ขอจงมีความสุข
พ้นจากความทุกข์เถิด
บุคคลละบุตร ภริยา บิดามารดา ทรัพย์
ข้าวเปลือก พวกพ้อง และกามซึ่งตั้งอยู่ตามส่วนแล้ว พึงเที่ยวไป
ผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น
บัณฑิตทราบว่า ความเกี่ยวข้องใน
เวลาบริโภคเบญจกามคุณนี้มีสุขน้อย มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก
ดุจหัวฝี ดังนี้แล้วพึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น
แนะนำให้ ทำทั้ง 2 ศาสนาเลยค่ะ
คุณได้เปรียบผู้อื่นนะคะ สามารถนำคำสอนของ 2 ศาสนามาประยุกต์ใช้ได้
ในชีวิตประจำวัน เวลาคุณอยู่กับครอบครัวเก่า คุณก็นับถือคริสต์
เวลาคุณอยู่คนเดียว หรือกับแฟน คุณก็นับถือพุทธซิคะ ได้เปรียบดีออกนะคะ
ก็ให้เปรียบเสมือน เรามีแฟนฝรั่ง แต่มีพ่อกับแม่เป็นคนไทย เวลาพูดกับพ่อแม่เรา ก็ต้องพูดภาษาไทย เวลาพูดกับแฟนฝรั่ง ก็ต้องพูดภาษาอังกฤษอะไรทำนองเนี๊ยะแหล่ะค่ะ
อย่าคิดมากเลยค่ะ ท่านต้องเข้าใจเราบ้าง เพราะชีวิตเป็นของตนเอง ทุกคนค่ะ
ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของการเรียนรู้ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตใจ
เป้นการเรียนรู้ ความจริงต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ในจิตใจทุกๆคน
พุทธเราสอนให้ตามรู้ ตามดุ ความจริงในใจเหล่านั้น
ว่าจิตใจทำกิจกรรมอย่างไรแล้วได้มาซึ่งความสุขความทุกข์
เราเรียนรู้ที่จะมองกระบวนการสร้างความสุข หรือความทุกข์ ในใจคนให้ออก (เรียนรู้วิธีที่จิตปรุงแต่งแล้วพัฒนาต่อไปเป้นสุขทุกข์ต่างๆนาๆ)
เราตามรู้ตามดูความจริงเหล่านั้นอยู่เนืองๆ นับครั้งไม่ถ้วน
จนวันหนึ่งเรายอมรับความจริงเหล่านั้น
แล้วจิตใจเราจึงเกิดความหน่ายในการทำกิจกรรมที่เป้นเหตุแห่งทุกข์
เราจึงถึงความดับทุกข์
เหมือนกองไฟกองทุกข์ ที่เราหยิบเอาฟืนออกไป ไฟจึงดับ
การนับถือศาสนาพุทธ ไม่จำเป้นต้องนับถือ ไม่ต้องทำพิธีกรรมก็ได้
ไม่ต้องทำอะไรเพื่อแสดงออกเลยก็ได้
เพราะพระศาสดาเอง ตอนที่ค้นพบสิ่งเหล่านั้น ไม่ได้ทำสิ่งที่เรียกว่าศาสนพิธี
แต่ท่านก้เข้าถึงอริยสัจจ อันเป็นสัจจะธรรมที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
จุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาของพระศาสดานั้น
ต้องการให้เรารู้แจ้งในอริยะสัจมากกว่าอะไรทั้งหมด
การนับถือศาสนาพุทธ ท่านเลือกรับไปแต่เฉพาะแก่นก็ได้ อย่านับถือลุบคลำเอาแต่เปลือก
แก่นกับเปลือกนั้นเกื้อกูลกันอยู่ แต่เปลือกคือเปลือก ไม่ใช่แก่น
แก่นคือแก่น ไม่ใช่เปลือก
แก่นนี้ไม่มีสี ไม่มีโลโก้ ไม่มีใครเป้นเจ้าของ มันเป้นความจริงในธรรมชาติที่พระศาสดาค้นพบแล้วอยากรวบรวมมาอธิบายให้เราฟัง
ส่วนปลือกไม้นั้น มันเป้นของมีสี มีโลโก้ มีเจ้าของ
ถ้าเวลาเอาไปแล้วมันลำบากก็อย่าเอา อย่าแบกไปด้วย
เอาแต่ของจำเป็นก็พอ "เอาแค่เท่าที่ใช้แล้วได้ผล ใช้แล้วไม่เดือดร้อนก็พอ"
ท่านสวดมนต์แบบไหนก็ได้ เราต้องการผลลัพธ์อย่างเดียว คือความพอดีๆของจิตใจ สมดุลย์ของจิตใจ
จะพูดว่าสงบก็ได้้ แต่ไม่เฉื่อยชาหย่อนยาน หรือไม่ฟุเฟื่องตึงเค้น
ถ้าสวดแล้วไม่เป้นไปเพื่อความพอดีๆ ยิ่งสวดยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งสวดยิ่งเฉื่อย
อันนั้นไมไ่ด้ประโยชน์อะไร
ไม่ต่างจากโยคีกำลังทรมานตัวเอง หรือคนธรรพ์กำลังบำเรอตัวเอง
มีแค่คำตอบแบบ่สองข้าง คือไม่สุขก้ทุกข์ หาตรงกลางไม่เจอ
www.wimutti.net
ฟัง mp3 ของหลวงพ่อปราโมทย์บ่อยๆ จะเข้าใจเอง
เห็นด้วยกับคุณ nabha
ทำทั้ง 2 อย่างไปก่อนดีแล้วครับ
ทุกศาสนามีส่วนดี เราก็ควรนำส่วนที่ดีมาปฏิบัติ
อะไรที่เราเห็นว่าไม่มีเหตุผล เราก็อย่าเพิ่งไปโต้แย้งกับเขา
ถ้าเราทำดีของเราไปเรื่อยๆ แล้วทำให้เราพัฒนาตัวดีขึ้น ไม่นานคนในครอบครัวก็จะเข้าใจเอง
นี่คือวิธี เอาชนะด้วยความดี
ขอให้ประสบผลสำเร็จ และมีความสุขความเจริญใรธรรมนะครับ
ขออนุโมทนาเจ้าของกระทู้ครับ
ก่อนอื่นผมต้องขออภัยหากความเห็นของผมตรงเกินไปจนไม่ถูกใจใครๆ อาจดูเหมือนกับการดูหมิ่นศาสนาอื่น แต่ขออ้างอานุภาพแห่งพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะเหนือเศียรเกล้าของผม
เป็นพยานณ. ที่นี้ว่า ผมมีเพียงเจตนาบริสุทธิ์ที่จะสงเคราะห์เพื่อนร่วมทุกข์ด้วยความจริงเพื่อ ประโยชน์เกื้อกูลเท่านั้น
จนวันนึง ดิฉัน คบกับแฟน ค่ะ เค้านับถือศาสนาพุทธ และก็ได้เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง เช่น บาป บุญ กรรม สวรรค์ นรก ฯลฯ โดยที่ฉันก็ชอบฟังนะคะเพราะว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างกับที่ดิฉัน ได้ศึกษาทางคำสอนของคริสต์ โดยศาสนาพุทธ เน้นหลักที่เป็นเหตุและผล จนดิฉันคิดจะเปลี่ยน ศาสนาเลยค่ะ
การท่ีคุณมีความสนใจคำสอนของศาสนาพุทธและเห็นว่ามีเหตุผลนั้น จนถึงขั้นนึกอยากเปลี่ยนศาสนา แม้จะเกิดมาในครอบครัว ตลอดจนรับข้อมูลศาสนาคริสต์มาตั้งแต่เกิดแล้วก็ตาม แสดงว่าคุณได้เคยมี
บุญเก่าที่ได้สั่งสมมาในอดีตชาติ หลายๆชาติ คือคงเคยได้ฟังธรรม
และมีศรัทธาบ้างแล้ว แต่เพราะศรัทธายังคลอนแคลนอยู่ จึงได้มาเกิดในตระกูลต่างศาสนา และเมื่อเกิดมาตระกูลต่างศาสนาก็ย่อมเป็นความยากยิ่งที่จะสามารถปรับเปลี่ยนทิฏฐิของตนให้เป็นอย่างอื่นได้
นับว่าเป็นอันตรายแก่ตนเองทั้งในปัจจุบันและภพต่อๆไปเพราะเหตุใด เพราะเขาจะคบคุ้นกับทิฏฐิประจำครอบครัว จนในที่สุดเขาจะถึงความกล้าแข็งในทิฏฐิความเชื่อนั้นจนหมดโอกาส
ท่ีจะได้ยินแม้คำสอนของพระพุทธเจ้าแม้จะอยู่ติดกับวัด หรือแม้แต่ได้อยู่ข้างๆพระพุทธเจ่้าก็ตาม
ศาสนาพุทธนั้น ไม่สาธารณะต่อบุคคลทั้งหลาย เพราะหากไม่เคยได้มีโอกาสฟังและ ศรัทธามาในชาติก่อนๆมาบ้างแล้วหรือไม่มีความฉลาดคิด (= โยนิโสมนัสสิการ)แล้ว ต่อให้เอาเอ็ม 16 มาจ่อบังคับให้นับถือก็ไม่รับครับ กล่าวตรงๆคือ ผู้ที่มีบุญเท่านั้นที่จะมีศรัทธายอมรับนับถือศาสนาพุทธ ได้อย่างแท้จริง
ศาสนาพุทธ แตกต่างจากศาสนาอื่นตรงที่ สอนให้มีปัญญาไม่ได้บังคับให้ใคร
เชื่อด้วยบทลงโทษใดๆ เป็นคำสอนที่วางอยู่บนหลักเหตุผลที่เป็นความจริงสากล (universal truth) ไม่มีใครปฏิเสธได้ และท้าทายให้พิสูจน์เสมอเเละเป็นความจริงที่เที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนไปตาม
ยุคสมัยหรืออารมณ์ของใครๆ แม้พระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน(ตาย) ก็ไม่มีใครมาคัดค้านได้ว่าสิ่ง
ท่ีพระองคทรงสอนนั้นไม่จริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่หยาบที่สุดจนรายละเอียดลึกเร่ืองของจิตท่ีวิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง เป็นคำสอนที่นำเราออกจากทุกข์ได้จริงถึงขั้นสูงสุดที่ศาสนาอื่นไม่สามารถทำได้ (แต่หลอกคนให้เชื่อว่าทำได้
โดยไม่มีความจริงรองรับและขาดเหตุผล)และเป็นศาสนาที่สอนเน้นในวิถีแห่งการกระทำด้วยตนเองไม่มุ่งการสวด
อ้อนวอนร้องขอรอรับความช่วยเหลือจากใคร(เพราะที่แท้จริงแล้วไม่มีใครทำอะไรให้แก่ใครได้จริงๆ ) เพราะเหตุนี้จึงยากที่คนจะยอมรับนับถือเพราะชอบสบายด้วยการอ้อนวอนขอเอาจากผู้เป็นใหญ่
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่าผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไปจะได้เกิดวนเวียนอยู่ใน
ข่ายแห่งมิจฉาทิฏฐิแล้วๆเล่า หาทางออกไม่เจอ เรียกว่าปิดตายวนอยู่ในสังสารทุกข์ ที่นับไม่ได้ว่ายาวนานเท่าใด
ท่านทรงใช้คำว่า หาเบ้ืองปลายมิได้ เมื่อต้องเวียนตายเวียนเกิดในสังสารวัฏไม่รู้จบ ก็เป็นผู้ท่ี"แหงนหน้าหาศาสดา"บ่อยๆ ชาตินี้ศาสดานี้ ชาติต่อไปอีกศาสดาหนึ่ง ถ้าหากไปเจอศาสดาทสอนว่าฆ่าคนนอกศาสนาไม่บาปแต่เป็นบุญ
เช่นที่ขับเครื่องี่บินพุ่งชนตึก World Trade Centerที่อเมริกาเป็นต้นเป็นการฆ่าคนจำนวนมาก ลำพังฆ่าตาย 1 ชีวิตก็มีผลให้ต้องไปนรกเป็นร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้างหรือนับไม่ถ้วน ขึ้นอยู่กับ "คุณ" ของแต่ละบุคคล เช่นเป็นคนมีศีลหรือไม่มีศีล แล้วฆ่าจำนวนมากนั้นลองคิดดูว่าจะได้ใช้สิทธิพิเศษนี้ในนรก นานเท่าใด? และพอสิ้นกรรมจากนรก ก็เวียนมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่อแล้วจึงมีโอกาสได้เกิดเป็นคน หากมีบุญแรงพอ เพราะตอนเป็นสัตว์ส่วนมากก็ทำแต่อกุศล ตายไปก็กลับนรก
บ้านเดิม ยากท่ีจะหลุดออกมาครับ คิดดูแล้วน่าหวาดเสียวครับ สังสารวัฏนี้ไม่ปลอดภัยด้วยประการ
ทั้งปวง ปุถุชนอย่างผม ก็มีสิทธิ์ ไปแหงนหน้ามองหาศาสดาเช่นกันเพราะยังไม่บรรลุโสดาบันซึ่งมีสัมมา ทิฏฐิที่ที่มั่นคงไม่หวั่นไหวแล้ว
ถ้าคุณ beyour สังเกตุให้ดีจากความเห็นของท่านอื่นๆจะเห็นว่าไม่มีใครเลยที่ฟันธงแนะนำว่า ให้เปลี่ยนศาสนามาถือพุทธ เพราะศาสนาพุทธไม่มุ่งเน้นการแพร่ศาสนาเพื่อหาสาวกแต่เป็นไป่เพ่ือ "สงเคราะห์" เพื่อนร่วมทุกข์ให้พ้นทุกข์เท่านั้น ใครจะนับถือหรือไม่ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
ผมเองคงไม่บังอาจแนะนำให้คุณทำอะไรอย่างไร เเต่เพียงเสนอข้อมูลให้พิจารณาเพื่อการตัดสินใจด้วยตนเอง
เพราะเคารพในเอกสิทธิ์ของแต่ละบุคคลอันเป็นท่าทีหลักของพระพุทธศาสนาเช่นกันครับ
หากสุดวิสัยจริงๆผมแนะนำว่าเวลาคุณเข้าโบสถ์ลองตั้งอธิษฐานในใจ
ขอให้ได้พบคำสอนที่ "เป็นความจริง"ทุกชาติครับ
ขอให้บุญกุศลที่คุณbeyour ได้ทำมาไว้แล้ว เป็นปัจจัยให้คุณ beyourได้พบคำสอนท่ีเป็นสัมมาทิฏฐิ และมีศรัทธาถึงพร้อมอันจะเป็นปัจจัยต่อไปในภพหน้าเทอญ
การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก
สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ ณ วัดเชตวัน มีอุบาสก 5 คน เป็นเพื่อนกัน มานั่งฟังธรรม ทั้ง 5 คนต่างมีกิริยาอาการต่างๆกัน คนหนึ่งนั่งหลับ คนหนึ่งนั่งเอานิ้วเขียนพื้นดินเล่น คนหนึ่งนั่งเขย่าต้นไม้ คนหนึ่งนั่งแหงนดูท้องฟ้า มีเพียงคนเดียวที่นั่งฟังด้วยอาการสงบ
พระอานนท์กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "ทำไมอุบาสกเหล่านี้จึงแสดงกิริยาเช่นนั้น"
พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่าอดีตชาติของอุบาสกแต่ละคนว่า
อุบาสกที่นั่งหลับ เคยเกิดเป็นงูมาแล้วหลายร้อยชาติ เขาหลับมาหลายร้อยชาติแล้วก็ยังไม่อิ่ม แม้แต่ฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ธรรมะก็ไม่เข้าหู ยังหลับอยู่อย่างนั้น
อุบาสกที่เอานิ้วมือเขียนพื้นดินเคยเกิดเป็นไส้เดือนมาหลายร้อยชาติ นั่งเอานิ้วเขียนบนพื้นดินเล่นอยู่อย่างนั้นด้วยอำนาจความประพฤติที่ตัวเคยทำมา ก็ไม่ได้ยินธรรมะของพระพุทธเจ้าเช่นกัน
อุบาสกที่นั่งเขย่าต้นไม้อยู่นั้น เกิดเป็นลิงมาแล้วหลายร้อยชาติ ถึงบัดนี้ก็ยังเขย่าต้นไม้อยู่ ไม่ได้ยินธรรมะของพระพุทธเจ้าเช่นกัน
อุบาสกที่นั่งแหงนดูท้องฟ้านั้น เคยเกิดเป็นพราหมณ์บอกฤกษ์ด้วยการดูดาวมาหลายร้อยชาติ ถึงบัดนี้ก็ยังคงนั่งดูท้องฟ้าอยู่ ไม่ได้ยินธรรมะของพระพุทธเจ้า
อุบาสกที่นั่งฟังธรรมอย่างสงบด้วยความเคารพ เคยเกิดเป็นพราหมณ์ศึกษาธรรมะและปรัชญา ค้นคว้าหาความจริงมาหลายร้อยชาติ มาบัดนี้ได้พบพระพุทธเจ้า ตั้งใจฟังธรรมด้วยดี จนได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่าชาติก่อนเราเกิดเป็นอะไรหนอ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยาก ต้องมีบุญมาก อุปมาเหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่งดำน้ำอยู่ในทะเล ทุกๆ 100 ปี เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่หัวขึ้นมาจากทะเลครั้งหนึ่ง ในทะเลก็มีห่วงเล็กๆขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าหน่อยหนึ่งลอยอยู่ 1 ห่วง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา แล้วหัวสวมเข้ากับห่วงพอดียากเพียงใด โอกาสนั้นก็ยังมีมากกว่าการที่เหล่าสรรพสัตว์จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์
เมื่อพูดถึงจิตวิญญาณที่ท่องเที่ยวในวัฎสงสารไม่ว่าจะในภพภูมิใด มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต ยักษ์ สัตว์นรก เทวดา พรหม ฯลฯ กล่าวได้ว่า "มนุษย์" เป็นภพภูมิที่ประเสริฐสูงสุด ในโลกมนุษย์นี้ โดยอาศัยอัตภาพร่างกายของมนุษย์จิตของเรามีโอกาสที่จะมีประสบการณ์ได้ทุกภพ เมื่อเราเกิดมา เราอาศัยพ่อแม่มาเกิด กายของเราเป็นมนุษย์ก็จริงแต่จิตใจก็เป็นได้สารพัดอย่าง เปรียบชีวิตมนุษย์เป็นเหมือนห้องทดลอง
คนขี้เกียจ กินแล้วก็นอน กินแล้วก็นอน ชีวิตก็ไม่ต่างอะไรกับงู
คนที่ชอบทะเลาะวิวาท ต่อยกัน ตีกัน ก็เป็นเหมือนไก่ชน
คนที่ซุกซนอยู่เฉยไม่ได้ ก็เหมือนกับลิง
หรือบางคนชีวิตเป็นทุกข์เดือดร้อนใจ จนบอกว่าเหมือนตกนรกทั้งเป็นก็เป็นใจที่มีประสบการณ์เหมือนตกนรก
คนที่ไม่รู้จักพอ มีเท่าไรก็ยังหิวโหย อยากจะได้อยู่ร่ำไป ก็เป็นใจเปรต
บางคนถือตัวถือตน ชอบใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้อื่น ก็มีใจเหมือนยักษ์
บางคนรักสวยรักงาม รักอารมณ์ดี ใจดีมีหิริโอตตัปปะ ก็เป็นใจเทวดา
บางคนบำเพ็ญสมาธิภาวนาเข้าฌานเป็นรูปพรหม อรูปพรหม ก็มีใจเป็นพรหม
คนที่ประพฤติตนเหมาะสมกับเป็นมนุษย์ ก็มีใจเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
มนุษย์ แปลว่า ใจสูง หมายถึงมีจิตใจสูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน เปรต ยักษ์ สัตว์นรก มนุษย์รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ มีหิริโอตตัปปะ ละอายเกรงกลัวต่อบาป ประพฤติตนอยู่ในกรอบของกฎหมายธรรมเนียมประเพณี ตามหลักพุทธศาสนาก็คือมีศีลธรรม การรักษาศีล 5 คือการรักษาคุณธรรมความเป็นมนุษย์ รักษาศีล 5 ได้ก็เท่ากับรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์
ในฐานะมนุษย์ ไม่มากก็น้อยที่ใจของเราได้มีประสบการณ์ในภพชาติอื่นๆทั้งที่ต่ำกว่าและสูงกว่าภพภูมิมนุษย์ เรามีปัญญาที่จะรู้ได้จากประสบการณ์ของเราแล้วว่าอะไรดีอะไรไม่ดี การเกิดเป็นมนุษย์ถ้าดีก็ดีได้มากๆ แต่ก็น่ากลัวเหมือนกัน เพราะถ้าประมาทก็ทำชั่วได้มาก ถ้าไม่ประมาท รักษาศีล 5 ทำความดี สร้างบารมี ตั้งใจพัฒนาชีวิตจิตใจแล้วก็สามารถมีประสบการณ์สูงขึ้น เป็นเทวดา พรหม ตลอดจนเข้าถึงอริยมรรค อริยผล บรรลุนิพพานได้ มนุษย์จึงเป็นชาติที่มีทางเลือก
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
เป็นการยากที่ได้เกิดเป็นมนุษย์
เป็นการยากที่ชีวิตสัตว์จะได้อยู่สบาย
เป็นการยากที่จะได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ
เป็นการยากที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติมา
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เราจึงควรเห็นคุณค้าของการเกิดเป็นมนุษย์ อย่าให้เสียโอกาส เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เอาใจใส่รักษาความเป็นมนุษย์ไว้ให้มั่นคง ถึงจะเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ตาม แต่จิตใจก็เป็นไปได้ใน 2 ทาง คือ
ใจต่ำ เป็นอกุศลจิต ใช้ชีวิตอย่างประมาทขาดสติ เป็นทางของสัตว์เดรัจฉาน เปรต ยักษ์ สัตว์นรก
ใจสูง เป็นกุศลจิต ดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา ไม่ประมาท สร้างกุศลกรรมความดี สร้างบารมี เป็นทางของมนุษย์ เทวดา พรหม อริยมรรค อริยผล นิพพาน
ดังนั้นสำหรับการเกิดเป็นมนุษย์ในชาติหนึ่ง การเลือกทางดำเนินชีวิตของเราจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
ศาสนาทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ( แต่ดีไม่เท่ากัน ) ถามว่าระหว่างพระรัตนตรัย กับบิดามารดา ท่านจะเลือกสิ่งใด ตายแล้วเกิดใหม่ก็ยังมีพ่อแม่ใหม่ได้ แต่ตายแล้วจะพบกับพระรัตนตรัยอีกหรือไม่ เราก็ไม่รู้ การบังเกิดขึ้นของพระรัตนตรัยนี้แสนยาก การได้ฟังธรรมที่ถูกต้องก็แสนยาก การมีพ่อแม่ในภพชาติต่างๆยังแสนง่ายกว่า ตัวอย่างจากท่านพระสารีบุตร แม้มีแม่นับถือศาสนาอื่น ท่านก็ยังบวชในพุทธศาสนา พระพรหมเทวเถระแม้ว่าแม่ของท่านจะนับถือศาสนาพราหมณ์ บูชาพระพรหม ต่อต้านการบวชของพระลูกชาย ท่านก็ยังเลือกพุทธศาสนา จะหาว่าลูกอกตัญญูก็ตาม ในที่สุดท่านได้เป็นพระอรหันต์ พระรัฐบาล พ่อแม่ไม่ยอมให้บวช ท่านยอมอดอาหารถ้าไม่ให้บวชก็จะขออดอาหารตาย ...ฯลฯ ลองคิดดู