@ ..วิบากใด ใยน้ำท่วม !

 นิวพุดเดิล   27 ต.ค. 2553

@ ..วิบากใด ใยน้ำท่วม !

@ คนโคราชทุกข์อ่วม น้ำท่วมเอ่อ !
เพิ่งเคยเจอน้ำท่วม อ่วมสุดสุด
ไหลทะลักเร็วรี่ ปรี่เร่งรุด
บ้านเรือนทรุด ข้าวจม ระทมระทวย

@ ถนนขาด ไฟดับ หลับหลับตื่นตื่น
เสียงครืนครืน ฟ้าคำราม น้ำเอ่อห้วย
พุ่งเข้าใส่ ไร่นา พางงงวย
ยากจะช่วย สะกัด ซัดโครมโครม

@ ภูมิศาสตร์ เรียนรู้ อยู่โคราช
ใครจะคาด คิดว่า น้ำถาโถม
เป็นที่ราบ สูงสุด ดุจหลังโดม
น้ำจู่โจม วันเดียว เชี่ยวกรากเลย

@ วิบากกรรม ใดหนอ ใคร่ขอถาม
อุทกภัย คุกคาม ตามข่าวเอ่ย
ข้าวในนาจมน้ำช้ำจริงเอย
ช่วยเฉลยหน่อยซี วิบากใด ?

...... หลายท่านอาจเจอน้ำท่วมเหมือนผม แต่ปีนี้ผมว่า"โคราช"เจอหนักสุด มันแปลกตรงที่ว่าเมืองโคราชได้ชื่อว่าเป็นที่ราบสูงของประเทศไทย แล้วเหตุใดใยเล่าจึงเกิดน้ำท่วมหนักสุด ๆ ...พุดเดิล   




วิบากกรรม ใดหนอ ใคร่ขอถาม
อุทกภัย คุกคาม ตามข่าวเอ่ย
ข้าวในนาจมน้ำช้ำจริงเอย
ช่วยเฉลยหน่อยซี วิบากใด ...พุดเดิล

วิบากกรรม นำพา ชีวาเศร้า
อุทกภัย ทำเอา เราโศกไหม
เวลานี้ทุกคนต้องคล้องดวงใจ
น้ำท่วมไทย ไทยช่วยกัน ฝันกลับคืน

ที่ผ่านมาผ่านไปไม่คงมั่น
รูป เวทนา สัญญา ไปไม่ควรฝืน
สังขาร วิญญาณ ล้วนไม่ยั่งยืน
เพียงรู้ตื่น เป็นลักษณะ สังขตะ ปรุง

ทุกสิ่งอัน นั้นเกิดจาก ธาตุทั้งสี่(ห้า)
ดิน ลม(อากาศ) ไฟ น้ำ มีที่ต่ำสูง
สูงสุดสู่สามัญท่านเกื่อกูล
มุ่งสู่ศูนย์ "สุญญตา" น่าภิรมย์(อิ่มเอม)

"เจริญสติ มีธรรมะ ครับผม"


********************

ธรรมทั้งหลายเป็น
อนัตตา อนัตตานั้นท่านแสดงโดยนัย
เป็น ๓ คือบังคับไม่ได้ เช่น ในอนัตต-
ลักขณสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
แสดงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ บังคับไม่ได้ เพราะบังคับไม่
ได้ จึงไม่ใช่ตน นี้อย่างหนึ่ง. ธรรมทั้ง
หลายทั้งที่เป็นสังขตะ ทั้งที่เป็นอสังขตะ
ตามความเป็นจริงไม่ใช่ตน. ธรรมที่เป็น
สังขตะ ก็คือสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง อัน
เห็นกันอยู่อันรู้กันอยู่รอบตัว ตั้งต้นแต่
กายของตนเองก็เป็นสังขตะ เพราะเกิด
มีมาด้วยปัจจัยคือเหตุปรุงแต่ง ก็เป็นไป
ตามลักษณะของสังขตะ คือความเกิด
ปรากฏหนึ่ง ความเสื่อมสลายปรากฏหนึ่ง
ความแปรปรวนไม่อยู่คงที่ปรากฏหนึ่ง นี้
เป็นลักษณะของสังขตะ, ส่วนอสังขตะสิ่ง
ที่ปัจจัยไม่ได้ปรุงแต่ง : ในทางโลกหรือ
เป็นโลกีย์ เป็นส่วนโลก ก็ได้แก่ต้นเดิม
ของธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม หรือ
เติมอากาศช่องว่างอีกหนึ่ง เป็น ๕, ต้น-
เดิมของธาตุทั้ง ๔ หรือ ๕, นี้มีประจำอยู่
เสมอในโลก เมื่อมีโลก ก็มีส่วนที่เป็นต้น
ของดินน้ำไฟลมอากาศ เมื่อแสดงอาการ
ออกมาก็เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟ เป็นลม
เป็นอากาศ ที่บุคคลเห็นอยู่รู้อยู่. อสังขตะ
ในทางธรรม ตามทางพิจารณา ก็ได้แก่ธาตุ
รู้ แต่ธาตุรู้ตามลำพัง ก็ไม่ปรากฏ เหมือน
ดังไฟที่ไม่ติดเชื้อ ก็ไม่ปรากฏเป็นดวงเป็น
สีเป็นความร้อนที่เกิดจากไฟติดขึ้น, ธาตุรู้
เดิม ถ้าไม่มีดินน้ำไฟลมอากาศ ซึ่งเป็น
ธาตุไม่รู้เข้าประสมก็ไม่ปรากฏ ดินน้ำไฟ
ลมอากาศที่เป็นธาตุไม่รู้ เมื่อไม่มีธาตุรู้เข้า
มาประสมก็ไม่เป็นคน เช่นรูปกายของคน
ตายก็มีดินน้ำไฟลมอากาศ แต่ไม่เป็นคน,
แม้เคยเป็นที่รักใคร่ แค่เมื่อไม่มีธาตุรู้เข้า
ผสม หรือธาตุรู้พรากออกไป รูปกายคือ
ดินน้ำไฟลมอากาศ กลับเป็นที่กลัวของ
บุคคลผู้ที่เคยรักกันเสียอีก. ธาตุรู้นี้แหละ
เป็น อสังขตะ ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ไม่รู้ว่า
เกิดขึ้นมีขึ้นแต่ครั้งไร พิจารณาดูตัวเรา
เองที่ยังเป็นอยู่นี้ ธาตุรู้มีมาเมื่อไรก็ตอบ
เองที่ยังเป็นอยู่นี้ ธาตุรู้มีมาเมื่อไรก็ตอบ
ไม่ได้ ไม่มีใครรู้. ทั้งธรรมที่เป็นสังขตะ
ทั้งธรรมที่เป็นอสังขตะ หรือสังขารและ
วิสังขารเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน,
เพราะลำพังแต่รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ก็ไม่ใช่ตน, ลำพังแต่
ธาตุรู้ ก็ไม่ใช่ตน, ธาตุรู้กับดิน น้ำไฟ
ลมอากาศ ที่ประสมกันเข้าตามความ
เป็นจริง ก็ไม่ใช้ตน, แต่เพราะบุคคล
รู้ผิดจากความจริง จึงยึดถือว่าเป็นตน,
แต่ถึงจะยึดถืออย่างไร ความจริง คือ
ไม่ใช่ตนก็ย่อมมีประจำอยู่, เมื่อบุคคล
พิจารณาดูให้รู้จักธรรม ทั้งที่เป็นสังขตะ
หรือเป็นสังขาร ทั้งที่เป็นอสังขตะหรือ
เป็นวิสังขารปราศจากปัจจัยปรุงแต่งให้เห็น
ตามเป็นจริงแล้ว ก็จะรู้ได้ว่าธรรม
ทั้งหลายเหล่านั้นไม่ใช่ตน คงเป็นผู้รู้ผู้
พิจารณา คงเป็นผู้รู้อยู่. ( วชิร. ๓๙๗-๓๙๙ ).



RELATED STORIES



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย