ไปแล้วเหรอ
คนงามรู้ไหมนี่
ไม่อย่างนั้นมันจะรับกันหรือ
กุฏิงามเจ้าของไม่งามอยู่ไม่ได้ ต้องงามต่องามด้วยกันซี
งามไหมล่ะ
งาม
ไม่งามได้หรือ "เสกให้งามนี่วะ"
...........................................
เสกให้งามนี่วะ
มุสาวาทา เวรมณี
นี่จะ ๙๕ แล้วนี่ เดือนสิงหาวันที่ ๑๒ เก้าสิบห้าเต็ม บวชมาได้ ๗๓ ปี นี่ยังไม่เกิดเราบวช อ้าว จริงๆ ยังไม่เกิดเราบวช บวชดูได้ ๗๓-๗๔ ปีแล้วมัง
........................................
อุปทานสัญญายังอยู่
อุปทานขันธ์ ๕ ยังอยู่
ทุกข์ยังอยู่
ยังไม่รู้จักทุกข์
จึงยังไม่รู้จัก สมุทัย นิโรธ มรรค
แต่เราก็ไม่วิตกวิจารณ์ พูดให้ฟังชัดๆ เสีย เราไม่วิตกวิจารณ์กับการเป็นการตายจะไปเกิดที่ไหนต่อที่ไหน
........................................
ฌาน ๑ มี วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา
ไม่วิตกวิจารณ์ : เป็นไปได้ 2 กรณี คือจิตทรงฌาน ๒ หรือจิตไม่ได้อยู่ในสัมมาสมาธิ
แต่อุปทานสัญญายังอยู่ นิวรณ์ยังอยู่ แน่นอน จิตไม่ได้ทรงฌาน ไม่ได้มีสมาธิ
สรุป ฟุ้งซ่าน แต่เป็นฟุ้งในธรรม
ไปฟังธรรมพ่อแม่ครูจารย์เราสงสัยมรรคผลนิพพาน เรียนก็เรียนมามากเท่าไรความสงสัยมรรคผลนิพพานว่ายังมีอยู่หรือไม่ มันก็สงสัยอยู่นั้น พอไปฟังท่านเท่านั้นหายหมดเลย พอหายก็ทุ่มเลยที่นี่ เรียกว่าเอาละที่นี่เราจะให้ถึงนิพพานในชาตินี้
..............................
ไม่รู้จักทุกข์ (ไม่รู้จักอุปทานสัญญา)
ไม่รู้จักสมุทัย (อยากให้ชาวบ้านรับรู้ว่าตนเองปฏิบัติมามากขนาดไหน)
ไม่รู้จักสัมมาสมาธิ (ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ วิตก วิจารณ์)
แล้วจะหวังอะไรกับนิโรธ นิพพาน
นิวรณ์ ยังอยู่ แม้แต่นิโรธ ชั่วคราว วิกขัมภนนิโรธยังไม่เกิดเลย
ออกเที่ยวกรรมฐานไปองค์เดียว ไม่เอาใครไปด้วย พ่อแม่ครูจารย์ท่านก็เสริมเลย
...........................................
หาก ไม่เป็นสมรัก คำสิงห์ (ผมไม่ได้โม้) ต้องพูดว่า
ออกธุดงค์ไปองค์เดียว ไม่เอาใครไปด้วย
ธุดงค์ คือ ดงแห่งทุกข์ มี ๑๓
ซึ่งการทำธุดงค์นี้ ทำเพื่อให้รู้ว่า การเกิดทุกข์ เกิดได้อย่างไรบ้าง
พอรู้จักทุกข์แล้ว ก็ให้รู้ว่านี่คือเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ด้วยแบบนี้ก็หาวิธีดับ แล้วก็ให้รู้ว่าทุกข์ดับแล้ว
ชาติกา หารู้วิถีหงส์
สาธุในธรรมครับ
..................................................................
อย่าประมาท กรรม และผลของกรรม
หิริ ความละอายต่อบาป
โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลของบาป
มีสติ ไม่ให้กายนำใจ หรือใจนำกาย
เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม