติด้วยการกำหนดรู้ด้วยทุกข์ มักจะเกิดสภาวะเช่นนี้ครับ
ถ้าหากจะกล่าว บรรลุธรรม ก็กล่าวได้ครับ แต่เป็นการบรรลุในฌานระดับหนึ่ง
อย่างที่กล่าวข้างต้นนั้นหละครับ เป็นการบรรลุสภาวะธรรมหนึ่งเท่านั้น นี่เป็นเพียงการ
เริ่มต้นในการบรรลุขั้นต่อไปถ้าได้ปฏิบัติธรรมได้ถูกต้องครับ
เรียกว่า เป็นของ(สภาวะ)ใหม่ครับ เมื่อไม่รู้จักสภาวะใหม่ๆเช่นนี้ ความรู้สึก(กิเลส)
ที่ตามมาคือ วิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัย) อุทุจจะกุจจะ(ความฟุ่งซ่าน)
ความขัดเคือง(ปฏิฆะ-ความโกรธ) กามราคะ(ความอยากที่จะได้สภาวะนั้น-นี้)
ส่วนที่คุณนอนไม่หลับ นั้นเป็น"กุศลวิบาก"(ผล) ของการปฏิบัติครับ เรียกว่า
มีสติตื่นตัวจากการได้ฌาน(สมาธิ) ถ้าไม่ดำรงรักษา(ทรงฌาน)ไว้ต่อเนื่อง
มันจะค่อยๆเสื่อมไปเองครับ ซึ่งคนส่วนใหญ่ ถ้าไม่รู้จัก ก็จะเป็นเช่นนี้แหละครับ
คือไม่รู้จักรักษา
(เช่นนักบวชที่ได้สภาวะนี้ หรือระดับปราณีตมากกว่านี้ ใหม่ๆจะดูมีความน่าเลื่อมใส
น่าศรัทธา รักษากาย วาจา ใจได้ แต่นานๆไป ไม่มีความเพียรในการรักษาฌาน และหมั่นฝึกฝน และศึกษาธรรม.. ถูกนิวรณ์กิเลส และอวิชชาที่ยังตัดไม่ได้ครอบงำ
...ภายหลังก็เสื่อม สึกไปใช้ชีวิตปุถุชนผู้เสพนิยมในกามไปก็มากครับ)
ซึ่งความแนบแน่นของฌานแต่ละขั้น(ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตฌาน)ก็มี
ความละเอียดปราณีตแตกต่างกันครับ ขึ้นอยู่กับความเพียร บุญที่เคยสั่งสม อัน
ประกอบด้วยปัญญาของแต่ละคน..
ที่คุณ K กล่าวว่า จะเดินสายกลางนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า
"มรรคมีองค์๘" ครับคือสายกลาง
อย่าได้เข้าใจผิดว่า การมีความคิด(ปัญญาที่ได้จากสภาวะการบรรลุ)และ มีแนวการ
ปฏิบัติชีวิตประจำวัน ที่ผิดแผกแตกต่างกับคนทั่วไปๆ(ปุถุชน) นั้น ไม่ใช่สายกลาง... เป็นการเข้าใจผิดครับ..เพราะปุถุชนคนทั่วไปนั้นแหละครับที่ใช้ชีวิตวิปลาส(ไม่ปกติ)
เช่น การเห็นทุกข์ว่าเป็นของน่ารัก น่าใคร่ น่าปรารถนา
การเห็นขันธ์ ว่าเป็นตัวตน แล้วเข้าไปยึดถือมั่น แล้วเกิดอุปาทานขันธ์๕ อันเป็นทุกข์
การไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ ว่ามาจากตัณหา เมื่อไม่เห็นว่ามาจากตัณหา ก็จึงไม่"ละ"ตัณหา
การไม่รู้ว่าความดับแห่งตัณหานั้นเป็นอย่างไร จึงไม่กระทำให้แจ้ง
การไม่รู้ว่าหนทางแห่งการดับทุกข์(มรรค)นั้นมีอย่างไร ปฏิบัติเจริญอย่างไร
นี่หละครับ..
ดังนั้น หนทางเดียวคือ.. การกำหนดรู้ทุกข์
การละตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์
การความเข้าใจให้แจ่มแจ้งในการดับทุกข์
การเจริญให้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์แห่งมรรค(มีองค์๘)ครับ
เหล่านี้คือ "อริยสัจ๔"ครับ
ขออนุโมทนาในการบรรลุครั้งนี้ครับ และขอให้ปฏิบัติธรรมโดยมี
เข็มทิศคือพระไตรปิฎกเป็นแนวทางเดินได้ถูกต้อง
ไม่หลงเข้าพงเข้าป่า(สัทธรรมปฏิรูป-ของปลอมปน)ที่ขณะนี้มีอยู่มากเหลือเกินครับ
จำเริญธรรมในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ
ลองมองภาพนี้ครับ ดูซิว่าพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นหรือว่าพระอาทิตย์กำลังจะตก
ถ้าคิดว่าพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นก็คือกำลังขึ้น ถ้าคิดว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกก็กำลังจะตกครับ แต่คนถ่ายภาพเขารู้ดีครับว่าตอนนี้พระอาทิตย์กำลังขึ้นหรือกำลังตก
เดี๋ยวภาพตามมาครับ
คุณ k คะ ก่อนอื่นขออนุโมทนาด้วย ที่คุณมีระดับจิตไปถึงขนาดนั้นแล้ว คุณมีบุญนะที่เจอและรู้เห็นอะไรได้ขนาดนี้กับกองทุกข์ที่ทุกคนอยากพ้นหรือบางคนอาจจะยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แต่ในฐานะคนครองเรือนอยากแนะนำให้คุณมองอีกมุมและเปลี่ยนหรือเพิ่มความรู้สึกเล็กๆอันนี้เข้าไปบ้างแล้วจะทราบว่าถึงทุกคนเดินตามรอยพุทธบาทโลกก็สดใสได้และเสียงความหัวเราะบวกรอยยิ้มงามๆในดวงตาที่สงบแต่อบอุ่นแววตาที่มีแต่แสงเมตตาน้ำเสียงวาจาที่มีแต่ความนุ่มนวลไม่ได้น้อยลงเลย มองและดูทุกอย่างอย่างมีสติแต่ทบทวนและพิจจารณาในแง่ดีบ้าง ทำหน้าที่ๆมีด้วยใจที่เปี่ยมด้วยการให้และเมตตา มองการเจริญเติบโตของสรรพสิ่งและคนรอบข้างด้วยใจที่อยากอยู่ค้ำชูเป็นกำลังใจเคียงข้างแม้ต้องอยู่ห่างๆหรือใกล้ชิดหรือกับคนที่ไม่รู้จักเลย พระสงฆ์บวชก็ใช่แต่จะนั่งสวดมนต์ยังมีกิจต่างๆรวมถึงการเทศย์สอนให้กำลังใจทางสว่างสาธุชน บางครั้งการสงบรู้แจ้งเข้าถึงธรรมหรือการพิจจารณาอะไรต่างๆก็ออกมาในรูปแบบมีรอยยิ้มในตัวเอง มีมุมมองแบบเอ็นดูกับสิ่งรอบข้างได้นี่คะ เหมือนเราดูหนังทราบอยู่แล้วจบยังไงแต่เราก็ควรจะดูระหว่างเรื่องด้วยมีรายละเอียดเล็กๆในเรื่องอะไรบ้างหรือแม้แต่พิจจารณาความรู้สึกผู้กำกับ คนเขียน ฉาก ภาษาพูด หรือแม้แต่สปอนต์เซอร์ที่สนับสนุนยังบอกอะไรเราได้ตั้งเยอะกับรายละเอียดหนังเรื่องนี้ที่เราก็รู้ๆอยู่แล้วว่าจบแบบไหนยังไง การค้นพบคือ ความเป็นจริง ที่ดำรงอยู่ การคิดค้นนั้นจำเป็นผ่านกระบวนการสร้างสรรค์คะ
บางครั้งการสงบรู้แจ้งเข้าถึงธรรมหรือการพิจจารณาอะไรต่างๆก็ออกมาในรูปแบบมีรอยยิ้มในตัวเอง มีมุมมองแบบเอ็นดูกับสิ่งรอบข้างได้นี่คะ เหมือนเราดูหนังทราบอยู่แล้วจบยังไงแต่เราก็ควรจะดูระหว่างเรื่องด้วยมีรายละเอียดเล็กๆในเรื่องอะไรบ้างหรือแม้แต่พิจจารณาความรู้สึกผู้กำกับ คนเขียน ฉาก ภาษาพูด หรือแม้แต่สปอนต์เซอร์ที่สนับสนุนยังบอกอะไรเราได้ตั้งเยอะกับรายละเอียดหนังเรื่องนี้ที่เราก็รู้ๆอยู่แล้วว่าจบแบบไหนยังไง การค้นพบคือ ความเป็นจริง ที่ดำรงอยู่ การคิดค้นนั้นจำเป็นผ่านกระบวนการสร้างสรรค์คะ
พ้นน้ำ - 125.27.6.171 [30 พ.ค. 2551 11:54 น.] คำตอบที่ 23
พ้นน้ำ - ก่อนอื่นต้องขอบคุณสำหรับคุณพ้นน้ำ ที่ชี้ช่องมุมมอง หรือการมองมุมต่าง
ผมเคยดูรายการวันอาทิตย์ จำไม่ได้ว่าอาทิตย์ไหน เรื่องการตอบปัญหาทางธรรมมะ ก็จะมีพระมานั่งตอบทุกคนก็ถามกันไปเรื่อย รู้สึกว่าจะเป็นข้าราชการมาสัมนา ก็มีอยู่ คนถามว่า มนุษย์เราเกิด มาทำไม พระก็อ้ำอึ้งไปสักครู่ แล้วตอบว่าน่าสงสารเนาะยังไม่รู้อีกหรือว่ามนุษย์เกิดมาทำไม มานุษก็เกิดมาเพื่อถ้าเป็นผู้หญิงก็เกิดมาเพื่อเป็นแม่ที่ดีของลูก ถ้าเป็นผู้ชายก็เพื่อเป็นสามีที่ดีของภรรยา ขอยกตัวอย่างแค่นี้
ผมมองว่าคำถามง่ายๆ ตอบ ยากจริงๆๆ นั่นเป็นการยกตัวอย่าง บางตัวอย่างมาให้เห็นเป็นรูปธรรมครับ มนุษย์เกิดมาก็ คือ สัตว์ร่วมโลกใบนี้ครับ มองในธรรมชาติไก่ตัวผู้ก็มีขนสวยกว่าตัวเมีย ปลาตัวผู้ก็สวยกว่าตัวเมียเช่นปลากัด ปลาหมอสี วัวกตัวผู้ก็มีเขายาวสวยกว่าตัวเมีย นกยูง ไก่ฟ้าแทบทั้งหมดในโลกครับ การจะเป็นจ่าฝูงได้ ต้องอาศัยการแย่งชิงอำนาจ โดยการต่อสู้ เหมือนกับคนทั่วไป จบไปก่อนนะตรงนี้ สรุปคือมนุษย์แตกต่างจากสัตว์ตรงที่มีโคลงกระดูกสันหลังตั้งตรงและมีความคิดมากกว่าสัตว์ เท่านั้นครับ ทุกอย่างวงจรทุกอย่างเหมือนสัตว์ ปัจจัย4ครับ กิน ถ่าย สืบพันธุ์ นอน มนุษย์เราก็เลย กินอย่างไรให้มีความสุข ก็มีวิธีแตกต่างกันออกไปถ้าตามแบบพระพุทธเจ้าก็ฉันท์ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ถ่ายอย่างไรให้มีความสุขก็ปลดทุกข์ ทุกข์ออกสุขก็ตามมาแทนที่ สืบพันธุ์ ก็มีวิธีแตกต่างกันไป ถ้าตามแบบก็ไม่มากมายหลายคู่เพราะจะทำให้เกิดทุกข์แต่บางประเทศก็มีได้และไม่วุ่นวาย แล้วแต่วิธีของแต่ละชนชาติครับ นอนก็ขอให้หลับดีไม่ฝันร้ายนอนหลับสนิทไม่ใช่หลับๆๆตื่นๆๆก็มีวิธีต่างกันไปอาจหาที่นอนนุ่มๆๆเปิดแอร์ให้เย็นๆๆถ้าตามแบบพระพุทธศาสนาก็สวดมนต์แผ่เมตตานั่งสมาธิหลับสบายเพราะได้พักทั้งกาย ทั้งใจจิตใจไม่กระวนกระวาย การจะทำบุญหรือสวดมนต์ปล่อยวางได้ ปฏิบัติจริงจังได้ผลทางธรรมดีมากครับ แต่ต้องเตรียมตัวมีบุคลิกเปลี่ยนไปดังนี้พูดน้อยกินน้อย นอนน้อย สายตาไม่มองแบบก้าวร้าว คืออย่ามองอะไรจริงจังมากไป สุขุม ลุ่มลึก พูดระวัง เดินระวัง กินระวัง นอนระวัง หายใจก็ต้องระวัง คือ ความไม่ประมาทเทอญสาธุ พอได้นะครับคุณพ้นน้ำ (ระวังนะมีผู้ชี้แนะว่ามีบัวอีกหนึ่งเหล่าที่มีผู้คิดขึ้นมา คือ บัวที่อยู่ในโคลนตมแล้วมีหินทับอีกชั้น)
ตกลงชมหรือตำหนิคะ ไม่เป็นไร จุดมุ่งหมายหรือเจตนาที่แนะนำออกไปก็แค่ชื่นชมคุณที่มีจิตได้ขนาดนั้นแต่ไม่อยากให้ปลงอะไรมากอยากให้เย็นด้วย สงบด้วย สดชื่นด้วยกับสิ่งรอบๆข้าง ส่วนที่ยกตัวอย่างขึ้นมาเพียงแค่อยากให้มองรายละเอียดเล็กๆว่ายังมีอะไรให้น่าสังเกตเล่นๆอีกตั้งเยอะไม่ได้มีเจตนาสั่งสอนหรือโอ้อวด แค่อยากให้คุณอ่านแล้วยิ้มหวานเย็นๆหรือติดตลกก็ได้กับอีกแง่มุมความคิดนึง จริงจังจังเลย ไม่สพอารมณ์ความต้องการกับคำตอบคำแนะนำในจริตแบบนี้ก็ขอโทษคะ ส่วนที่มาของนามถ้าได้เคยอ่านกระทู้ของดิฉันบ้างแล้วจะรู้ความหมายว่าไม่ได้หมายถึงอวดรู้อะไรออกจะพยายามทำให้ได้เหมือนนามด้วยซ้ำ อนาคตอยากจะทำให้ถึงฝั่งด้วยซ้ำไม่ใช่แค่พ้นน้ำ ขอโทษด้วยนะคะไม่เข้ามารบกวนแล้ว ยิ้มหวานๆได้รึยังคะคนจริงจัง
ขออนุโมทนาความเป็นคนจริงในการปฏิบัติธรรมครับ ช่างน่านับถือยิ่งนัก
เห็นด้วยกับคุณทิพย์อักษร ที่ว่าการปฏิบัตฺธรรมต้องอาศัยครูบาอาจารย์ในการดูแลคครับ
ผมเองก็มิบังอาจเป็นผู้ตันสินในสภาวะธรรมของคุณ K ได้ แต่ก็เห็นด้วยว่า
พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนทิ้งโลก แต่สอนให้คนอยู่กับโลก แต่ไม่ยึดติดโลก (โดยคุณนิ้งหน่อง)
ผมก็ขอให้ความเห็นเล็กน้อยว่า ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนถึงซึ่งการรู้แจ้ง เบื่อหน่าย และ ปล่อยวางได้นั้น
ที่ว่า "เบื่อหน่าย" นี้ ผมเห็นว่าไม่ใช่ความเบื่อหน่ายแบบซังกะตาย แต่ที่จริงแล้ว "เบื่อหน่าย" นี้ คือ การเห็นทุกข์เห็นโทษ เห็นแจ้งว่าไม่มีสิ่งใดน่าเอา น่าเป็น เห็นภัยอันเกิดจะเกิดจากการมีการเป็นนั้น ทำให้ความพากเพียรปฏิบัติเกิดตามต่อมาได้เอง โดยรู้แจ้งแก่ใจตนว่าได้ปฏิบัติมาถูกทางแล้ว จะไม่เกิดความลังเลสงสัย หรือ อาลัยอาวรต่อการมีการเป็นในทางโลกียะได้เลย เช่นนี้จึงเป็นสภาวธรรมชั้นสูงครับ
ผมจึงเห็นว่า ที่คุณK มีคำถาม หรือความเห็นต่างๆ เช่นว่า
"แต่ มันเหมือนปลงชีวิตเกินไปครับ เหมือนซังกะตาย บางที่ก็ไม่ยินดียินร้าย ไม่โกรธ แม้ใครบ่นหรือด่า มองคนว่าเราเป็นธรรมชาติของเขาครับ ตอนนี้เหมือนเราขาดความกะตือรือร้นครับ"
"วันไหนไม่ได้ใส่บาตเหมือนเราทิ้งภาระอะไรบางอย่างครับ ทุกวันนี้ต้องตื่น ตี 5 ครับมาหุงข้าว ทำกับข้าว ใส่บาต"
"ตอนนี้ผมกำลังสับสนว่าถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ต่อไป ธรรมที่เราทำนี้ จะทำให้เราปล่อยวางไปซะหมดครับ ปัญหามันอยู่ที่ว่า จะเบาในการปฏิบัตธรรมดี หรือจะทำไปเรื่อยๆๆ"
"ปัญหาถ้าบรรลุธรรมคนข้างหลังผมละครับพ่อแม่พี่น้อง ถ้าผมบวชก็จบ แต่เราอยากเป็นคนปกติแต่ไม่ทิ้งธรรมมะครับ"
เช่นนี้แล้ว คงยังไม่ถึงญาณชั้นสูง คงต้องสอบอารมณ์โดยวิปัสสนาจารย์นะครับ
คือ...ด้วยความไม่เชี่ยวชาญทางพระไตรปิฎกผมจึงไม่ค่อยเข้าใจในความเห็นของคุณ aa1234 นะครับ แต่ก็รู้สึกว่าจะเห็นไปในแนวทางเดียวกันกับผม แต่เป็นการอธิบายตามหลักพระไตรปิฎกใช่ไหมครับ
ผมก็เห็นด้วยกับความเห็นของคุณ aa1234(แต่เห็นได้ไม่ลึกซึ้งเท่าคุณ aa1234)ว่า "เป็นการบรรลุสภาวะธรรมหนึ่งเท่านั้น นี่เป็นเพียงการ เริ่มต้นในการบรรลุขั้นต่อไปถ้าได้ปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง"
และเช่นเดียวกัน ก็ขออนุโมทนาในการบรรลุครั้งนี้ครับ
เรารู้ถึงจุดนี้แล้ว ฉะนั้นต้องให้คนอื่นรู้ด้วยจึงตั้งกะทู้ขึ้นมาครับ ตรงนี้อาจเป็นแค่เริ่มต้นอย่างที่ คุณประทุมวัทบอก ไม่รู้สะกดถูกหรือเปล่า ถ้าไม่ถูกขอโทษครับ
เผื่อคนข้างหลังทำแล้วมาถึงจุดนี้จะได้ตัดสินใจต่อไปได้ ว่าเหตุเป็นเช่นนี้ ส่วนคุณพ้นน้ำผมมิได้คิดอะไร หรือว่าใครดอก เพราะตัวหนังสือที่เขียนมานี้ไม่มีผลทำให้ผมโกรธได้หรอก เป็นแค่อักษรที่คิดค้นกันขึ้นมา เพียงแค่จะสื่อสารกันก็เท่านั้น ผมรู้สึกดีใจสะด้วยซ้ำ ที่ออกมาให้ความเห็นกันในหมู่คณะ ขอขอบคุณมากๆๆด้วยซ้ำ ผมปลงไปแล้วครับสำหรับความโกรธคงไม่มี สบายใจได้ครับ ทุกคนที่เขียน ชี้แนะมานี้ ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลาย คิดอะไรสำหรับใจที่ขาวสะอาดดังดอกบัวนี้ จงส่งผลให้ทุกท่านมีความสุขในชาตินี้และชาติหน้า อย่ามีภัย มาก้ำกายแม้แต่ผิวหนังก็อย่าให้ระคายเคือง ขอบุญนี้จงเป็นกำแพงแก้วป้องกันอันตราย อีกทั้งโรคภัยก็อย่ามี มาให้ทรมาน ถ้าจะขาดสติก็ขอให้ธรรมนี้จงมาเหนี่ยวนำจิตทุกท่าน ทุกคนไปด้วย เทอญ สาธุ
ผมไม่ขอตั้งกะทู้ใหม่นะ ขอตั้งตรงนี้นะว่า เคยไหมเวลาใส่บาต ใส่แล้ว ไม่ต้องรับพรมีความรู้สึกอย่างไร หรือใส่แล้วพระเดินออกไปเฉยๆ ถ้าทุกคนคนฝึกจิตรตรงนี้ได้ จะดีมาก ลองว่าการให้แบบไหน จะรู้สึกอย่างไร แล้วเอามาพิจารณาดูครับ
ขอยกตัวอย่างผมในช่วงแรก ผมก็ตักบาตประจำอยู่ มีวันหนึ่ง ไปหน้าถนนใหญ่ เห็นพระรูปหนึ่งเดินมา ยังหนุ่ม เดินไม่สำรวมเท่าไร แต่ผมจะใส่บาตพระรูปนี้ก็เลยนิมนต์ พอใส่บาตเสร็จก็นั่ง ไม่ได้สบตาหลวงพี่ ลูกตาผมมองลงกับพื้นครับพนมมือ มีเสียงรถวิ่งไปวิ่งมาก็รอพระ เมื่อไหร่จะขึ้นสัพพีคือให้พร พอเงยหน้าขึ้นมา ตกใจหาพระไม่เจอ พระช่วย พระเดินไป 100 เมตรแล้วอายแม่ค้าที่นั่นมาก แล้วก็มาคิด พระปลอมหรือไม่น้อ วัดอะไรหนอ จะมีใครโง่เหมือนเราหนอ มองตามหลังไปไม่เห็นมีใครใส่บาตเลย ตามไปดีไหม ว่าอยู่วัดอะไร จะได้บอกเจ้าอาวาส ว่าพระไม่ได้หนังสือ คิดไปต่างๆๆนาๆๆ จนมานั่งพิจราณา คือ การให้ หรือการใส่บาตนี้เป็นการลดความตะหนี่ ขี้เหนียว การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนนี่แหละ คือ การให้ที่แท้จริง ถ้าใครเจออย่างผม จงอย่าละความเพียร สวรรค์อาจลองใจเราก็ใด้ เพราะช่วงตอนนั้นจะปฏิญาณตนว่าจะไม่ใส่บาตอีกต่อไป ลองตามดูความรู้สึกเราดูได้ครับ 1.ใส่บาตแล้วรับพร 2.ใส่บาตแล้วไม่รับพร ถ้าใจเราคิดว่าการใส่บาตเหมือนกันผมยินดีด้วยครับคุณหลุดพ้นอย่างหนึ่งครับ อยากให้ลองดูแล้วตามความรู้สึกดูครับ ถ้าทำใจไม่ได้ แรกๆๆให้ คิดว่าเราถวายกับพระพุทธเจ้า ถวายกับพระธรรมเจ้า และตัวแทนของพระพุทธเจ้า ต่อไปจิตรของเราจะเกิดความเคยชินไปเองครับ จนกระทั่งไม่ใช่แค่พระครับ อาจ มีคนอดข้าวไม่มีเงิน เราก็จะรีบหามาให้เขาครับ และจิตเราจะสบายโลกสดใสมากครับ มองหน้าพุทธรูป จะเกิดสมาธิเร็วมากครับ จิตสงบปลงได้ครับ ทีก่อนใครมายืมเงินผมจะไม่ให้ ไม่ว่าใคร แต่เดียวนี้ถ้าจะเอาอะไรจากตัวผมให้ได้หมดครับ แต่ต้องให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดนะครับ และต้องสมเหตุสมผลครับ(ถ้าผมมี หรือ ตัวอย่างนี้มีนกแล้งตัวหนึ่งกำลังจะตายเพราะไม่ได้กินอาหารมานานแล้ว ก็ก็ยินดีสระเนื้อส่วนหนึ่งเพื่อรักษาชีวิตหนึ่งได้ครับเจริญในธรรมครับ)เรามีเงินแสนอีกคนมีพันถ้าเดือดร้อนเราก็ควรช่วยกันครับ ทุกอย่างคือสิ่งนอกกายทั้งสิ้น ทุกอย่างมนุษย์ตั้งกฏเกณฑ์กันขึ้นมาทั้งนั้นครับ ลองคิดว่า พระอาทิตย์ขึ้นแล้วทำไมต้องตก ลองมองแบบไม่มีวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้องซิครับ อย่าเชื่อในสิ่งที่เราไม่ได้พิสูจน์ พระอาทิตย์ขึ้นเพื่อสิ่งมีชีวิตครับ พระอาทิตย์ตกก็เพื่อสิ่งมีชีวิตทุกชีวิต สัจธรรมครับ พระอาทิตย์ขึ้นแล้วตกมานาน ไม่เห็นบ่นว้าท้อเลย หรือ วันนี้เหนื่อยไม่ขึ้นแล้ว แต่มนุษย์บ่นได้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไรบ่นได้นอกซะจากมนุษย์เจริญธรรม
การเข้าถึงธรรมแล้ว ควรวางตัว อย่างไร
k - 124.120.55.150
คนเข้าถึงธรรมแล้วไม่ถามคำถามนี้หลอกจ้า...พยายามรอดูความเห็นหลายๆความเห็นของผู้ถาม
จึงจับใจความได้ว่า....สับสนในธรรม เนื่องด้วยมีข้อมูลมากเกินไป เอาทุกอย่างที่ตนเองเห็นว่าดี อย่างละนิดอย่างละหน่อย มาผสมกัน ใช้ปฏิบัติธรรม
ผลที่ได้จึงเป็นในลักษณะที่โพส จับต้นชนปลายไม่ถูก ปัญหานี้ขอแนะนำว่า...
ควรถอยตัวเองมาสักสามก้าว ทบทวนตนเอง นับหนึ่งดูใหม่ ว่าที่รู้มาทั้งหมด
มีเรื่องไหนที่รู้จริง แบบตลอดสาย สักเรื่องไหม...คงเท่านี้จ้า....อะ อะ อะ อะ
ความเห็นนี้...จากบุญที่ผู้ตั้งกระทู้ี่ใส่บาตรพระจ้า....พรพระที่ตามมาที่หลัง...
ต่อไปอย่าบ่นพระนะจ๊ะ...เดี๋ยวจะบาป...อะ อะ อะ อะ
อนุโมทนาในธรรมที่ทุกท่านได้แสดง
ถึงคุณ k ถ้าท่านได้ปฏิบัติจนรู้ถึงระดับหนึ่งแล้วพิจารณาคำตอบที่ยกมานี้อย่างลึกซื้งและตลอดสาย...ท่านจะพบเห็นทางสายกลางด้วยตนเอง ขออนุโมทนา
มรรค (ภาษาสันสกฤต : มรฺค; ภาษาบาลี : มคฺค) คือ หนทางถึงความดับทุกข์ เป็นส่วนหนึ่งของอริยสัจ (เรียกว่า มัคคสัจจ์ หรือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ) และนับเป็นหลักธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยหนทาง 8 ประการด้วยกัน เรียกว่า "มรรคมีองค์แปด" หรือ "มรรคแปด" (อัฏฐังคิกมรรค) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ
3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ
4. สัมมากัมมันตะ คือ ทำการงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพชอบ
6. สัมมาวายามะ คือ เพียรชอบ
7. สัมมาสติ คือ ระลึกชอบ
8. สัมมาสมาธิ คือ ตั้งใจชอบ
อริยมรรคมีองค์แปด เป็นปฏิปทาสายกลาง(ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่าง) ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
มรรคมีองค์แปด สามารถจัดเป็นหมวดหมู่ได้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา
* ข้อ3-4-5 เป็น ศีล (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)
* ข้อ6-7-8 เป็น สมาธิ (สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ)
* ข้อ1-2 เป็น ปัญญา (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ)
สรุป...ยึดถือการทำความดีตามบัญญัตินี้จ้า...อะ อะ อะ อะ
123... - 117.47.165.99 [28 พ.ค. 2551 12:49 น.] คำตอบที่ 1
ธรรมแท้ ๆ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความถูก ผิด ดี ชั่ว คือความเป็นกลาง ๆ เท่านั้น
พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนทิ้งโลก แต่สอนให้คนอยู่กับโลก แต่ไม่ยึดติดโลกต่างหาก
นิ้งหน่อง DT01829 [28 พ.ค. 2551 23:55 น.] คำตอบที่ 11
คุณ K ครับ
ที่คุณประสพอยู่ขณะนี้ เรียกว่า เป็นสภาวะธรรมขั้นหนึ่งครับ เหมือนกับนิพพิทาญาณ
คือมีความเบื่อหน่าย แต่ยังตัดไปเพื่อพรหมจรรย์ไม่ได้ เพราะยังมีปฏิฆะสัญญา
จึงยังไม่ถึงขั้น "นิพพิทาญาณ" ครับ
ผู้ที่เริ่มได้ฌาน(สมาธิ) สัปยุติด้วยการกำหนดรู้ด้วยทุกข์ มักจะเกิดสภาวะเช่นนี้ครับ
ถ้าหากจะกล่าว บรรลุธรรม ก็กล่าวได้ครับ แต่เป็นการบรรลุในฌานระดับหนึ่ง
อย่างที่กล่าวข้างต้นนั้นหละครับ เป็นการบรรลุสภาวะธรรมหนึ่งเท่านั้น นี่เป็นเพียงการ
เริ่มต้นในการบรรลุขั้นต่อไปถ้าได้ปฏิบัติธรรมได้ถูกต้องครับ
เรียกว่า เป็นของ(สภาวะ)ใหม่ครับ เมื่อไม่รู้จักสภาวะใหม่ๆเช่นนี้ ความรู้สึก(กิเลส)
ที่ตามมาคือ วิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัย) อุทุจจะกุจจะ(ความฟุ่งซ่าน)
ความขัดเคือง(ปฏิฆะ-ความโกรธ) กามราคะ(ความอยากที่จะได้สภาวะนั้น-นี้)
ส่วนที่คุณนอนไม่หลับ นั้นเป็น"กุศลวิบาก"(ผล) ของการปฏิบัติครับ เรียกว่า
มีสติตื่นตัวจากการได้ฌาน(สมาธิ) ถ้าไม่ดำรงรักษา(ทรงฌาน)ไว้ต่อเนื่อง
มันจะค่อยๆเสื่อมไปเองครับ ซึ่งคนส่วนใหญ่ ถ้าไม่รู้จัก ก็จะเป็นเช่นนี้แหละครับ
คือไม่รู้จักรักษา
(เช่นนักบวชที่ได้สภาวะนี้ หรือระดับปราณีตมากกว่านี้ ใหม่ๆจะดูมีความน่าเลื่อมใส
น่าศรัทธา รักษากาย วาจา ใจได้ แต่นานๆไป ไม่มีความเพียรในการรักษาฌาน และหมั่นฝึกฝน และศึกษาธรรม.. ถูกนิวรณ์กิเลส และอวิชชาที่ยังตัดไม่ได้ครอบงำ
...ภายหลังก็เสื่อม สึกไปใช้ชีวิตปุถุชนผู้เสพนิยมในกามไปก็มากครับ)
ซึ่งความแนบแน่นของฌานแต่ละขั้น(ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตฌาน)ก็มี
ความละเอียดปราณีตแตกต่างกันครับ ขึ้นอยู่กับความเพียร บุญที่เคยสั่งสม อัน
ประกอบด้วยปัญญาของแต่ละคน..
ที่คุณ K กล่าวว่า จะเดินสายกลางนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า
"มรรคมีองค์๘" ครับคือสายกลาง
อย่าได้เข้าใจผิดว่า การมีความคิด(ปัญญาที่ได้จากสภาวะการบรรลุ)และ มีแนวการ
ปฏิบัติชีวิตประจำวัน ที่ผิดแผกแตกต่างกับคนทั่วไปๆ(ปุถุชน) นั้น ไม่ใช่สายกลาง... เป็นการเข้าใจผิดครับ..เพราะปุถุชนคนทั่วไปนั้นแหละครับที่ใช้ชีวิตวิปลาส(ไม่ปกติ)
เช่น การเห็นทุกข์ว่าเป็นของน่ารัก น่าใคร่ น่าปรารถนา
การเห็นขันธ์ ว่าเป็นตัวตน แล้วเข้าไปยึดถือมั่น แล้วเกิดอุปาทานขันธ์๕ อันเป็นทุกข์
การไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ ว่ามาจากตัณหา เมื่อไม่เห็นว่ามาจากตัณหา ก็จึงไม่"ละ"ตัณหา
การไม่รู้ว่าความดับแห่งตัณหานั้นเป็นอย่างไร จึงไม่กระทำให้แจ้ง
การไม่รู้ว่าหนทางแห่งการดับทุกข์(มรรค)นั้นมีอย่างไร ปฏิบัติเจริญอย่างไร
นี่หละครับ..
ดังนั้น หนทางเดียวคือ.. การกำหนดรู้ทุกข์
การละตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์
การความเข้าใจให้แจ่มแจ้งในการดับทุกข์
การเจริญให้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์แห่งมรรค(มีองค์๘)ครับ
เหล่านี้คือ "อริยสัจ๔"ครับ
ขออนุโมทนาในการบรรลุครั้งนี้ครับ และขอให้ปฏิบัติธรรมโดยมี
เข็มทิศคือพระไตรปิฎกเป็นแนวทางเดินได้ถูกต้อง
ไม่หลงเข้าพงเข้าป่า(สัทธรรมปฏิรูป-ของปลอมปน)ที่ขณะนี้มีอยู่มากเหลือเกินครับ
จำเริญธรรมในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ
aa1234 DT02104 [29 พ.ค. 2551 10:27 น.] คำตอบที่ 19
ทิพย์อักษร DT05630 [28 พ.ค. 2551 20:50 น.] คำตอบที่ 10
ซึ่งขยายความบางส่วนของคุณ aa1234
สภาวธรรมทั้งปวงย่อมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยและดับไปเมื่อหมดเหตุปัจจัย มันเกิดดับของมันอย่างนั้นเอง ไม่ว่าความรัก ความเกลียด ความเบื่อหน่าย ความคิดปรุงแต่ง ความอะไรๆก็ตามที่มันเกิด มันมี มันเป็นขึ้นมานั้น จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ก็ให้เข้าใจในสภาวะของมัน มันเกิดมันดับสลับเปลี่ยนไปเช่นนั้นเอง มันเป็นอยู่อย่างนั้นมาตลอดนับแต่ไหนแต่ไรมา เพียงเราทำความเข้าใจกับธรรมชาติเหล่านั้น เมื่อเรามีปัญญาแก่กล้าพอ เราก็จะเป็นเพียงผู้เห็น เป็นผู้ไม่เกาะเกี่ยวในมัน เป็นผู้ไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งหลาย แต่ไม่ได้ให้เราหนีหรือออกห่างจากธรรมชาตินี้ เราก็ยังคงอยู่ในโลกใบเดิม กับความปรุงแต่งเดิม ๆ กับสภาวะเดิมๆ แต่ต่างจากเดิมตรงที่ เราได้ทำความเข้าใจแล้ว มัปัญญาแล้ว รู้แล้ว เห็นแล้ว ไม่หลงไปตามแล้ว ไม่ดิ้นรนแล้ว มีชีวิตที่เรียบง่าย อยู่ได้ทุกๆที (เป็นผู้ดูไม่ใช่ผู้แสดง)
แต่ก่อนก็เคยรู้สึกเช่นนั้น เหมือนโลกที่เราอยู่กับสภาวะเกิดกับเรามันสวนทางกัน อยากหนีไปจากสิ่งเหล่านั้นไปอยู่ที่เฉพาะทิ้งทุกอย่างไม่อยากได้อะไรแม้กระทั่งทิ้งคนรัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปและได้เรียนรู้ ได้พิจารณาทุกสภาวะ ก็ทำให้รู้ว่ามันเป็นของมันอยู่เช่นนั้นเองตั้งแต่ไหนแต่ไร เราจะไปเบื่อหน่ายมันทำไม ร่ายกายก็เป็นธาตุกลุ่มหนึ่ง มันก็เป็นของมันมาแต่ไหนแต่ไร เราเองเสียอีกที่พึ่งมารู้ พิจารณาเช่นนี้กับทุกสิ่งที่เกิดผัสสะ และดูจิตของเราไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้และเข้าใจ แล้วจะเห็นทางในที่สุด
(เป็นแนวที่ตนเองปฏิบัติ อาจจะผิดหรือถูก ท่านผู้รู้สามารถชี้แนะได้ )
ขอให้ท่านโชคดี
ความเห็นนี้...จากบุญที่ผู้ตั้งกระทู้ี่ใส่บาตรพระจ้า....พรพระที่ตามมาที่หลัง...
ต่อไปอย่าบ่นพระนะจ๊ะ...เดี๋ยวจะบาป...อะ อะ อะ อะ
123... - 117.47.88.159 [31 พ.ค. 2551 11:05 น.] คำตอบที่ 29
เจริญในธรรมครับคุณ 123...ผมเล่าให้ฟังว่าตอนแรกครับลองอ่านให้ละเอียดครับ อยาเพิ่งใช้อารมณ์มาตัดสินครับ ผมพอรู้สึกได้ครับว่าใครคิด + หรือ ใครคิด - เพราะเหตุอย่างนี้เลยเล่าให้ฟังด้วยความบริสุทธิ์ใจครับ ผมรู้ครับว่าเป็นบาป โกหกใครโกหกได้ครับ โกหกตัวเองโกหก ไม่ได้ครับ มรรคมีองค์แปด copy มาซะยาวครับ ภาษาตามหลักวิชาการ ผมไม่แม่นขนาดนั้นครับ แต่ผมเอาจิตรใต้สำนึกพูดครับ ไม่ต้องไปอ้างอิงเอกสารอะไรมากมายครับ ตำราที่คุณเขียนมานะผมก็มีครับท่านผู้เจริญ
ตัวหนังสือที่เขียนมานี้ไม่มีผลทำให้ผมโกรธได้หรอก เป็นแค่อักษรที่คิดค้นกันขึ้นมา เพียงแค่จะสื่อสารกันก็เท่านั้น
k - 124.120.55.150 [31 พ.ค. 2551 09:11 น.] คำตอบที่ 27
อะ อะ อะ อะ ทบทวน ทบทวน เรื่องใครโกหก อะ อะ อะ อะ อย่าคิดมากน่า..ดูที่แนะนำซิจ๊ะ...อะ อะ อะ อะ ถอยสามก้าวนะจ๊ะ...อะ อะ อะ อะ
แต่ก่อนก็เคยรู้สึกเช่นนั้น เหมือนโลกที่เราอยู่กับสภาวะเกิดกับเรามันสวนทางกัน อยากหนีไปจากสิ่งเหล่านั้นไปอยู่ที่เฉพาะทิ้งทุกอย่างไม่อยากได้อะไรแม้กระทั่งทิ้งคนรัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปและได้เรียนรู้ ได้พิจารณาทุกสภาวะ ก็ทำให้รู้ว่ามันเป็นของมันอยู่เช่นนั้นเองตั้งแต่ไหนแต่ไร เราจะไปเบื่อหน่ายมันทำไม ร่ายกายก็เป็นธาตุกลุ่มหนึ่ง มันก็เป็นของมันมาแต่ไหนแต่ไร เราเองเสียอีกที่พึ่งมารู้ พิจารณาเช่นนี้กับทุกสิ่งที่เกิดผัสสะ และดูจิตของเราไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้และเข้าใจ แล้วจะเห็นทางในที่สุด
(เป็นแนวที่ตนเองปฏิบัติ อาจจะผิดหรือถูก ท่านผู้รู้สามารถชี้แนะได้ )
ขอให้ท่านโชคดี
arunwish DT02428 [31 พ.ค. 2551 12:27 น.] คำตอบที่ 30
ก่อนอื่น ต้อง ขอขอบคุณ อรัญวิช ที่ให้ความสนใจในกะทู้นี้ ไม่ผิดดอกที่ท่านกล่าวถูกทั้งหมดครับ แต่เหตุว่าเราทำนี้ที่อยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไรรือ นิพพานรือ ความสูขภายนอกรือ ความสุขภายในรือ หรือ พร้อมกันทั้งหมด ใครทุกคนอาจจะต้องการ แต่ถ้าเราเข้าถึงธรรมขนาดนั้น เราจะมาเป็นคาราวาส ไปทำไม ไม่ไปบวชซะเลยจะได้ตัด ให้หมด ปล่อยวางให้หมดถวายชีวิตให้กับพระพุทธเจ้า และ ศาสนาและทุกอย่างจะสงบลงทุกวันนี้ใครถือศีล5ได้ผมถือว่าคนนั้นเป็นคนดีมากครับ ผมก็ถือศีล5ครับ บางครั้งก็หลุดเหมือนกันครับไม่ต้องปลงอาบัต เหมือนพระ แต่มันสะกิจใจเหมือนกัน ต้องคิดถึงพระพุธเจ้าเราจะมีสูขใจ อะไรอย่างบอกไม่ถูก เหมือนพระพุทธเจ้าตรัส จงอยู่ในความไม่ประมาทสุขใจครับ
ตื่นเถิดผู้เจริญ เราตื่นมาทำความเพียรกันเถิด
ถอยสามก้าวนะจ๊ะ...อะ อะ อะ อะ
123... - 117.47.88.159 [31 พ.ค. 2551 15:00 น.] คำตอบที่ 32
อย่ากะนั้นเลยท่านผู้เจริญ มิได้แอบแฝงเจริญในธรรม
k - 124.120.55.150 [31 พ.ค. 2551 15:09 น.] คำตอบที่ 34
จริงๆ น๊า...การปฏิบัติธรรมของท่านสับสนมากเลย...มรรคแปดไม่เข้าใจไม่ว่าแต่...
มรรคมีองค์แปด copy มาซะยาวครับ ภาษาตามหลักวิชาการ ผมไม่แม่นขนาดนั้นครับ แต่ผมเอาจิตรใต้สำนึกพูดครับ ไม่ต้องไปอ้างอิงเอกสารอะไรมากมายครับ ตำราที่คุณเขียนมานะผมก็มีครับท่านผู้เจริญ
ตำรามีแล้วเข้าใจตำราว่าไงจ๊ะ....อะ อะ อะ อะ
123...ทำตัวคล้ายท่านเทวทัศเลย แม้ทดสอบ ท่าน k เค้าอยู่เรื่อย เขาบอกว่าไม่โกรธ สลดมั่งจิ
123... - 117.47.88.159 [31 พ.ค. 2551 15:14 น.] คำตอบที่ 35
ตำรามีแล้วเข้าใจตำราว่าไงจ๊ะ....อะ อะ อะ อะ
เข้าใจอย่างนี้ครับ
มรรค (ภาษาสันสกฤต : มรฺค; ภาษาบาลี : มคฺค) คือ หนทางถึงความดับทุกข์ เป็นส่วนหนึ่งของอริยสัจ (เรียกว่า มัคคสัจจ์ หรือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ) และนับเป็นหลักธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยหนทาง 8 ประการด้วยกัน เรียกว่า "มรรคมีองค์แปด" หรือ "มรรคแปด" (อัฏฐังคิกมรรค) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ
3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ
4. สัมมากัมมันตะ คือ ทำการงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพชอบ
6. สัมมาวายามะ คือ เพียรชอบ
7. สัมมาสติ คือ ระลึกชอบ
8. สัมมาสมาธิ คือ ตั้งใจชอบ
อริยมรรคมีองค์แปด เป็นปฏิปทาสายกลาง(ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่าง) ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
มรรคมีองค์แปด สามารถจัดเป็นหมวดหมู่ได้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา
* ข้อ3-4-5 เป็น ศีล (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)
* ข้อ6-7-8 เป็น สมาธิ (สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ)
* ข้อ1-2 เป็น ปัญญา (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ)
ใช่ใหม ผู้เจริญ
เข้าใจอย่างนี้ครับ.... ใช่ใหม ผู้เจริญ
k - 124.120.46.209 [31 พ.ค. 2551 17:58 น.] คำตอบที่ 37
ถูกต้องนะคร๊าบบบบ.....อะ อะ อะ อะ
ถ้าใส่ใจ ตำราก็มีชีวิต ถ้าไม่ใส่ใจ ตำราก็คือเศษกระดาษ....อะ อะ อะ อะ
ไม่รบกวนแล้วจ้า....เชิญตามสบายนะจ๊ะ...บริวารตาเขียวแล้วอะนะ...อะ อะ อะ อะ
สวัสดีครับ คุณ Parthomwat DT06015 ใน คห.26
สนทนาต่อครับว่า สภาวะของคุณ K ที่ผมได้กล่าวไว้นั้น เป็นสภาวะที่ผมก็ได้ผ่าน
มาเช่นกันครับ รายละเอียดของผมมากกว่านี้ครับ แต่เมื่ออ่านของคุณ K แล้ว
ผมก็เข้าใจได้
ผมมีบุญเก่า(มิใช่โชคลอยๆ)ทีได้พบกัลยาณมิตรเป็นผู้ชี้แนะ และแนะนำอ่าน
ในพระไตรปิฎกได้ศึกษาต่อเนื่อง จึงทำให้ชัดเจนมากขึ้นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต
ของคนเรานั้น เป็นอย่างไร จะปฏิบัติธรรมเพื่อพัฒนาไปสู่อริยบุคคลนั้นได้อย่างไร
สภาวะใหม่ๆทีเกิดขึ้นเช่นนี้ เป็นของแปลก แต่เป็นกุศล แต่กิเลส-ตัณหาก็
ไม่ได้หมายความว่าจะหมด หด หายไปนะครับ กำเริ่มได้เสมอครับ
เพราะ จิต ยังไม่ตั้งมั่น..ยังรอการหวั่นไหวได้เสมอครับ
การทรงฌาน จึงเป็นวิธีที่ไม่ให้อกุศลเข้าแทรกในจิตได้
เป็นจิตที่ จับ แล้ว วาง....ฯลฯ
การทำเหตุที่เป็นกุศลนั้นก็มีหลายระดับ
ระดับ กามวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล โลกุตตระ(พ้นทุกข์)
(แต่ละระดับก็มีลำดับ แต่ละลำดับ.. ก็มีความปราณีตแตกต่างกัน)
กุศลวิบาก(ผล) ก็มีระดับตามนั้นครับ
ทั้งหมดนี้ กล่าวถึง "จิต" จิตคือธรรม ธรรมคือจิต ครับ
ขอให้ศึกษาต่อจากพระไตรปิฎกนะครับ จะเป็นเข็มทิศให้คุณได้อย่างถูกต้อง
พระธรรมของพระพุทธองค์นั้นลึกซึ้งเหลือเกินครับ เป็นมหาบุรุษที่ไม่ต้องกล่าวถึง
นักวิทยาศาสตร์ นักปราชญ์อันยอดเยี่ยมที่คนปัจจุบันยกย่องนั้น ไม่ได้เทียบ
เพียงกระพี้หนึ่ง ..ดังนั้น ตำรายุคหลังๆที่พยามคัดลอกพระไตรปิฎก แล้วนำ
หลักวิชาการปัจจุบันมาจับ แล้วอธิบายด้วยความเห็น ก็ยากที่จะเทียบเคียงได้เช่นกัน
นับเป็นการต่อเส้นทางบุญกุศลของคุณ K ซึ่งถ้าไม่หลงเข้าพงเข้าป่าไปซะก่อน
ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่เป็นมหากุศลเช่นกันครับ
จำเริญธรรมในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ
ก่อนอื่น ต้อง ขอขอบคุณ อรัญวิช ที่ให้ความสนใจในกะทู้นี้ ไม่ผิดดอกที่ท่านกล่าวถูกทั้งหมดครับ แต่เหตุว่า เราทำนี้ที่อยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไรรือ นิพพานรือ ความสูขภายนอกรือ ความสุขภายในรือ หรือ พร้อมกันทั้งหมด ใครทุกคนอาจจะต้องการ แต่ถ้าเราเข้าถึงธรรมขนาดนั้น เราจะมาเป็นคาราวาส ไปทำไม ไม่ไปบวชซะเลยจะได้ตัด ให้หมด ปล่อยวางให้หมดถวายชีวิตให้กับพระพุทธเจ้า และ ศาสนาและทุกอย่างจะสงบลง
k - 124.120.55.150 [31 พ.ค. 2551 15:06 น.] คำตอบที่ 33
ข้าพเจ้าเข้าใจคุณ k นะ แต่บุญกุศลเก่าที่มีมาไม่เหมือนกันจึงไม่สามารถที่จะทำให้เป็นอย่างที่คิดได้ เมื่อตัวเราเองยังไม่รู้ถึงจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ยังไม่ทราบเป้าหมายที่เราจะเดินไป ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เรากำลังปฏิบัติอยู่อย่างแจ่มแจ้งตามจริง ยังไม่สามารถรู้ด้วยตนเองได้ เราจึงจำเป็นต้องฝึกฝนศึกษาจากประสบการณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเข็มทิศชี้ทางที่ถูกต้อง หากท่านจะเพียรพยายามศึกษาจากพระไตรปิฏกไว้เทียบเคียงกับสภาวธรรมที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน จะทำให้อ่านเข้าใจได้เร็วกว่าท่านที่ไม่เคยผ่านสภาวธรรมนั้น ๆ เลย ในไม่ช้าท่านจะหมดความสงสัย นับว่าท่านมีบุญสะสมมามากแต่ยังไม่มากถึงที่สุด ขอให้ท่านพากเพียรสร้างสมให้ถึงที่สุดเถิด
ค่อยๆศึกษาในพระไตรปิฏกเป็นหลัก และสามารถอ่านหนังสือธรรมอื่นๆช่วยขยายความได้(ที่ไม่ขัดแย้งกัน) และยังมีกัลญาณมิตรในเวปธรรมะไทยอีกมากมายยินดีตอบข้อสงสัย
ขอยกมาให้ท่านเป็นแนวทาง
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=986&Z=1034&pagebreak=0
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย จะทำอะไรควรกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วตั้งใจทำไปให้บรรลุเป้าหมายนั้นๆ ไม่ว่าผลสรุปจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยก็ยังเหลือความภาคภูมิใจในความเป็นลูกผู้ชาย
ความสับสน ลังเล โลเล ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ มิใช่วิสัยของลูกผู้ชาย
พระพุทธองค์ทรงตั้งพระทัยมั่นที่จะช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์อย่างถาวรจึงทรงสละทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงครอบครองอยู่ ทรงทนลำบากพระวรกายและลำบากพระทัยอย่างสุดแสน จาก การมีทุกอย่าง กลายเป็นผู้ไม่มีอะไรเลยนอกจากผ้าครองกายและบาตร จวบจนทรงตรัสรู้พระสัทธรรม และทรงพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวง
เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาท ทรงจาริกไปทั่วแว่นแคว้นเพื่อให้พวกเราได้เรียนรู้ ได้ปฎิบัติตามคำสอน 45ปีเชียวนะ นับกี่แว่นแคว้น กี่ตำบล
แล้วคุณเป็นใคร ได้มีโอกาสดีที่สุดแล้วในชีวิต ได้ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ได้บวชเรียนเป็นภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา ควรแล้วหรือที่จะมาทำตัวเช่นนี้ สับสนในบทบาทหลังจากบวชเรียนมาแล้ว ไม่ศึกษาให้ชัดเจนว่าพระองค์ทรงประทานคำสอนเอาไว้ครบถ้วนทุกกระบวนความแล้ว หากตั้งใจปฎิบัติตามย่อมคลายความสงสัย คลายความยึดมั่นถือมั่นที่ผิดๆเข้าสู่ทางสายกลาง และพ้นทุกข์อย่างถาวรในที่สุด
ผิดแล้วอย่าผิดเลย เกิดมาทั้งทีเอาดีให้ได้เถอะ ค้นหาตัวเองให้เจอ ตั้งใจให้มั่น หนทางที่ถูกต้องควรเดิน พระองค์ได้ทรงตรัสชี้แนะไว้ชัดเจนแล้ว เหลืออย่างเดียวคือคุณต้องก้าวเดินไปอย่างมั่นใจ และ มั่นคง สมที่เกิดมาเป็นชาย
ขออโหสิกรรมในข้อเขืยนที่อาจก่อให้เกิดอกุศลจิตใดๆ ที่มุ่งหวังคือสัมมาทิฏฐิที่อาจก่อเกิดในดวงจิตที่อ่อนล้าไปชั่วขณะของใครบางคน มิได้มีเจตนาทำร้ายจิตใจใครเลย
เจริญในธรรม...
เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย จะทำอะไรควรกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วตั้งใจทำไปให้บรรลุเป้าหมายนั้นๆ ไม่ว่าผลสรุปจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยก็ยังเหลือความภาคภูมิใจในความเป็นลูกผู้ชาย
ความสับสน ลังเล โลเล ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ มิใช่วิสัยของลูกผู้ชาย
สุ - 118.172.50.199 [1 มิ.ย. 2551 13:03 น.] คำตอบที่ 41
แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะออก ปวด ปวช บวด ท่านทรงเสวยความสุขทั้งหมด แล้ว เหลือทางการหลุดพ้นจากความทุกข์เท่านั้น คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ถ้าคนเราทุกคนนี้ ยังไม่มีความสุขในทางโลกเลย จะเกิดความลังเลก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ สังคมส่วนใหญ่ทุกวันนี้ ล้วนต้องการความสุขทางโลกกันทั้งนั้น นอกซะจากคนที่รวยแล้ว แล้วเค้าพอแล้วหยุดแล้ว ก็เหลือทางใจเท่านั้น จริงไหมครับ อยากกินอะไรได้กินหมดแล้ว อยากทำอะไรได้ทำหมด เกิดการทำซ้ำๆๆ จนเกิดความเคยชิน จนเกิดอาการเบื่อหน่าย แต่ต้องนึกถึง อีกมุมหนึ่งบ้างครับ
ด้วยการก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี กรรมใดน่าติเตียน ขอพระพุทธเจ้าทรงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น
ขออ้างอิง เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม
หน้าที่ความรับผิดชอบทางโลกก็เป็นเหตุผลหนึ่ง...ที่ทำให้ไปบวชไม่ได้...เคยอ่านหนังสือ"บวชทำไม" ของท่านพุทธทาส นึกถึงท่านอาจทำให้ท่าน k ได้ข้อคิดดีๆ
http://www.buddhadasa.com/shortbook/homesika.html
http://www.buddhadasa.com/index.html
เจริญสุขเจริญธรรม
http://www.watnyanaves.net/sounds/navaka.htm
อยู่ในเพศสภาวะไหนก็ฝึกฝนตนเองได้ตลอดเวลาไม่มีข้อจำกัด
ถือสมณะเพศ ก็มีความสะดวกมากกว่า มีเวลาค้นค้วาหาความรู้ได้มาก
เพศฆราวาส สะดวกน้อยกว่าก็จริง แต่แบบฝึกหัดเยอะกว่า ผู้ที่เข้มแข็งน้อยหน่อยก็จะรู้สึกว่าติดขัด
ทั้งสองเพศสภาวะหากมีความเพียรพยายาม จะสามารถสำเร็จได้เช่นกัน
พิจารณาที่พยายามทำอยู่ทุกอย่างทุกวันนั้น เพื่ออะไร เช่น ทำทาน สวดมนต์ ถือศีล ฝึกสมาธิ
ความรู้ในหลักธรรมที่คิดว่ารู้นั้นตอบข้อสงสัยได้ทะลุปรุโปร่งหรือไม่ ใช้ได้จริงหรือไม่ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้หรือไม่ ยังมีความคับข้องใจเกิดขึ้นเนื่องจากหลักธรรมหรือไม่ เป็นต้นครับ
ขออนุโมทนาด้วยครับคุณ k แล้วที่ว่าสุภภะ อสุภภะ ใครเป็นผู้หมายครับ
ไม่มีใครจะเป็นผู้รู้ไปซะหมดหลอกครับ และเรียนอะไรในโลกนี้ ที่ทุกคนเรียนจบ ไม่เห็นมีอะไรเรียน จบสักอย่างเพราะฉะนั้นต้องค้นหาสัจธรรมกันต่อไปครับ จะยกตัวอย่าง ที่พบบ่อยครับ มีครูอยู่คนหนึ่ง สอนลูกศิษย์ดีมากครับ จริยธรรม น้อมนำลูกศิษดีมาก จนลูกศิษได้ดีไปเยอะ ทั้งคุณธรรม จริยธรรม ว่าครบครับ แต่พอกลับบ้าน ลูกตัวเอง ก็ติดยาคบเพื่อนพากันกินเหล้า ก็เลยมานั่งคิดครับ แม้แต่อาจารย์ที่นับถือ สอนใครสอนได้ สอนลูกตัวเองสอนไม่ได้ มันเป็นความจริงครับ จงทำดีเถิดจะเกิดผล
guest - 125.26.145.141 [4 มิ.ย. 2551 23:32 น.] คำตอบที่ 46
ขออนุโมทนาด้วยครับคุณ k แล้วที่ว่าสุภภะ อสุภภะ ใครเป็นผู้หมายครับ
คุณguest สุภภะ อสุภภะ ใครเป็นผู้หมายครับ คือ อะไรครับผมไม่เข้าใจโปรดชี้แนะครับ
จำเป็นด้วยไหม ที่ผมถนัดขวา แล้วคุณถนัดซ้าย แล้วต้องให้ผมถนัดซ้ายไปด้วย
ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
ไม่มีอะไรครับคุณ K ไม่ถนัดซ้ายไม่ถนัดขวาครับ แต่ถนัดมัชฌิมา
ขออนุโมทนาในความมีปัญญาครับ
ขอรบกวนเวลาคุณ K นิดหน่อยครับอยากสนทนาด้วย ที่อ่านการตอบกระทู้ของคุณ ฟังดูว่าพิจารณาขันธ์ 5 มาแล้ว ผมเลยอยากทราบ สักกายทิฏฐิ ในแง่การปฏิบัติหน่อย คุณเริ่มการปฏิบัติยังไง และช่วยอธิบายเหตุการณ์ในการพิจารณาขันธ์ให้ด้วยครับ ขอขอบคุณครับ
ไม่มีอะไรครับคุณ K ไม่ถนัดซ้ายไม่ถนัดขวาครับ แต่ถนัดมัชฌิมา
ขออนุโมทนาในความมีปัญญาครับ
guest - 125.26.148.59 [5 มิ.ย. 2551 12:27 น.] คำตอบที่ 48
มัชฌิมา ปฏิปทา เติมให้อีกหน่อยครับ
ขอรบกวนเวลาคุณ K นิดหน่อยครับอยากสนทนาด้วย ที่อ่านการตอบกระทู้ของคุณ ฟังดูว่าพิจารณาขันธ์ 5 มาแล้ว ผมเลยอยากทราบ สักกายทิฏฐิ ในแง่การปฏิบัติหน่อย คุณเริ่มการปฏิบัติยังไง และช่วยอธิบายเหตุการณ์ในการพิจารณาขันธ์ให้ด้วยครับ ขอขอบคุณครับ
guest - 125.26.145.129 [6 มิ.ย. 2551 15:32 น.] คำตอบที่ 4
ร่างกายไม่ใช่ของเรา ปล่อยวางครับเกิดมามีเลือดเนื้อทั่วไป เหมือนสัตว์โลกทั่วไป ถ้าหลับตา แล้วเอาคนหน้าอัปลักษณ์ มานั่งคุยด้วยสักคน ถ้าคนนั้นจิตใจดีพูดดีทุกอย่างเราจะรู้สึกได้เลยว่า คนนั้นหล่อมากแน่ๆๆ หรือสวยมากแน่ๆๆ แล้วลืมตามาดูความเป็นจริงครับ ต้องทำใจเราให้ได้ เหมือนที่เราหลับตานะฝึกจนเคยชิน แล้วต่อไปเราจะคุยกับใครได้หมดครับ ไม่ว่ารูปพรรณสังขารจะเป็นอย่างไร คนที่มีรูปสวย ขันธ์ทั้งห้าเค้ามาเป็นเผ่าพันธ์ คิดว่าร่างกายเรามาอาศัยเค้าอยู่ ถึงเวลาเค้าก็จะเรียกคืน และสลายไป ที่มีกันทุกคนคือ มีจิต และ วิญญาณ และไม่กลัวตายถวายชีวิตให้กับพระพุทธเจ้า ที่เป็นผู้ฝึกบุรุษอย่างเราๆๆได้ เป็นศาสดาของเรา ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเราคงไม่มีสติที่จะมาอธิบายอะไรได้เลย ถือว่าเรามีบุญครับ ที่ได้มาเจอศาสนาครับ ร่างกายเรามีอวัยวะ ต่างๆๆ มีเลือดเนื้อ ข้างในก็มี หัวใจ ปอด มีใส้และอื่นๆๆทีอยู่ข้างใน ต่างชิ้นต่างมีหน้าที่ของมันทุกอย่างทำหน้าที่ และมีเลือดคอยวิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตและจิตรใจร่างกายเลี้ยงเราให้มีลมหายใจมีวิญญาณ เราต้องเลี้ยงร่างกายด้วย โดยการกินอาหาร ที่ร่างกายเราต้องการ ร่างกายเราต้องการอะไร มันจะบอกเราเองจากจิตรใต้สำนึก ไม่ต้องสรรหากิน กินแบบพิจรณาจะรู้ว่าร่างกายเราอยากอะไร กินหูฉลาม ได้โปรตีนกินอิ่ม ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ไม่มีตัวตน อาหารถูกย่อย ส่งลำใส้เล็ก ออกลำใส้ใหญ่ ออกเป็นอุจระ จบกระบวนการในการพิจรณาการกิน สัตว์ที่มีชีวิตทุกชีวิต เกิดมามีประโยชน์ให้เรารัปทาน สร้างเป้นเลือดเนื้อ แต่มนุษย์ ตายไปไม่มีใครกิน แม้แต่จะเอามาเป็นปุ๋ยให้กับพื้นดินก็ไม่ให้ มีแต่ความดี กับ ความชั่วเท่านั้นที่จะสั่งสอนกันรุ่นสู่รุ่น สัตว์โลกเกิดมา เค้าก็มาใช้กรรมเค้าเค้าถึงเกิดมาเป็นสัตว์ เราเกิดมาก็อย่าเบียดเบียนกันมากเลย จะสุขใจครับ ถ้าเรื่องในกาม ละก้อ คิดอย่างนี้ครับ ผู้หญิงสวยมาก พิจราณาครับ ลองไม่มีความสะอาดซิ เหม็น สวยอย่างไงก็เหม็นมากๆๆ ข้างใน มีแต่น้ำเมือกที่ธรรมชาติทุกคนต้องมีเหมือนกัน ทิ้งใว้นานวันยิ่งเหม็น ถ้าคนขี้เหล่สะอาดอะไรก้อสะอาดครับ แล้วเราจะไปยึดติดมันทำไมละครับขาวอวบนะ นึกภาพดูถลกหนังออกมีอะไรบอกว่าสวยมั่งละครับ ปลงครับ ไม่มีตัวตน ไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเรา สวยขนาดใหนแก่แล้วเป็นไงครับ แล้วจะไปแย่งกันยิงกันเพื่อผู้หญิงก็มีครับ คนที่ดีคือมีจิตรใจดีพอครับ และทุกอย่างของคนผู้นั้นจะดีหมดครับ พวณาทุกสิ่งนี้ถ้าร่างกายแตกดับสลายไป ขอให้ลมหายใจที่โลยรินครั้งสุดท้าย ท้ายสุด ให้เหนี่ยวนำจิตรใจเราไปสู่พระพุทธ พระธรรม พระสงค์ คิดแต่ในสิ่งที่ดีที่เคยทำดีมา ทำบุญมา ทุกอย่างจงมา จงมา จงมา แล้วเราจะรู้ถึงความดีในวันนี้ วันนี้ วันนี้ตลอดลมหานใจ ช่วงนี้ผมบอกตามตรงครับ พิมพ์ไปขนลุกไปครับ และสุขใจมากครับ ทีมีคนอยากรับฟังสิ่งที่ผมปฏิบัติครับนี่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นครับ ถ้ามีเวลา ผมจะมาเล่าห้ฟังใหม่ครับ (ต้องจิตรว่างจริงๆๆครับ ถึงจะถึงแก่นได้เลยต้องฝึกสมาธิด้วย ไม่งั้นเขียนไม่ได้ครับ)ขออนุโมทนาสาธุสำหรับท่านที่สนใจ เจริญในธรรมครับ สาธุ
ขอบคุณครับ
ถ้าสะดวกเมื่อไหร่ช่วยมาเล่าให้ฟังเรื่อย ๆนะครับ
ทุกท่านค่ะ คุณ k, คุณทิพย์อักษร, คุณนิ๊งหน่อง, คุณ opo, คุณ aa1234, คุณ พ้นน้ำ, คุณ Parthomwat, และ ท่าน อื่น ๆ
เท่าที่ลองอ่านดูจากการสนธนาดูเหมือนหลายท่านคงเป็นนักปฏิบัติ และปฏิบัติจนสามารถรู้เห็น ปรากฏการณ์บางอย่าง ที่คนทั่วไปจะไม่สามารถรู้และเห็นได้
การที่จะปฏิบัติเพื่อให้เห็นธรรมเเป็นเครื่องดับทุกข์ ขอท่านช่วยชี้แนะแนวทางหน่อยได้ไหม๊ค่ะ
เราควรจะเริ่มต้นยังไง การพยายามจะเดินจงกรม หรือฝึกสมาธิ พยายามกำหนดรู้ เท่าที่ทำมา ดูเหมือนจะมองไม่เห็นฝั่ง ทุกข์มันก็ยังคงทุกข์อยู่ ตัวตนก็ยังยึดอยู่ ความทุกข์ ความเศร้า ก็ไม่ได้ลดลงเลย
นักปฏิบัติท่านใดพอจะให้ทานในธรรมได้ ขอความกรุณาชี้แนะด้วยค่ะ similar-beach@hotmail.com
บุญกุศลใดๆก็ไม่เท่ากับการนั่งสมาธิ
การภาวนาใดก็ไม่ดีเท่าคำว่า สัมมาอรหันต์
การกำหนดจิตใดๆก็ดีเท่ากับการกำหนัด ณ ศูนย์กลางกาย