คำถามนี้ก็ยังสงสัยอยู่ว่าอาจเป็นความเชื่อเฉพาะบางที่บางแห่งก็ได้ โดยเฉพาะคนเหนือเชื่อกันว่าหากตายไปแล้วจะไปอยู่กับพ่อเกิดแม่เกิด คำว่า "พ่อเกิดแม่เกิด" นั้นหมายถึงอะไร ขอขอบคุณครับ
"พ่อเกิดแม่เกิด" ชาวภาคเหนือเชื่อว่า พ่อเกิดแม่เกิดนี้อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า เป็นผู้ที่ส่งหรืออนุญาตให้วิญญาณแต่ละดวงมาเกิดในโลกมนุษย์ ..
เป็นความเชื่อที่"งมงาย"ขาดเหตุผลที่เป็นจริง เทียบได้กับลัทธิความเชื่อในศาสนาที่มี"พระเจ้า"ผู้สร้างทุกสิ่ง ทุกอย่าง เกิดจากความไม่รู้เพราะขาดปัญญา มีแต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้นที่ประจักษ์ด้วยพระปัญญาอันไม่มีผู้ใดเทียบได้ว่าทุกสิ่งล้วนเกิดมาด้วยการประชุมกันของเหตุปัจจัยหลายๆอย่าง ไม่มีอะไรเลย เกิดด้วยอำนาจของพระเจ้าบันดาล หรือเกิดเพราะบังเอิญหรือเกิดลอยๆโดยไม่มีเหตุปัจจัยมาก่อน... แม้การที่คุณ yo ได้อ่านคำตอบนี้ ก็มาจากเหตุคือกุศลที่ทำมาในอดีต ไม่ได้"บังเอิญ"แน่นอน...
ความเชื่อเรื่องพ่ิอเกิดแม่เกิด เป็นความเชื่อของผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิ เพราะไม่เคยฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า
ไม่เป็นไปเพื่อความมีปัญญาพ้นทุกข์ และจะพาผู้เชื่อวนอยู่ในสังสารวัฏอีกยาวนานจนหาที่สุดไม่ได้ เขาจะเกิดมาเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิเสมอ เหมือนนกที่ติดอยู่ในตาข่ายของนายพราน
อันมิจฉาทิฏฐินี้ พึงทราบว่าเป็นอันตรายยิ่งกว่าการทำกรรมหนักชั่ว๕อย่าง(อนันตริยกรรม)เสียอีก จึงควรทำความเห็นให้ตรงด้วยการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ย่อมชื่อว่า "เป็นมงคล"แก่ตน
ดังนั้นพึงเร่งหาที่พึ่งอันเกษมเสียโดยเร็วคือการถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งหรือสรณะ เร่งประพฤติศีล ๕ให้มั่นคง ศึกษาพระธรรมคำสอนเพื่อปัญญาพาตนพ้นทุกข์ได้แท้จริง...
พึงทราบว่าไม่มีใครจะส่งใครไปเกิดที่ไหนๆได้ นอกจากตัวเราเอง ..กรรมที่ทำมาย่อมพาเราไปเกิดตามเจตนาที่เคยประกอบไว้นั่นแล..
สาธุครับท่านddman
ผมตอบความจริงทีไร ลบทิ้งทุกที งั้นให้พระศาสดาตอบเรื่องพ่อเกิดแม่เกิดดีกว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง นั้น มีอยู่
ถ้าไม่มี ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความเป็นไปของธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่ มีธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง ความเป็นไปของธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้
(อิตติวุตตก กัณฑ์ ที่ 1825/275 ว่าด้วยเรื่อง ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่ - จากพระไตรปิฎก ฉบับ ประชาชน หน้า 55)
ย้ำ!!! ถ้าไม่มี a. ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความเป็นไปของb. ธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้
ถ้าไม่มี a. คือ อสังขตธาตุ(นิพพาน) b. คือ โลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ก็จะปรากฏไม่ได้
ย้ำท่อนสอง!!! เพราะเหตุที่ มี a.ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง ความเป็นไปของ b. ธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้
เพราะเหตุที่มี a. คือ อสังขตธาตุ(นิพพาน) ความเป็นไปของ b. คือ โลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ จึงเกิดขึ้น
สรุป
อสังขตธาตุ(นิพพาน) เป็นผู้ทำให้เกิด สังขตธาตุ (โลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์)
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง นั้น มีอยู่
ถ้าไม่มี ธรรมชาติที่ ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความเป็นไปของธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่ มีธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง ความเป็นไปของธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้”
(อิตติวุตตก กัณฑ์ ที่ 1825/275 ว่าด้วยเรื่อง ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่ - จากพระไตรปิฎก ฉบับ ประชาชน หน้า 55)
จากพระไตรปิฎกฉบับประชาชนของท่านสุชีพ ที่คุณอ้างถึง
ดิฉันได้ตรวจสอบแล้วทั้งที่เป็นฉบับเอกสาร และในลิ้งค์ (ตามที่ยกมาข้างล่าง)
พบว่า
ความที่คุณ godama DT09511 ยกมาไม่ถูกต้อง
ทำให้การตีความของผู้อ่านผิดไป
การยกมาอ้างอิงจะต้องยกความมาทั้งหมดค่ะ
และต้องไม่ไปเปลี่ยนแปลง และตู่คำและความของเอกสารที่นำมาอ้างค่ะ
เพราะก่อให้เกิดความเสียหายต่อแหล่งที่ถูกอ้างอิง
เช่น คำว่า "ธรรมชาติที่ไม่เกิด" กับคำว่า "ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด"
มีความหมายต่างกันค่ะ
ท่านผู้อ่านลองตรวจสอบดูตามที่คุณ godama DT09511 ยกมา
และที่ดิฉันลิ้งค์มาให้ค่ะ ซึ่งได้ตรวจสอบฉบับที่เป็นเอกสาร
และที่ลิ้งค์แล้วว่าตรงกันค่ะ
๑๘. ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่
ถ้าไม่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง
ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง
ก็จะปรากฏไม่ได้
เพราะเหตุที่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง
ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง จึงปรากฏได้."
อิติวุตตก ๒๕/๒๕๗
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/interest/part2.html
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ
อนุโมทนาครับแม่หิ้งห้อย
และผมก้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม่ทางเว๊ปที่ท่านgodama
เข้าไปโพสถึงแบนชื่อเขาออกมาเพราะเขาตีความหมายพระไตรปิฏกผิดไปและเอาความเห็นส่วนตัวใส่ลงไปอ่านแล้วทำให้....
ผู้ที่รู้ก็คงไม่เป็นไรครับ
แต่ผู้ที่ไม่รู้อ่านแล้วกลัวว่าท่านทั้งหลายจะเห็นผิดตาม
คุณหิ่งห้อยน้อยครับ
ไม่ว่า ข้อความที่ผมคัดมาจะเป็น คำว่า "ธรรมชาติที่ไม่เกิด" หรือ"ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด" ก็ตาม ผลมันไม่ต่างกันหรอกครับ
(อิตติวุตตก กัณฑ์ ที่ 1825/275 ว่าด้วยเรื่อง ธรรมชาติ ที่ไม่มีจุดเกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่ - จากพระไตรปิฎก ฉบับ ประชาชน หน้า 55)
ลองเอาข้อความที่คุณค้นมาใส่เข้าไป
ถ้าไม่มี a. ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความเป็นไปของb. ธรรมชาติที่เกิดที่เป็น ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้
=
ถ้าไม่มี a. คือ อสังขตธาตุ(นิพพาน) b. คือ โลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ก็จะปรากฏไม่ได้
ท่อนสอง!!! เพราะเหตุที่ มี a.ธรรมชาติ ที่ไม่เกิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง ความเป็นไปของ b. ธรรมชาติ ที่เกิด ที่เป็น ที่มี ใครทำ ที่อะไร ปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้
=
เพราะเหตุที่มี a. คือ อสังขตธาตุ(นิพพาน) ความเป็นไปของ b. คือ โลก จักรวาล และสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ จึงเกิดขึ้น
อีกอย่าง "ธรรมชาติที่ไม่เกิด" หมายความว่าอะไรล่ะครับ ไม่ได้หมายความว่า "ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด" หรือครับ
คุณ 8 q เขียน:
และผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม่ทางเว๊ปที่ท่านgodama
เข้าไปโพสถึงแบนชื่อเขาออกมาเพราะเขาตีความหมายพระไตรปิฏกผิดไปและเอาความเห็นส่วนตัวใส่ลงไปอ่านแล้วทำให้....
ผู้ที่รู้ก็คงไม่เป็นไรครับ
แต่ผู้ที่ไม่รู้อ่านแล้วกลัวว่าท่านทั้งหลายจะเห็นผิดตาม
ตอบ...ทำไมคุณไม่คิดกลับกันล่ะครับว่า ผมตีความถูกต้อง แต่คณะสงฆ์ และปถุชน ที่ไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติไม่ถึงขั้น ตีความหมายพระไตรปิฏกผิดไป และจริงๆผมแทบจะไม่ต้องตีความอะไรเลย ผมเพียงแต่นำอวิชชาที่บังจิตผู้คน ออกไปเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีอคติและมีทิฏฐิมานะ เขาย่อมเข้าใจพุทธพจน์ ที่ผมเอาอวิชชาออกให้แล้ว ได้เอง
เมื่อวานเว็บdhammajak.net ก็ไล่ผมออกตลอดชีพอีกครั้งหนึ่ง สาเหตุก็คือ ไม่มีผู้ใดสามารถหาหลักฐานมาค้านพุทธพจน์ที่ผมนำมาลงได้ เพราะผมเปิดเผยธรรมะของพระพุทธเจ้า มารเขาเลยไม่พอใจ
ผมจะบอกคุณนะ เว็บศาสนาเป็นเว็บที่ซ่อนของมาร ใครมีแนวโน้มจะเข้าถึงโลกุตตระธรรม มารเขาจะรีบสิงใจทีมงานเว็บมาสเตอร์ให้กำจัดคนผู้นั้นทิ้ง
เมื่อสัปดาห์ก่อน เว็บdhammakaya.orgก็ไล่ผมออกตลอดชีพอีกครั้งหนึ่ง และทำลายทุกกระทู้ที่ผมเคยลง มารมันกะ จะไม่ให้มีคนอ่านข้อความที่เป็นความจริงในพระไตรปิฎกเลย จะให้ผู้คนเชื่อผิดๆตลอดไป
เว็บธรรมะไทย ผมคิดว่าอีกไม่นานก็คงไล่ผมออกเช่นเดียวกัน
ฉันยินดีรับอ่านทุกกระทู้ที่คุณ godama ไปโพสไว้ในที่ต่าง ๆ ฉันเห็นประโยชน์ของความแตกต่างและความรู้เฉพาะตนของแต่ละบุคคล ส่วนฉันจะหยิบอะไรให้กับตัวเองนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ฉันมีภาระกิจที่ต้องรับผิดชอบทางโลกมาก ไม่มีเวลาเข้าไปติดตามอ่านตามเวปต่างๆ ทุกวัน เมื่อเข้ามาอ่าน กระทู้ที่สนใจมักจะถูกลบไปแล้วเป็นประจำ หากไม่เป็นการลำบากนัก ขอความกรุณาคุณ godama ส่งกระทู้และคำตอบที่โพสไว้ไม่ว่าจากที่ใดให้ฉัน ตาม Mail ข้างล่างนี้จะได้หรือเปล่า หากลำบากก็ไม่ต้องนะค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
E-mail : siri898@hotmail.com
เช่น คำว่า "ธรรมชาติที่ไม่เกิด" กับคำว่า "ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด" มีความหมายต่างกันค่ะ -หิ่งห้อยน้อย
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาครับคุณแม่หิ่งห้อยน้อย ชัดเจนแล้วว่ามีการบิดเบือนดัดแปลงข้อความเอามาตีความตามใจ เป็นอันตรายแก่ธารณชน น่ากลัวจริงๆ สังสารวัฏนี้ไม่ปลอดภัยเลย
ผู้ที่รู้ก็คงไม่เป็นไรครับ แต่ผู้ที่ไม่รู้อ่านแล้วกลัวว่าท่านทั้งหลายจะเห็นผิดตาม- 8q
เห็นด้วยครับท่าน 8q
สาธุ ครับท่านป้าหิ่งห้อยน้อย
เมื่อวานเว็บdhammajak.net ก็ไล่ผมออกตลอดชีพอีกครั้งหนึ่ง สาเหตุก็คือ ไม่มีผู้ใดสามารถหาหลักฐานมาค้านพุทธพจน์ที่ผมนำมาลงได้ เพราะผมเปิดเผยธรรมะของพระพุทธเจ้า มารเขาเลยไม่พอใจ
ผมจะบอกคุณนะ เว็บศาสนาเป็นเว็บที่ซ่อนของมาร ใครมีแนวโน้มจะเข้าถึงโลกุตตระธรรม มารเขาจะรีบสิงใจทีมงานเว็บมาสเตอร์ให้กำจัดคนผู้นั้นทิ้ง
godama DT09511 [8 ก.ค. 2552 13:16 น.] คำตอบที่ 10
ไม่สงสัยสักนิดว่าทำไมถึงถูกไล่แล้วไล่อีก
นี่คุณgodama ถ้าคุณบอกว่าเว็ปนี้เป็นเว็ปมาร แล้วคุณเข้ามาทำไม
เห็นกระทู้ของคุณที่ถูกลบไปก็กล่าวหาว่าเขาเป็นเว็ปพวกเดียรถีร์
แล้วคุณเข้ามาโต้กับเขาทำไมกัน งง งง งง
พระองค์ทรงตรัสไว้ไม่ให้คบกับพาล ไม่ให้เสวนากับพาล
คุณกลับไม่เชื่อพระพุทธองค์นี่นา หรือเป็นพาลเหมือนกันคะ
เท่าที่อ่านดู คนอื่นที่เขาแย้งคุณ เขาก็ยกพระไตรปิฎกมาเช่นเดียวกัน
แต่เขามิได้บิดเบือนภาษา
หรืออย่างคุณ *8q* ยกมาหลายๆ กระทู้ ถึงไม่ได้บอกว่ามาจากพระไตรปิฎก
แต่ก็เอามาจากอภิธรรม 9 ปริเฉท ที่มหาลัยสงฆ์เขาเรียนกัน นั่นก็เรื่องของเขา
เพราะเป็นตำราเรียน ที่เขาเรียนกัน
แต่คนที่แต่งตำรา โดยนำพระไตรปิฎก ไปตบแต่งใหม่เพื่อใช้เป็นผลงานทางวิชาการ
นั่นก็เป็นเรื่องที่จิตของพวกเขาต้องรับผิดชอบ ยามเมื่อถึงกาละ
การสอนธรรมที่ผิดไปจากคำสอน 555555 ผลรออยู่แล้วค่ะคุณ
การบรรลุมรรคผลก็ช้าหน่อย (คงอีกหลายอสงไขย)
ทั้งๆ ที่ตั้งใจดี แต่ไม่ตรวจสอบธรรมที่นำมา
กมฺมุนา วตฺตตี โลโก ค่ะคุณ
ขออนุญาตท่านเวปมาสเตอร์ค่ะ
ฉันเคารพในวิจารณญาณและหน้าที่ของท่านค่ะ
เรื่องที่ฉันสนใจ คือเรื่องที่
1. พระพุทธเจ้า
2. วิญญาณ
5. สำนึกบาป
3. ตีความศีล 5
6. คำสอนพระอรหันต์
อีก 3-4 วัน ผมจะไปค้นส่งไปให้ครับ
พอจะใช่สติปัญญาที่มีอยู่(น้อย)แยกแยะได้ครับว่าใครถูกใครผิด ใครควรใส่ใจไม่ควรใส่ใจ แต่อยากขอให้ธรรมไทยอย่าไล่เขาเลยครับ อ่านสนุกดี(จะบาปไหมหนอเราหาเรื่องแท้แท้)
สาธุครับช่าง พอ MBK
บัดนี้ เรายังไม่ควรจะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้วโดยยาก
เพราะธรรมนี้อันสัตว์ผู้อันราคะและโทสะครอบงำแล้วไม่ตรัสรู้ได้ง่าย
สัตว์ผู้อันราคะย้อมแล้วถูกกองอวิชชาหุ้มห่อแล้ว
จักไม่เห็นธรรมอันละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่จะเห็น ละเอียดยิ่ง
อันจะยังสัตว์ให้ถึงธรรมที่ทวนกระแสคือนิพพาน.
พระพุทธเจ้าข้า
ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงแสดงธรรม ขอพระสุคตได้โปรดทรงแสดงธรรม
เพราะสัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีในจักษุน้อยมีอยู่
เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี
พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำทูลอาราธนาของพรหม และทรงอาศัยความกรุณา
ในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ
เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย
ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุมากก็มี
ที่มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี
ที่มีอาการดีก็มี ที่มีอาการทรามก็มี
ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี
ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี.
มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริก
ในกอบุณฑริกที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ
บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้
บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ
บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว.
เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว
สัตว์เหล่าใดจะฟังจงปล่อยศรัทธามาเถิด
ดูกรพรหม เพราะเรามีความสำคัญในความลำบาก
จึงไม่แสดงธรรมที่เราคล่องแคล่ว ประณีต ในหมู่มนุษย์.
เราเปิดประตูแห่งความรู้พุทธศาสนาที่ถูกต้องแก่ท่านแล้ว
มนุษย์และเทพพรหมเหล่าใดจะฟัง จงปล่อยศรัทธามาเถิด
ดูกรพรหม เพราะหมู่มารล่อลวงชาวพุทธเป็นจำนวนมาก
เราจึงมาเพื่อชนหมู่มาร
เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว
สัตว์เหล่าใดจะฟังจงปล่อยศรัทธามาเถิด
ดูกรพรหม เพราะเรามีความสำคัญในความลำบาก
จึงไม่แสดงธรรมที่เราคล่องแคล่ว ประณีต ในหมู่มนุษย์
หิ่งห้อยน้อย DT0018 [9 ก.ค. 2552 20:11 น.] คำตอบที่ 19
เราเปิดประตูแห่งความรู้พุทธศาสนาที่ถูกต้องแก่ท่านแล้ว
มนุษย์และเทพพรหมเหล่าใดจะฟัง จงปล่อยศรัทธามาเถิด
ดูกรพรหม เพราะหมู่มารล่อลวงชาวพุทธเป็นจำนวนมาก
เราจึงมาเพื่อชนหมู่มาร
godama DT09511 [11 ก.ค. 2552 01:14 น.] คำตอบที่ 20
อ่าน ทบทวน ที่เขียนดูสิคะ
ว่าเป็นถ้อยคำ และความ ที่สมควรหรือไม่
ดิฉันเชื่อในปัญญาของคุณ
และคุณสามารถเข้าไปแก้ไข วาจา ที่กล่าวออกมานั้นได้
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=4&item=9&items=1&preline=0
ขอบคุณที่ทำให้ฉันต้องศึกษาหาความรู้จากพระไตรปิฎกที่บันทึกไว้ตามภาษาบัญญัติและทบทวนพระไตรปิฎกจากภายในเพิ่มขึ้น เพื่อหาคำตอบจากที่คุณแสดงไว้
คุณลองหาวิธีที่จะอยู่ในเวปนี้ให้ได้นานๆ ก็ไม่เลวนะ คุณแม่หิ่งห้อยน้อยแนะไว้ก็ไม่เลวอีกเช่นกัน แต่สำหรับฉัน ฉันเพียงรู้ ถ้ามนุษย์เห็นกันง่าย ๆ ก็พ้นกันหมดสิ ไม่หลงเหลือในวัฏฏะ ก็คงจะเหงาแย่
ขอบคุณที่ทำให้ฉันต้องศึกษาหาความรู้จากพระไตรปิฎกที่บันทึกไว้ตามภาษาบัญญัติ
และทบทวนพระไตรปิฎกจากภายในเพิ่มขึ้น เพื่อหาคำตอบจากที่คุณแสดงไว้
arunsuk DT09532 [11 ก.ค. 2552 02:58 น.] คำตอบที่ 22
แสงอรุณงามผ่องแผ้ว จับตา
มวลหมู่เหล่าสกุณา กู่ก้อง
ดอกบัวล่องธารา เผยอกลีบ ล่อภู่
หมู่เนื้อสัตว์ป่าร้อง เร่งเร้าโรมรัน
กุลบุตร เมื่อสัทธา ย่อมเข้าใกล้
จิตสดใส เพราะสัทธา พาสู่ขวัญ
เมื่อเข้าใกล้ ย่อมนั่งใกล้ ไม่ห่างกัน
ทุกคืนวัน คอยสดับ จับเทศนา
เมื่อสนใจ น้อมใจ ใฝ่ธรรมะ
มิลดละ สดับไว้ ในปุจฉา
ย่อมได้ยิน พระสัทธรรม จากกัลยาฯ
วิสัชนา น้อมโยนิโส มนสิการ
พิจารณา ด้วยกริยา ไม่วอกแวก
มิยอมให้ สิ่งอื่นแทรก เข้าประสาน
พิจารณา ธรรมะ มนสิการ
จิตเบิกบาน รู้ธรรม นำสัจจา
เมื่อปรารภ สัทธรรมของ ตถาคต
จิตกำหนด ซึ้งอรรถ (อัด-ถะ) ละกังขา
ย่อมซาบซึ้ง ในธรรม ของศาสดา
ความปราโมทย์ ในธัมมา บังเกิดมี
เมื่อปราโมทย์ จิตโลดสู่ ปีติยิ่ง
เมื่อปีติ กายสงบนิ่ง ระงับนี่
ผู้มีกายสงบ ย่อมเสวยสุข ในทันที
เมื่อสุขี จิตก็ตั้งมั่น ในบัดดล
จิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ในอาเพศ
ละกิเลส สู่เส้นทาง กลางกุศล
ไม่หวั่นไหว ไม่ยินดี ที่เกิดดล
ไม่ยินร้าย ในผล ยลมิคลาย
สิกขาธรรม ได้เห็นธรรม ฉ่ำชื่นจิต
ธรรมสถิต กลางหทัย ไม่สลาย
สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ ไม่หย่อนคลาย
สิ่งที่หมาย ย่อมไม่กลาย อริยชน
ธ ตรัสไว้ บัณฑิตเป็น ผู้ชี้ทรัพย์
คณานับ ประโยชน์ไซร้ ไปทุกหน
เป็นผู้กล่าว นิคคหะ ชี้โทษตน
ปัญญาชน ควรไขว่คว้า หาเมธี
มวลกัลยาฯ บัณฑิตใด ไหนจะเท่า
พระผ่านเกล้า องค์สัมมา สง่าศรี
พระกรุณา ยิ่งกว่า มหานที
ทรงชี้วิธี ชี้มรรคา พาให้เดิน
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ
อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณแม่หิงห้อยน้อย และกัลญาณมิตรทุกท่าน
ขอบคุณค่ะสำหรับการต้อนรับ ฉันขอฝากเนื้อฝากตัวค่ะ กัลญาณมิตรเป็นสิ่งสำคัญในการศึกษาธรรม การถกปัญหาจากหัวข้อธรรมที่ตั้งขึ้นจึงมีประโยชน์มาก เพราะทำให้ฉันได้ค้นคว้าทั้งจากพระไตรปิฏกเชิงลึกเพื่อวิเคราะห์ข้อธรรมนั้นให้ละเอียดเปรียบเทียบกับประสบการณ์ธรรมภายในที่ได้ปฏิบัติแล้วเกิดผล ในที่สุดจะเข้าใจและได้คำตอบให้กับตัวเอง
จริงๆแล้วทุกคนไม่มีใครถูกทั้งหมด และไม่มีใครผิดทั้งหมด (หากมองเป็น ไม่มีอะไรผิดไม่มีอะไรถูกในโลกใบนี้)
ฉันเคยฟังธรรมจากท่านพระพรหมคุณาภรณ์ท่านเทศน์ไว้ว่า มนุษย์ทั้งหลายแต่ละกลุ่ม แต่ละเผ่าพันธุ์ เมื่อรวมกันเป็นสังคม ก็จะต้องมีระเบียบกฎเกณฑ์เพื่อที่จะทำให้สังคมมีระเบียบ ตั้งอยู่ได้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ในสมัยพุทธกาลสาวกที่จะเข้าไปเผยแผ่ธรรม สาวกก็จะต้องเรียนรู้กฎระเบียบ ประเพณี นิสัย ของชนเผ่านั้น แล้วปรับตัวเข้าหาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้น สาวกนั้นจึงเผยแผ่ธรรมให้กับสังคมนั้นได้โดยง่าย แม้จะมีอุปสรรคบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะมนุษย์แต่ละคนมีอัตตาหนาบางต่างกัน บางคนมีมาก บางคนมีน้อย บางคนไม่มีจนบางครั้งดูกระด้างไป ในที่สุดก็ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ทั่วกัน
ขอบคุณทุกท่านค่ะ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี
นี้เป็นกึ่งหนึ่งแห่งพรหมจรรย์เทียวนะ พระเจ้าข้า.
ดูกรอานนท์
เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น
ก็ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว
ดูกรอานนท์
อันภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า
จักเจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘.
สาธุเจ้าค่ะ
คุณอรุณสุข
ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับอาราธนาของท้าวสหัมบดีพรหม เจ้าค่ะ
และเปรียบเทียบมนุษย์ที่จะบรรลุธรรมได้เป็น ๔ จำพวก
และเปรียบมนุษย์เช่นบัว ๓ เหล่า เจ้าค่ะ
พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำทูลอาราธนาของพรหม และทรงอาศัยความกรุณา
ในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ
เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย
ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุมากก็มี
ที่มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี
ที่มีอาการดีก็มี ที่มีอาการทรามก็มี
ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี
ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี.
มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริก
ในกอบุณฑริกที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ
บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้
บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ
บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว.
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ
มีนิทานเล่าให้ฟัง
มีวัวอยู่นับจำนวนค่ามิได้ซึ่งมีความทุกข์เวทนามาก นั่นคือความหิว(ด้วยความโลภ โทสะ
และโมหะ)แต่อยากจะไปกินน้ำแต่ก็ไม่ยอมเดินไป บ่นอยู่ทุกวี่ทุกวันว่าหิวทั้งๆที่ก็เห็นอยู่
ว่าทางน้ำมันอยู่ใกล้ๆๆแค่นี้เองแค่ข้ามสะพานไปก็ได้กินน้ำอย่างสบายใจแล้ว
มักจะรอให้หนองน้ำมาหา
เพราะฉะนั้นเราทุกคนไม่ควรจะเอาอย่างวัวพวกนั้นนะ เห็นธรรมแล้ว เห็นนิพพานแล้วควร
จะตั้งใจไปกันนะ (ธรรมนั้นก็คือทางเดิน)พิจารณาธรรมนั้นให้รู้โลกและตัวเองอย่างแจ่ม
แจ้งกันเถิด
เจริญในธรรมนะคับ
1. ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่ = นิพพาน(นิโรธ)มีอยู่จริง
2. ถ้าไม่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ = ถ้าไม่มีนิพพาน(ไม่มีนิโรธ)แล้วไซร้ หนทางเพื่อเดินทางสู้นิพพาน (อริยมรรค) ก็ย่อมไม่มี
3.เพราะเหตุที่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง
ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง จึงปรากฏได้."
= เพราะเหตุที่นิพพาน(นิโรธ)มีจริงนั่นเอง หนทางการปฏิบัติ(อริยมรรค)ย่อมมี
นั่นคือถ้าไม่เห็นว่าสังขตธรรมคือสภาพที่มีปัจจัยปรุงแต่ง (รูป นาม ) เป็นทุกข์ในทุกขสัจจะ ย่อมไม่เห็นต้นเหตุของการเกิดทุกข์ (สมุทัยสัจจะ) ย่อมเป็นปัจจัยที่จะไม่อยากออกจากทุกข์ เมื่อไม่อยากออกจากทุกข์ในสังขตธรรม ยังยินดีพอใจในสังขตธรรม ความตระหนักหรือเพียรปฏิบัติเพื่อออกจากสังขตธรรมย่อมไม่มี คือไม่หาทางพ้นทุกข์นั่นเอง การก้าวถึงฝั่งพระนิพพานก็ไม่มี .....ทางมีอยู่ แต่ผู้เดินทางหามีไม่
ไม่อยากทะเลาะกับใคร แสดงความเห็นเพียงนี้