ออกจากภพนี้ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดม ...อสังขตสถาน (พระไตรปิฏก)

 หลับอยู่    

 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ 
 มหาปชาบดีโคตมีเถริยาปทานที่ ๗ 

[๑๕๗] ในกาลครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคผู้เป็นประทีปแก้วส่องโลกให้สว่าง
ไสว เป็นนายสารถีฝึกนรชน ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหา
วันใกล้พระนครเวสาลี ครั้งนั้น พระมหาโคตมีภิกษุณีพระมาตุจฉา
ของพระพิชิตมาร อยู่ในสำนักนางภิกษุณีในพระนครอันรื่นรมย์นั้น
พร้อมด้วยพระภิกษุณี ๕๐๐ องค์ ซึ่งล้วนแต่พ้นจากกิเลสแล้ว เมื่อ
พระมหาปชาบดีโคตมีนั้นอยู่ในที่สงัด ตรึกนึกคิดอย่างนี้ว่า การ
ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็ดี ของคู่พระอัครสาวกก็ดี ของพระ-
ราหุลพระอานนท์และพระนันทะก็ดี เราไม่ได้เห็น เราอันพระโลก-
นาถผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ทรงอนุญาตแล้ว พึงปลงอายุสังขารแล้ว
นิพพานก่อนเถิด พระภิกษุณีทั้ง ๕๐๐ องค์ ก็ได้ตรึกอย่างนั้น
เหมือนกัน แม้พระเขมาภิกษุณีเป็นต้น ก็ได้ตรึกเช่นนี้เหมือนกัน
ครั้งนั้น เกิดแผ่นดินไหว กลองทิพย์ดังขึ้นเองทวยเทพที่สิงอยู่ใน
สำนักของนางภิกษุณี ถูกความโศกบีบคั้น บ่นเพ้ออยู่อย่างน่าสงสาร
หลั่งน้ำตาแล้วในที่นั้น พระภิกษุณีทุกๆ องค์พร้อมด้วยทวยเทพเหล่า
นั้น เข้าไปหาพระมหาโคตมีภิกษุณี ซบศีรษะแทบเท้าแล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พระแม่เจ้า เพราะเรามีปกติอยู่ด้วยการเทียบเคียงในธรรม
เหล่านั้น เราได้อยู่ในที่สงัด พื้นภูมิภาคหวั่นไหวจลาจลกลองทิพย์
ดังขึ้นเอง และเราได้ยินเสียงคร่ำครวญ ข้าแต่พระโคตมี จะต้อง
มีเหตุอะไรเกิดขึ้นแน่ ครั้งนั้น พระมหาโคตมีภิกษุณีท่านได้บอก
ถึงเหตุตามที่ตนได้ตรึกแล้วทุกประการ ลำดับนั้นพระภิกษุณีทุกๆ
องค์ ก็ได้บอกถึงเหตุที่ตนตรึกแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้า
พระแม่เจ้าชอบใจจะปรินิพพานอันเกษมอย่างยิ่งไซร้ ถึงดิฉันทั้ง
หลายก็จักนิพพานทั้งหมด ในกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงพระ-
อนุญาต ดิฉันทั้งหลายได้ออกจากเรือนพร้อมด้วยพระแม่เจ้า เมื่อ
 ดิฉันทั้งหลายออกจากภพนี้ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดม  
ดิฉันทั้งหลาย
ก็จักไปพร้อมกับพระแม่เจ้าเหมือนกัน พระมหาปชาบดีโคตมีได้
กล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายจะไปนิพพาน ดิฉันจักว่าอะไรได้เล่า แล้ว
ได้ออกจากสำนักนางภิกษุณีไปพร้อมกับพระภิกษุณีทั้งหมดในครั้ง
นั้น พระปชาบดีโคตมีภิกษุณีได้กล่าวกะทวยเทพทั้งหลายว่า ขอทวย
เทพทั้งหลายที่สิงอยู่ ณ สำนักนางภิกษุณี จงอดโทษแก่ดิฉันเถิด
การเห็นสำนักนางภิกษุณีของดิฉันนี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้ายในที่ใด
ไม่มีความแก่หรือความตาย ไม่มีการสมาคมด้วยสัตว์และสังขารอัน
ไม่เป็นที่รัก ไม่มีการพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก
 ที่นั้นนักปราชญ์กล่าวว่าเป็นอสังขตสถาน  พระโอรสของพระสุคตเจ้า
ทั้งหลายที่ยังไม่ปราศจากราคะ ได้สดับคำของพระนางนั้น เป็นผู้โศก
กำสรดปริเทวนาการว่า น่าสังเวชหนอ พวกเราเป็นคนมีบุญน้อย
สำนักพระภิกษุณีนี้จะว่างเปล่า เพราะเว้นพระภิกษุณีเหล่านั้น
พระภิกษุณีผู้ชิโนรสจะไม่ปรากฏ เปรียบเหมือนดวงดาวทั้งหลาย
ไม่ปรากฏในเวลาที่สว่างฉะนั้น พระนางโคตมีภิกษุณีจะไปสู่นิพพาน
พร้อมกับพระภิกษุณีอีก ๕๐๐ องค์ เหมือนกับแม่น้ำคงคาไหลไปสู่
สาครพร้อมกับแม่น้ำ ๕๐๐ สาย ฉะนั้น อุบาสิกาทั้งหลายผู้มีศรัทธา
เห็น พระโคตมีภิกษุณีนั้นกำลังเดินไปตามถนน ได้พากันออกจาก
เรือนไปหมอบลงแทบเท้าแล้วกล่าวว่า ดิฉันทั้งหลายเลื่อมใสใน
พระแม่เจ้า พระแม่เจ้าจะละทิ้งดิฉันทั้งหลายไว้ให้เป็นคนอนาถาเสีย
แล้ว พระแม่เจ้ายังไม่ควรที่จะปรินิพพานก่อน ควรที่จะสงสาร
ด้วยอุบาสิกาเหล่านั้นพากันปริเวทนาการ เพื่อจะให้อุบาสิกาเหล่านั้น
ละเสียซึ่งความโศก พระนางจึงได้กล่าวอย่างเพราะพริ้งว่า อย่าร้อง
ไห้ไปเลยลูกทั้งหลาย วันนี้เป็นเวลารื่นเริงของท่านทั้งหลาย ความ
ทุกข์ดิฉันกำหนดรู้แล้ว ตัณหาอันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ดิฉันเว้น
ขาดแล้ว ความดับทุกข์ดิฉันได้ทำให้แจ้งแล้ว อนึ่ง แม้ถึงมรรคดิฉัน
ก็ได้อบรมดีแล้ว.
 จบภาณวารที่ ๑.    




พระศาสดาดิฉันได้บำรุงแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า ดิฉันได้ทำ
เสร็จแล้ว ภาระอันหนักดิฉันได้ปลงลงแล้ว ตัณหาอันนำไปสู่ภพ
ดิฉันได้ถอนเสียแล้ว ดิฉันออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด
ประโยชน์นั้นดิฉันบรรลุแล้วโดยลำดับ สังโยชน์ทุกอย่างหมดไปแล้ว
พระพุทธเจ้าและสัทธรรมของพระองค์ มิได้ย่อหย่อน ยังดำรงอยู่
ตราบใด ตราบนั้นเป็นกาลที่ดิฉันจะนิพพาน ลูกทั้งหลายอย่าได้
เศร้าโศกถึงดิฉันไปเลย พระโกณฑัญญะพระอานนท์และพระนันทะ
เป็นต้น กับทั้งพระราหุลพุทธชิโนรสยังมีชนมชีพอยู่ ขอพระสงฆ์
จงเป็นผู้มีความสุขสำราญ ขอให้เดียรถีย์จงเป็นผู้มีความโง่เขลาอัน
กำจัดเสียได้เถิด ยศ คือ การย่ำยีมารอันวงศ์แห่งพระเจ้าโอกกาก-
ราชยกขึ้นแล้ว ลูกทั้งหลาย บัดนี้ ถึงเวลาที่ดิฉันจะนิพพานมิใช่หรือ
ความปรารถนาที่ดิฉันได้ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นมานานนักหนา จะสำเร็จแก่
ดิฉันในวันนี้ เวลานี้เป็นเวลาที่จะบันลือกลองนันทเภรี ลูกทั้งหลาย
น้ำตาจะมีประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลายเล่า ถ้าท่านทั้งหลายจะมี
ความเอ็นดูหรือมีความกตัญญูในดิฉัน ขอให้ท่านทุกคนจงทำความ
เพียรมั่น เพื่อความดำรงอยู่แห่งพระสัทธรรมเถิด พระสัมพุทธเจ้า
อันดิฉันทูลอ้อนวอน จึงได้ประทานบรรพชาแก่สตรีทั้งหลาย เพราะ
ฉะนั้น ดิฉันยินดี ฉันใด ท่านทั้งหลายก็จงเจริญรอยตามซึ่งความ
ยินดีนั้นฉันนั้นเถิด ครั้นพระนางพร่ำสอนอุบาสิกาเหล่านั้นอย่างนี้
แล้ว ห้อมล้อมด้วยภิกษุณีทั้งหลาย เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวาย
บังคมแล้วได้กราบทูลดังนี้ว่า ข้าแต่พระสุคตเจ้า หม่อมฉันเป็น
มารดาของพระองค์ ข้าแต่พระธีรเจ้า พระองค์เป็นพระบิดาของ
หม่อมฉัน ข้าแต่พระโลกนาถ พระองค์เป็นผู้ประทานความสุข
อันเกิดจากพระสัทธรรมให้หม่อมฉัน
ข้าแต่พระโคดม หม่อมฉันเป็นผู้อันพระองค์ให้เกิด ข้าแต่พระสุคตเจ้า รูปกายของพระองค์นี้อันหม่อมฉันทำให้เจริญเติบโต
ธรรมกายอันน่าเพลิดเพลินของหม่อมฉัน อันพระองค์ทำให้เจริญเติบโตแล้ว

หม่อมฉันให้พระองค์
ดูดดื่มน้ำนมอันระงับเสียได้ ซึ่งความอยากชั่วครู่ แม้น้ำนม คือ
พระสัทธรรมอันสงบระงับล่วงส่วน พระองค์ก็ให้หม่อมฉันดูดดื่ม
แล้ว ข้าแต่พระมหามุนี ในการผูกมัดและรักษา พระองค์ชื่อว่ามิได้
เป็นหนี้หม่อมฉัน หม่อมฉันได้ฟังมาว่าสตรีทั้งหลายผู้ปรารถนา
บุตรบวงสรวงอยู่ ก็ย่อมจะได้บุตรเช่นนั้น สตรีที่เป็นพระมารดา
ของพระนราธิบดีมีพระเจ้ามันธาตุเป็นต้น ชื่อว่าเป็นมารดาผู้ยังบุตร
ให้จมอยู่ในห้วงมหรรณพคือภพ ข้าแต่พระโอรส หม่อมฉันผู้จมดิ่ง
อยู่ในห้วงมหรรณพคือภพอันพระองค์ให้ข้ามไปจากสาครคือภพแล้ว
พระนามว่า พระมเหสีพันปีหลวง สตรีทั้งหลายได้ง่าย พระนามว่า
พระพุทธมารดา นี้ สตรีทั้งหลายได้ยากอย่างยิ่ง ข้าแต่พระมหาวีร-
เจ้า ก็พระนามว่าพระพุทธมารดานั้น หม่อมฉันได้แล้ว ความ
ปรารถนาน้อยใหญ่ของหม่อมฉันทั้งปวงนั้น หม่อมฉันได้บำเพ็ญ
แล้วกับพระองค์ หม่อมฉันปรารถนาเพื่อจะทิ้งร่างนี้นิพพาน ข้าแต่
พระวีรเจ้าผู้ทำที่สุดทุกข์ เป็นผู้นำ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตให้หม่อม
ฉันเถิด ขอได้ทรงโปรดเหยียดออก ซึ่งพระยุคลบาทอันเกลื่อนกล่น
ไปด้วยลายจักรและธง อันละเอียดอ่อนเหมือนกับดอกบัวเถิด
หม่อมฉันจะถวายบังคมพระยุคลบาทนั้น จะขอทำความรักในบุตร
ข้าแต่พระองค์ผู้นายก หม่อมฉันกระทำสรีระซึ่งเปรียบด้วยกองทอง
ให้ปรากฏเป็นข้าวสุก ได้เห็นพระสรีระของพระองค์แล้ว จึงจะขอ
ไปนิพพาน พระพิชิตมารได้ทรงแสดงพระกายอันประกอบด้วยมหา-
ปุริสลักษณ์ ๓๒ ประการ ประดับด้วยพระรัศมีอันงาม อันเป็น
เหมือนดวงตาของคนพาลเพราะมีค่ามาก กะพระมาตุจฉา ลำดับนั้น
พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี ได้ซบพระเศียรลงแทบพื้นพระบาท
อันเป็นลายจักรคล้ายกับดอกบัวบานมีพระรัศมีปานดังพระอาทิตย์
แรกทอแสง แล้วพระนางได้กราบทูลว่า หม่อมฉันขอน้อมมัสการ
พระนราทิจ ผู้เป็นธงขององค์พระอาทิตย์ ขอพระองค์ทรงโปรดเป็น
ที่พึ่งของหม่อมฉันในกาลสุดท้ายเถิด หม่อมฉันจะไม่ได้เห็นพระองค์
อีก ข้าแต่พระองค์ผู้เลิศโลก ธรรมดาสตรีทั้งหลายรู้กันว่ามีแต่จะก่อ
โทษทุกประการ ถ้าโทษอย่างใดอย่างหนึ่งของหม่อมฉันมีอยู่ ก็ขอ
พระองค์ได้โปรดกรุณาอดโทษแก่หม่อมฉันเถิด อนึ่ง หม่อมฉันได้
ทูลขอบ่อยๆ ให้สตรีทั้งหลายได้บวช ข้าแต่พระนราสภ ถ้าโทษ
ในข้อนั้นจะมีแก่หม่อมฉัน ขอได้ทรงโปรดอดโทษนั้นเถิด ข้าแต่
พระวีรเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งการอดโทษ ภิกษุณีทั้งหลายอันหม่อมฉันสั่ง-
สอนแล้ว ตามที่พระองค์ทรงอนุญาต ถ้าในข้อนั้นจะมีการแนะนำ
ได้ยาก ขอได้โปรดทรงอดโทษข้อนั้นเถิด.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรนางโคตมีผู้ประดับไปด้วยคุณโทษ
ที่ท่านจะพึงอดพึงมีอะไร เมื่อท่านบอกว่าลาจะนิพพาน ตถาคตจักไป
ว่ากระไรให้มากไปเล่า.
เมื่อภิกษุสงฆ์ของตถาคตบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ท่านจะออก
ไปเสียจากโลกนี้ได้ก็ควร เพราะเมื่อหมดแสงดาวในเวลา
รุ่งแล้ว รอยในพระจันทร์ก็ย่อมจะมองไม่เห็น ฉะนั้น
พระภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
พากันทำประทักษิณพระพิชิตมารผู้เลิศ เหมือนหมู่ดาวที่
ติดตามพระจันทร์ทำประทักษิณภูเขาสิเนรุ ฉะนั้น หมอบ
ลงแทบพระบาทแล้ว ยืนจ้องดูพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
กราบทูลว่า จักษุของหม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วยการ
เห็นพระองค์ โสตของหม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วย
พระภาษิตของพระองค์ จิตของหม่อมฉันทั้งหลายดวงเดียว
แท้ๆ ก็ไม่อิ่มด้วยรสแห่งธรรมของพระองค์.
ผู้บันลืออยู่ในบริษัท กำจัดเสียซึ่งทิฏฐิและมานะ ชนเหล่าใดเห็น
พระพักตร์ของพระองค์ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้มีโชคดี ข้าแต่
พระองค์ผู้ถึงที่สุดสงคราม ชนเหล่าใดประณมน้อมพระยุคลบาทของ
พระองค์ ซึ่งมีพระองคุลียาว มีพระนขาแดงงดงาม มีส้นพระบาท
ยาว ถึงชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้มีโชคดี ข้าแต่พระนโรดม ชน
เหล่าใดได้สดับพระดำรัสของพระองค์อันไพเราะน่าปลื้มใจ เผาเสีย
ซึ่งโทษ เป็นประโยชน์เกื้อกูล ชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้มีโชคดี
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันทั้งหลายอิ่มไปด้วยการบูชาพระบาท
ของพระองค์ข้ามพ้นทางกันดารคือสงสารได้ ด้วยพระสุนทรกถาของ
พระองค์ผู้ทรงศิริ ฉะนั้นหม่อมฉันทั้งหลายจึงชื่อว่าเป็นผู้มีโชคดี.
ลำดับนั้น พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีผู้มีวัตรอันงาม ประกาศในหมู่
พระภิกษุสงฆ์แล้ว ไหว้พระราหุลพระอานนท์และพระนันทะ แล้ว
ได้ตรัสดังนี้ว่า ดิฉันเบื่อหน่ายในร่างกายซึ่งเสมอด้วยที่อยู่ของ
อสรพิษ เป็นที่พักของโรค เป็นสถานที่เกิดทุกข์ มีชราและมรณะ
เป็นโคจร อาเกียรณ์ไปด้วยมลทิน คือ ซากศพต่างๆ ต้องพึ่งพาผู้อื่น
ปราศจากเรี่ยวแรง ฉะนั้น ดิฉันจึงปรารถนาจะนิพพานเสีย ขอลูก
ทั้งหลายจงยอมอนุญาตให้เถิด.
พระนันทเถรเจ้าและพระราหุลผู้เจริญ เป็นผู้ปราศจากความโศก
ไม่มีอาสวะ ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว มีปัญญา มีความเพียร ได้คิดตาม
ธรรมดาว่า น่าติโลกที่ปัจจัยปรุงแต่ง ปราศจากแก่นสาร เปรียบด้วย
ต้นกล้วย เช่นเดียวกับกลลวงและพยับแดด ต่ำช้า ไม่มั่นคง พระ-
โคตมีเถรี พระมาตุจฉาของพระพิชิตมาร ซึ่งได้เลี้ยงดูพระพุทธเจ้า
ก็ยังต้องถึงแก่กรรม สังขตธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง ก็ครั้งนั้น ท่าน
พระอานนท์พุทธอนุชา ซึ่งเป็นคนสนิทของพระพิชิตมาร ยังเป็น
พระเสขบุคคลอยู่ ท่านหลั่งน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร
ณ ที่นั้นว่า พระโคตมีเถรีเจ้าตรัสอยู่หลัดๆ ก็จะเสด็จไปนิพพาน
เสีย อีกไม่นานเลยแม้พระพุทธเจ้าก็คงจะเสด็จไปนิพพานแน่นอน
เปรียบเหมือนไฟที่หมดเชื้อแล้ว ฉะนั้น พระโคตมีเถรีเจ้าได้ตรัสกะ
ท่านพระอานนท์ผู้ชำนาญพระปริยัติ ปานดังสาครอันลึกล้ำ เอาใจใส่
ในการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ซึ่งพร่ำรำพันอยู่ดังกล่าวมาว่า ลูกเอ๋ย
เมื่อกาลเป็นที่ร่าเริงปรากฏขึ้นแล้ว พ่อไม่ควรที่จะเศร้าโศกถึงการ
ตายของดิฉัน ที่สุดแห่งการนิพพานของดิฉันใกล้เข้ามาแล้ว พ่อเอ๋ย
พระศาสดาพ่อได้ทูลให้ทรงยินยอมจึงได้ทรงอนุญาตให้เราบวช
ลูกเอ๋ย พ่ออย่าเสียใจไปเลย ความพยายามของพ่อมีผล ก็บทใดที่
ติตถิกาจารย์ทั้งหลายผู้เก่าแก่ไม่เห็น บทนั้นอันเด็กหญิงซึ่งมีอายุ ๗
ขวบรู้แจ้งประจักษ์แล้ว พ่อจงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ การที่ดิฉัน
ได้เห็นพ่อครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บุคคลไปในทิศใดแล้วไม่ปรากฏ
ดิฉันก็จะขอลาไปในทิศนั้นนะลูก ในกาลบางคราวพระนายกเจ้าผู้
เลิศโลกกำลังทรงแสดงธรรมอยู่ พระองค์ทรงถามแล้วครั้งนั้น ดิฉัน
เกิดความสงสารกล่าววาจาถวายพระพรว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ขอ
พระองค์จงมีพระชนมชีพอยู่นานๆ ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์จง
ดำรงพระชนม์อยู่ตลอดกัป เพื่อความเกื้อกูลและประโยชน์แก่โลก
ทั้งปวงเถิด ขออย่าให้พระองค์ทรงพระชราและปรินิพพานเสียเลย
พระพุทธเจ้าพระองค์ได้ตรัสกะดิฉันผู้กราบทูลเช่นนั้นว่า ดูกรพระ-
นางโคตมี พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอันบุคคลชมเชย เหมือนอย่าง
ที่ท่านชมเชยอยู่มิได้ ดิฉันได้ทูลถามว่าก็แลด้วยประการเป็นดังฤา
พระคถาคตผู้สัพพัญญูจึงชื่อว่าอันบุคคลพึงชมเชยด้วยประการเป็น
ดังฤา พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าอันบุคคลไม่ชมเชย พระองค์อันหม่อมฉัน
ถามถึงเหตุนั้นแล้ว ขอได้ตรัสบอกเหตุนั้นแก่หม่อมฉันเถิด พระ-
องค์ตรัสตอบว่าท่านจงดูพระสาวกทั้งหลายผู้ปรารภความเพียร ตั้งใจ
แน่วแน่ มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ เป็นคนพร้อมเพรียงกันนี้ การ
ชมเชยพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ต่อแต่นั้น ดิฉันไปสู่สำนักนางภิกษุณี
อยู่ผู้เดียว คิดเห็นแจ้งชัดว่า พระนาถะผู้ถึงที่สุดแห่งไตรภพ
ทรงพอพระทัยบริษัทที่สามัคคีกัน มิฉะนั้น ดิฉันจะนิพพานเสีย ดิฉัน
อย่าได้พบความวิบัตินั้นเลย ครั้นดิฉันคิดดังนี้แล้ว ได้ไปเฝ้าพระ-
พุทธเจ้าผู้อุดมกว่าฤาษีทั้งปวง แล้วได้กราบทูลกาลเป็นที่ปรินิพพาน
กะผู้นำชั้นพิเศษ ลำดับนั้น พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้ดิฉันดังนี้ว่า
จงรู้กาลเอาเถิดพระนางโคตมี ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
พระพุทธศาสนา ดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.


• พระเถรีสำคัญในสมัยพุทธกาล

• การแต่งตั้งโฆษกทำหน้าที่ประกาศข่าวทางศาสนา - หลวงพ่อพระมหาประกอบ ธมฺมชีโว

• (5 นาที) นำนั่งสมาธิยามเช้า | Morning meditation for better life | EP.99

• โครงการ “บวชพุทธสาวกสาวิกา” เจริญภาวนาตามหลัก“มหาสติปัฏฐานสูตร” ด้วยวิธี "ไตรสิกขา"

• [5 นาที] สมาธิเพื่อดึงดูดสิ่งดีๆ | สุขภาพ เงิน ชีวิตที่ต้องการ คุณเรียกได้!! | โปรแกรมสมอง | EP.161

• แก่นสารของอานาปานสติ 2/2 โดย พระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ

RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย