ย่ากับปู่ของดิฉันเสียชีวิตมาประมาณ 4 ปีแล้วค่ะ ดิฉันทำบุญรอบปีอยู่ทุกปี จนที่ผ่านมามีคนบอกให้ดิฉันทำแบบง่ายๆ คือ เมื่อถึงเวลาทำบุญรอบปีก็ให้จัดปิ่นโตไปถวายพระเหมือนเราไปวัดปกติ เขาให้เหตุผลว่าถ้าเรามัวแต่ผูกมัดเขาไว้แบบนี้ทำให้ไม่ได้ไปผุดไปเกิด แล้วถ้าหากดิฉันจัดปิ่นโตไปถวายพระตามปกติ
แล้วปู่กับย่าจะได้ผลบุญเหมือนการทำบุญรอบปีไหมค่ะ
ได้เหมือนกัน แค่เพียงเราทำบุญแล้วอุทิศส่วนบุญกุศล ก็ส่งตรงให้ได้เหมือนกัน แค่จิตใจเราคิดให้พร้อมกับการกระทำ
ลองดูนี้นะครับท่านผูรู้ตอมไว้
สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณเดฟ และ เพื่อนธรรมะทุกท่าน
วันนี้ดิฉันมีเรื่องขอรบกวนค่ะ
การไหว้บรรพบุรุษแบบจีนคือพอถึงกำหนดวันเสียชีวิต
ในแต่ละครั้งหรืออื่นๆจะมีการจัดไหว้ มีอาหารต่างๆนานา
พร้อมทั้งเวลากำหนดให้การไหว้ แล้วจึงจะลา
เพื่อทุกคนนำมารับประทานกัน
1) จริงหรือไม่ที่วิญญาณจะมารับอาหาร หรือ อะไรก็ตาม
ตามความเชื่อ ในวันนั้นๆ
2) แล้วถ้าเราไม่ไหว้ แต่เราเปลี่ยนเป็นการสวดมนต์
และส่งกุศล ให้แทนเช่นนี้ ได้หรือไม่
3) แบบไหนคือสิ่งที่ทำแล้วดวงวิญญาณของ
บรรพบุรุตจะได้รับมากกว่าและแน่นอนกว่า
ตั้งแต่ดิฉันได้ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่อง
การไหว้ดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายปีแล้วค่ะ
ถ้าที่บ้านมีการจัดไหว้ถ้าไม่สะดวก หรือบางครั้งก็
ไม่ต้องการไปร่วมไหว้กับทุกๆคน แต่ดิฉันเปลี่ยนเป็นสวดมนต์แทน
รบกวนคุณเดฟ และ ทุกคนช่วยให้ความกระจ่างทีค่ะ
อนุโมทนาสาธุค่ะ
สิริกร
1) จริงหรือไม่ที่วิญญาณจะมารับอาหาร หรือ อะไรก็ตาม
ตามความเชื่อ ในวันนั้นๆ
ทันทีที่เราทุกคนตาย
จะต้องเกิดทันทีคับ
สุดแล้วแต่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด สถานะใด
จะเป็น เทวดา เปรต อสุรกาย สัตว์ในนรก
ดิรัจฉาน หรือเกิดเป็นมนุษย์อีก
ก็สุดแล้วแต่กรรมใดจะเป็นชนกกรรมนำเกิด
ส่วนที่เราเรียกว่า วิญญาณ นั้น
ก็คือ จิต นั่นเอง
และในภพภูมิที่มีขันธ์ 5
รูปกาย กับ วิญญาณ (จิต) จะต้องเกิดร่วมกันเสมอ
ไม่ได้มีวิญญาณเปล่าๆ ไปล่องลอยเคว้งคว้างแต่อย่างใด
อย่างที่เราเคยเห็นในหนัง ในละคร
เวลาที่เรากระทำบุญกุศลต่างๆ แล้วอุทิศให้เค้า
เค้าจะได้รับหรือไม่ ขึ้นอยู่กับฐานะของเค้า คือ
1. ต้องเกิดในภพภูมิที่ล่วงรู้การอุทิศได้
2. ต้องมีส่วนบุญกุศลจากการอุทิศเป็นอาหาร
3. ต้องเกิดกุศลจิตอนุโมทนาในบุญกุศลที่อุทิศให้
หากขาดอย่างใดอย่างนึงไป จะเป็น อฐานะ
คือไม่อยู่ในฐานะที่จะรับอานิสงส์ไพบูลย์จากการอุทิศได้
ผู้ที่อยู่ในฐานะนี้ คือ เปรต เท่านั้นคับ (ปรทัตตุปปชีวิกเปรต)
เมื่อเปรตล่วงรู้การอุทิศ และเกิดกุศลจิตอนุโมทนา
ผลจากการอนุโมทนาของเค้านั่นเอง
เป็นอานิสงส์ให้เค้าได้รับอาหารพ้นจากความหิวโหย
และบางครั้งก็อาจพ้นจากสภาพความเป็นเปรตได้
ถ้าเค้าเกิดเป็นเทวดา
เราก็สามารถอุทิศให้ได้เช่นกันคับ
แต่ว่าเทวดามีอาหารทิพย์อย่างเทวดา
ไม่ได้มีส่วนบุญจากการอุทิศเป็นอาหาร
ดังนั้น เมื่อเทวดาล่วงรู้และเกิดกุศลจิตอนุโมทนา
ก็ไม่ช่วยให้เทวดาหายหิวโหย
แต่จะเป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นสั่งสม
คนเป็นก็เช่นกันคับ เราอุทิศให้คนเป็นได้
ด้วยการบอกกล่าวให้เค้าล่วงรู้
จะไปบอกด้วยตนเอง หรือ โทรศัพท์ไปบอก
อีเมล์ไปบอก ฯลฯ ได้ทั้งนั้นเลยคับ
แต่คนก็มีอาหารอย่างคน
เมื่อเค้าล่วงรู้และเกิดกุศลจิตอนุโมทนา
ก็ไม่ได้ทำให้เค้าหายหิวโหย
แต่จะเป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นสั่งสม
ดังนั้น การที่เราบูชาเซ่นสรวงด้วยอาหาร (อามิสบูชา)
ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะมากินอาหารนั้นเหมือนอย่างเราน่ะคับ
อาหารที่เราจัดเตรียมก็ยังคงอยู่ เอามากินต่อได้ใช่มั้ยคับ
ได้เหมือนกัน แค่เพียงเราทำบุญแล้วอุทิศส่วนบุญกุศล ก็ส่งตรงให้ได้เหมือนกัน แค่จิตใจเราคิดให้พร้อมกับการกระทำ
ได้เหมือนกัน แค่เพียงเราทำบุญแล้วอุทิศส่วนบุญกุศล ก็ส่งตรงให้ได้เหมือนกัน แค่จิตใจเราคิดให้พร้อมกับการกระทำ
2) แล้วถ้าเราไม่ไหว้ แต่เราเปลี่ยนเป็นการสวดมนต์
และส่งกุศล ให้แทนเช่นนี้ ได้หรือไม่
ประเพณีการบูชาเซ่นสรวงบรรพบุรุษ
เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีนิยม
ที่พี่น้องชาวจีนปฏิบัติกัน
เพื่อเป็นการระลึกนึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ
แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูแม้ท่านจะล่วงลับไปแล้ว
และวันนั้น มักจะเป็นถือว่าเป็นวันรวมญาติด้วย
ใครที่ห่างหายไปไกล
ก็จะกลับมารวมตัวได้พบปะกัน
เป็นการสืบสานสัมพันธ์อันดี
เอื้ออาทรกันในหมู่เครือญาติด้วย
เราจะไม่ทำก็ได้
แต่ญาติพี่น้องอาจจะค่อนขอดเอาได้อ่ะนะคับ
ทั้งนี้.....
ถ้าไม่กล่าวถึงพิธีกรรมตามประเพณีแล้ว
การที่เราจะน้อมระลึกนึกถึงพระคุณของท่าน
และกระทำบุญกุศลแล้วอุทิศให้ผู้ตายนั้น
สามารถกระทำได้มากมายหลายอย่างเลยคับ
และสามารถจะกระทำได้ทุกที่ ทุกวัน ทุกเวลา
โดยไม่ต้องรอเทศกาลใดๆ เลยน่ะคับ
ลองดูรายละเอียดเกี่ยวกับ
บุญกริยาวัตถุ 10 ประการ นะคับ
จะทราบว่า ความดี หรือ บุญกุศลนั้น
กระทำได้มากมายหลายอย่าง
ทั้งทางกาย วาจา และใจ
ซึ่งการสวดมนต์ที่ประกอบด้วยสมาธิ สติ
น้อมไปตามความหมายหรือคำสอนตามบทสวด
ก็เป็นบุญกุศล เป็นคุณความดีอย่างนึงที่ได้กระทำคับ
และการกระทำความดี หรือบุญกุศลทุกอย่าง
สามารถอุทิศส่วนกุศลได้เช่นกันคับ
3) แบบไหนคือสิ่งที่ทำแล้วดวงวิญญาณของ
บรรพบุรุตจะได้รับมากกว่าและแน่นอนกว่า
อ่ะคับ ทั้งหมดได้เรียนให้ทราบดังรายละเอียด
ในข้อ 1 และ ข้อ 2 แล้วน่ะคับ
จะเห็นได้ว่าในส่วนของเรานั้น
เราสามารถกระทำความดีอันเป็นบุญกุศล
ได้ทุกอย่างเลยคับ ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล ภาวนา
ไม่เลือกว่าจะบุญเล็กบุญใหญ่
ตั้งใจกระทำให้ดีที่สุดทุกๆ อย่าง
ตามโอกาส ตามกำลัง ตามเหตุปัจจัยในส่วนของเรา
แล้วก็เอื้อเฟื้ออุทิศบุญกุศลนั้นให้กับเค้า
นี่จบในส่วนของเราแล้วนะคับ
สำหรับในส่วนของเค้า
จะได้รับหรือไม่นั้นก็ขึ้นกับเหตุปัจจัยของเค้าแล้ว
ว่าอยู่ในฐานะหรือไม่ ดังที่เรียนไว้ตอนต้น
ดังนั้น เราทำในส่วนของเราให้ดีที่สุดน่ะคับ
โดยไม่ต้องไปวิตกกังวลว่าเค้าจะได้รับหรือไม่
เพราะทุกอย่างที่เรากระทำ
ย่อมเป็นผลดีที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น
ไม่ว่าเค้าจะได้รับหรือไม่ก็ตามอ่ะคับ
ทำใจให้สบาย
ไม่ต้องห่วงในส่วนของเค้านะคับ
เรากระทำในส่วนของเราให้ดีที่สุดแค่นั้นเองคับ
อนุโมทนาคับ
เดฟวัดเกาะ
ขอบคุณมากนะค่ะที่ได้ให้ความกระจ่าง
ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วจะได้รับ ปัตติทานมัยนั้นหรือไม่
พระพุทธอค์ทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนในชานุโสสณสูตร ว่า
ผู้ที่จะได้รับนั้นมีกลุ่มเดียวคือเปรต
ส่วนทานที่ทายก(ผู้ให้) กระทำ
ไม่ว่าปฏิคาหก(ผู้รับนั้น) จะได้รับหรือไม่
ทายก(ผู้ให้)เป็นผู้ ไม่ไร้ผลค่ะ
ท่านโคดมผู้เจริญพวกข้าพเจ้าได้นามว่าเป็นพราหมณ์ ย่อมให้ทาน ย่อมทำความเชื่อว่า
ทานนี้ต้องสำเร็จแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้ว
ขอญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วจงบริโภคทานนี้
ท่านโคดมผู้เจริญ
ทานนั้นย่อมสำเร็จแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วหรือ
ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วเหล่านั้นย่อมได้บริโภคทานนั้นหรือ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์
ทานนั้นย่อมสำเร็จในฐานะแล ย่อมไม่สำเร็จในอฐานะ ฯ
ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
มีความอยากได้ของผู้อื่น มีจิตปองร้าย มีความเห็นผิด
บุคคลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงนรก เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพอยู่ในนรกนั้น
ย่อมตั้งอยู่ในนรกนั้น ด้วยอาหารของสัตว์นรก
ดูกรพราหมณ์
ฐานะอันเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล เป็นอฐานะฯ
ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
มีความอยากได้ของผู้อื่น มีจิตปองร้าย มีความเห็นผิด
บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนั้น
ย่อมตั้งอยู่ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนั้น
ด้วยอาหารของสัตว์ผู้เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน
ดูกรพราหมณ์
แม้ฐานะอันเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล ก็เป็นอฐานะฯ
ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม
จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ
ไม่มีความอยากได้ของผู้อื่น มีจิตไม่ปองร้าย มีความเห็นชอบ
บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของพวกมนุษย์
เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพในมนุษย์โลกนั้น
ย่อมตั้งอยู่ในมนุษย์นั้นด้วยอาหารของมนุษย์
ดูกรพราหมณ์
แม้ฐานะอันเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล ก็เป็นอฐานะฯ
ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม
จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ
ไม่มีความอยากได้ของผู้อื่น มีจิตไม่ปองร้าย มีความเห็นชอบ
บุคคลนั้นเมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเขาย่อมเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเทวโลกนั้น
ย่อมตั้งอยู่ในเทวโลกนั้น ด้วยอาหารของเทวดา
ดูกรพราหมณ์
แม้ฐานะเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แลก็เป็นอฐานะฯ
ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
มีความอยากได้ของผู้อื่น มีจิตปองร้าย มีความเห็นผิด
บุคคลนั้นเมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงเปรตวิสัย เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเปรตวิสัยนั้น
ด้วยอาหารของสัตว์ผู้เกิดในเปรตวิสัย
หรือว่ามิตร อำมาตย์หรือญาติสาโลหิตของเขา
ย่อมเพิ่มให้ซึ่งปัตติทานมัยจากมนุษย์โลกนี้
เขาเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเปรตวิสัยนั้น
ย่อมตั้งอยู่ในเปรตวิสัยนั้น ด้วยปัตติทานมัยนั้น
ดูกรพราหมณ์
ฐานะอันเป็นที่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล เป็นฐานะ ฯ
จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต ชาณุสโสณีสูตร
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ