วสวัตตีมาราธิราชคำกลอน ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย

 pt  

วสวัตตีมาราธิราช

(สมาบท)
จบเศียรราบ กราบครู บูชาไหว้
ปวงเทพไท้ ใกล้ไกล ที่ในหล้า
ข้าขอร่าย บรรยายพจน์ รจนา
ถึงองค์มาร พาลกล้า ท้าฟ้าดิน
หากความร้อย ถ้อยเรียง สำเนียงพล่อย
วอนเทพพลอย คล้อยกรรม คำติฉิน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มิตรหลายหลาก หากได้ยิน
ขอนบสิ้น นอบน้อม พร้อมกายใจ

(ชมพิมาน)
ณ เมืองแมน แดนสวรรค์ อันบรรเจิด
ช่างงามเลิศ เพริศพราย ประกายแสง
เปล่งปลั่งเรือง เหลืองบริสุทธิ์ ทองสุกแดง
พลอยหลากแสง แกมประดับ สลับกัน
ปรางค์ปราสาท ดารดาษ เกลื่อนกลาดเพชร
เลื่อมลายเกล็ด กนกแพรว แววสีสัน
ไพฑูรย์นิล ไพลินมุก บุษราคัม
งามเฉิดฉัน ประชันจ้า พร่าประกาย
เชิงช่อฟ้า ใบระกา ประพาฬส่อง
แดงสะท้อน เรืองรองไกล ให้เฉิดฉาย
แทรกเขียวเห็น โกเมนวาม งามจับใจ
มองแล้วให้ ฝังจิต ติดอุรา
มุขหน้าบัน พรรณราย ลายรดน้ำ
ทับทิมวาม งามเด่น เป็นนักหนา
ฝังมรกต ประกบข้าง พร่างนัยน์ตา
เกินจักหา ใดเทียบ เปรียบรำพัน
หลังคาแก้ว แววนวล ชวนให้พิศ
ครอบมุงปิด ด้วยมุกดา ยิ่งพาฝัน
ปักธงทิว พลิ้วไหว ลวดลายประชัน
หลากสีสัน คันล้วนทอง ล้อมเพทาย
กระดึงน้อย ร้อยพัน รังสรรค์ติด
เรืองสัมฤทธิ์ พิศตระการ อร่ามฉาย
ห้อยระย้า ท้าลมต้าน ดูพร่างพราย
กริ๊งกร๊างใส ฟังเคลิ้มไกล ไปกับลม
แสงสีเสียง พร้อมเพรียง จำเรียงเหมาะ
ฟังไพเราะ เสนาะใจ ให้สุขสม
ดูวิจิตร ติดตรึงตรา คราได้ยล
ช่างงามล้น ชมชื่น เริงรื่นใจ
ปรนิม มิต วสวัตตี (ปะ-ระ-นิม-มิ-ตะ-วะ-สะ-วะ-ตี)
แดนชั้นที่ มีดารา เจิดจ้าไสว
สูงเกินล่วง สรวงสวรรค์ ชั้นใดใด
ผู้บุญใหญ่ ถึงเกิดได้ ไม่ง่ายยล
มีจอมฟ้า ราชา ฤทธิ์กล้านัก
นามประจักษ์ วสวัตตี ศรีเวหน
ก้องกระเดื่อง เลื่องภพ นภดล
เทพเกลื่อนกล่น ต่างน้อมก้ม องค์ราชันย์

(ปางปฐม)
ครั้งศาสดา พระนามว่า กัสสปะ
วงศ์พุทธ วัฏเปลี่ยน เวียนสุขสันต์
โลกวิบัติ กลับมลาย หายไปพลัน
ทั่วเขตขัณฑ์ ธรรมบานเบ่ง เปล่งประกาย
ศาสนา แผ่ไกล ไปทั่วหล้า
ผิราชา หรือไพร่ข้า ล้วนหน้าใส
จิตสงบ ดั่งหมดทุกข์ สุขฤทัย
ชนมากหลาย ต่างน้อมใจ ใฝ่ในธรรม
ฟากอัมพร นครหาว พร่างพราวสุข
ยักษ์นาคครุฑ สุดบาดาล ต่างสรวลสันต์
เหล่าอสูร ประยูรมาร บานหน้ากัน
พรหมสวรรค์ สันติสุข ไม่ทุกข์ใด

ณ แผ่นดิน กิงกิสสะ มหาราช
มีอำมาตย์ มากบารมี ศรีสมัย
จอมกษัตริย์ จักตรัสถาม ซึ่งการใด
โพธิให้ ตอบไว ไขได้พลัน
องค์ราชา คลั่งศรัทธา บ้าบุญหนัก
มุ่งหวังจัก ถากถาง ทางสวรรค์
โลภกุศล จนหลงผิด ติดบ่วงกรรม
เกินยับยั้ง จึงพลั้งร่วง ห้วงอบาย
มีคราหนึ่ง ความทราบถึง ซึ่งกษัตริย์
องค์กัสสปะ จักพักจิต คิดหลับใหล
เข้าสมาบัติ ดับทุกข์ สุขเหนือใคร
ใต้ไทรใหญ่ ห่างออกไป ไกลเวียงวัง
ตามกำหนด จบเพลา เจ็ดราตรี
จอมมุนี จึงผละที่ มีสุขสันต์
ออกโปรดเว ไนยสัตว์ สละกรรม
สร้างกุศล ผลบุญนำ ธรรมร่มเย็น
เพลานั้น ท่านว่าบุญ อดุลย์เลิศ
แสนประเสริฐ เกิดผลครัน ทันได้เห็น
อย่างเร็วได้ ในเจ็ดวัน พลันเกิดเป็น
อย่างช้าเห็น เช่นกัน ทันก่อนตาย
องค์วิภู รู้คุณ บุญยิ่งใหญ่
จึงสั่งไป ใกล้จดไกล ห้ามใครหมาย
หวังปาฏิหาริย์ ทานสัมฤทธิ์ คิดอุบาย
เฉียดกรายใกล้ พระจอมไตร ในเจ็ดวัน
ผู้ใดฝืน ขืนไป ลอบใส่บาตร
ต้องถูกพราก ชีวา ให้อาสัญ
โทษประหาร ผลาญตาย วายชีวัน
ทั่วชนชั้น ต่างพรั่น ทัณฑ์อาญา

โพธิทราบ คาดความ ตามดำรัส
แต่ยากหัก ตัดใจ อาลัยหา
ผลบุญใหญ่ ให้หวั่นไหว ในวิญญา
แม้นถูกฆ่า ยังค่าคุ้ม ถ้าบุญนำ
จึงจัดแจง แต่งทาน อาหารห่อ
ไม่รีรอ พอนาน พานสิ้นหวัง
กุศลใหญ่ ใกล้อยู่หน้า ถ้าฝ่าฟัน
ปลงใจมั่น จึงเร่งพลัน จรลี

ถึงมณฑล ร่มไทร แผ่ใหญ่กว้าง
รอบทิศทาง วางยามเวร เกณฑ์เต็มที่
เฝ้าเตรียมพร้อม ล้อมวง องค์มุนี
โพธิรี่ ปรี่ใกล้ ไม่หวาดทัณฑ์
เหล่าทหาร ถามความ ตามหน้าที่
นายท่านมี เรื่องใด ไยหุนหัน
อำมาตย์คิด ผิดถูกไป ใจสู้กัน
เท็จจริงนั้น ช่างยากไข ให้ยุ่งจริง
หากจักตอบ บอกเท็จ เสร็จไม่ยาก
ฝ่าพระบาท กราบบังคม องค์ทรงศีล
อาราธนา พาองค์เจ้า เข้าเวียงพิง
เพื่อป็นมิ่ง ขวัญแดน แคว้นผไท
แต่ใจหนึ่ง ตรึกถึง ซึ่งบุญบาป
มุสาวาท บาปนำ ธรรมไม่ใส
ทานผลน้อย บุญพลอยด้อย ย่อยยับไป
เราจะไม่ ให้บาปผลาญ ทานบุญเรา
จึงร้องบอก ตอบไป ด้วยใจเด็ด
ไม่เอ่ยเท็จ สำเร็จกรรม ทำบาปเขลา
เรามาไกล ใจหมายมาด ตักบาตรเรา
แด่องค์เจ้า ก้าวผ่านภพ จบแดนดิน
พลอารักษ์ รับฟัง ถ้อยคำบอก
ให้มิชอบ จึงลอบลา หายหน้าสิ้น
เข้าหมอบเกรียน เรียนนายใหญ่ ให้ได้ยิน
ทราบทุกสิ่ง สิ้นทุกคำ ดั่งฟังมา
ท่านขุนทัพ สดับความ เดือดดาลลั่น
ตะคอกพลัน สั่งไป ไม่ไว้หน้า
รีบจับกุม ควบคุมส่ง องค์ราชา
พิพากษา อาญาราช พรากชีวัน

บัดนั้น กิงกิสสะ มหาราช
ให้เกรี้ยวกราด โกรธา พาหุนหัน
ก้องตวาด ประกาศโทษ คนโปรดพลัน
น้อยหรือนั่น ท่านทำเรา เศร้าเสียใจ
เหตุไฉน หนอทำไม ไปทำผิด
มิรู้คิด ดำริพลาด มากเพียงไหน
เพชฌฆาต รีบกระชาก ลากตัวไป
บั่นคอไซร้ ต่อไพร่ชน ยลทั่วกัน
เพลานั้น องค์พุทธ นฤนาท
ทรงออกจาก สมาธิ ปีติหรรษ
จึงทราบผ่าน ญาณวิถี มีโดยพลัน
โพธิมั่น ดังสัจจา กล้ายอมตาย
จึงบันดาล ด้วยฌานฤทธิ์ สถิตอยู่
ใต้ไทรดู ดุจคู่เหมือน ไม่เลือนหาย
ส่วนองค์ท่าน นั้นสลับ ผละจากไป
ยังลานใหญ่ แดนประหาร ผลาญชีวัน
เสด็จพัก ประทับนั่ง บัลลังก์อาสน์
งามพิลาส มากมี รังสีเฉิดฉัน
หน้าอำมาตย์ ผุดผาดเด่น เห็นลำพัง
เพื่อเพิ่มขวัญ โน้มนำจิต ปิดอบาย
โพธิอาบ เอิบฤทัย ให้ดำริ
ปลื้มปีติ สิระกราน พลางคิดหมาย
หวังพุทธภูมิ ประยูรวงศ์ องค์จอมไตร
ทรงตอบได้ สมใจ ใฝ่จำนง

(สมปรารถนา)
เพลานั้น คมดาบฟัน บั่นคอขาด
จิตพุ่งวาบ กระชากไกล ใจสุขสม
ผ่านทะลวง สรวงสวรรค์ ชั้นเบื้องบน
เทพเกลื่อนกล่น ต่างอึงอล จนทั่วกัน
ขึ้นบัลลังก์ นั่งฟ้า อาภาเขต
ทรงเศวต ฉัตรแดน แคว้นสวรรค์
สูงเหนือเทพ เทวา มีมากัน
ลือนามลั่น เจ้าสวรรค์ ชั้นปรนิม
ทั้งชนก ครบครัน กรรมน้อยใหญ่
อุปถัมภ์ ค้ำไกล ไม่หมดสิ้น
บุญก่อเกิด เบิกบาน งามเหนือจินต์
ระบือยิ่ง สิ้นแดนสรวง ห้วงกามา
ครองไอศูรย์ สมบูรณ์ยศ ดิลกราช
แสนองอาจ ปราศทุกข์ สุขใดหา
ห้อมล้อมด้วย ทวยเทพ เทวดา
มากล้นหนัก ศักดา บารมี
เกริกเกียรตินาม แผ่กังวาน ท้าวมารใหญ่
ก้องสนั่น ลั่นไกล ไปทุกที่
เทพสวรรค์ ชั้นฟ้า ประดามี
สยบที่ วสวัตตี ปรีดิ์ฤทธา
ทิพสมบัติ อัครฐาน วิมานแก้ว
เพริศพราวแพรว แววตระการ งามนักหนา
เกินหาเทียบ เปรียบคำ พร่ำพรรณนา
หกชั้นฟ้า ที่มีมา หมองค่าไป
กามคุณ ละมุนละเมียด ละเอียดนัก
น่าสัมผัส จับต้อง ลิ้มลองไฉน
ล้วนประณีต วิจิตรงาม ซาบซ่านใจ
เกินหาไหน ใดเคียง เทียมเทียบทัน
ปรารถนา จักหาใด ให้นึกคิด
เทพมากฤทธิ์ เนรมิต ดั่งคิดฝัน
อยากสิ่งไหน ได้สิ่งนั้น ท่านให้พลัน
สมดังหวัง ดั่งอุรา พาย่ามใจ
ทั้งรูปเรียง เสียงรส ครบผัสสะ
ก่อมานะ กักขฬะพาล มารวิสัย
ห้อมล้อมสุข ทุกค่ำเช้า ยั่วเย้าใจ
ลืมหมดไซร้ ใคร่เคยหวัง ตั้งเจตนา

(มิจฉาทิฐิ)
เกิดมาใหญ่ ไร้ทุกข์ สุขเหนือคาด
แต่ประมาท หาบเขลา เศร้านักหนา
ปล่อยให้โลภ โกรธหลง วงศ์กามา
เข้าฉุดคร่า พร่าผลาญ รุกรานใจ
มีความคิด วิปริต ผิดอาเพศ
เห็นวิเศษ เหตุกามา น่าหลงใหล
ล้ำเลิศรส จักคบธรรม ไปทำไม
สัตว์มากหลาย โง่เหลือใจ เฝ้าใฝ่ธรรม
ไยด่วนละ พระนิพพาน ไม่พานหาย
สัตว์ทุกราย ถึงสุดท้าย ไม่กลายผัน
ต้องได้เข้า แดนเหงาสงบ หมดโทษทัณฑ์
รีบเร็วล้ำ ไปทำไม เศร้าใจจริง
สุขผัสสะ ประจักษ์มี ที่ในหล้า
ไม่นำพา นี่สิบ้า น่าติฉิน
รูปเคล้าเสียง จำเรียงเพราะ เสนาะจริง
ไยถวิล สิ้นคิด ติดในธรรม
ใครว่าทุกข์ มีแต่สุข ทุกกิเลส
หากได้เสพ สุขสม อารมณ์ฝัน
ตาหูลิ้น สิ้นทั่วกาย ใจได้ดัง
เหมือนดั่งหวัง ไม่พ้นฝั่ง ช่างประไร
จึงคนไหน มีใจ ใคร่หลุดออก
เครื่องพูนพอก สำรอกมาร หาญผลักไส
มารจะเข้า เฝ้าขวาง ผลาญเรื่อยไป
ชักจูงให้ เฉไฉออก นอกกรอบธรรม

ครั้งเมื่อพระ สิทธัตถะ ผละเวียงเกศ
ปลีกวิเวก ยังเขตไกล ในไพรสัณฑ์
หวังถากถาง ทางพ้นทุกข์ หยุดวงกรรม
ทรงบากบั่น กระทำถึง ซึ่งความเพียร
ด่านสุดท้าย ร้ายล้น ยากพ้นผ่าน
ด้วยเหล่ามาร ตามผจญ ยกพลเกลี้ยง
เข้าขัดขวาง ทางปฏิบัติ ขัดความเพียร
ต่างแผดเสียง สำเนียงก้อง จ้องฆ่าฟัน
พญามาร พาลใหญ่ ใจกำเริบ
จิตบังเกิด โกรธา บ้าโมหันธ์
เห็นจอมไตร ใจกล้า น่าชิงชัง
มุ่งห้ำหั่น ราวี ย่ำบีฑา
ก่อนวิสา ขเพ็ญ เห็นปรากฏ
มารปรารภ กลบไพร ใจร้อนร่า
ถ้าทรงธรรม ยังทำนั่ง ไม่นำพา
จักเข่นฆ่า พร่าให้ดิ้น สิ้นชีวี
หมู่ทหาร เสนามาร พาลน้อยใหญ่
สุขสมใจ ใคร่พุ่งไกล ไปขยี้
ส่งเสียงร้อง ก้องสนั่น ลั่นปฐพี
พร้อมเคลื่อนที่ จรลี เข้าบีฑา

เหล่าทวยเทพ เทวา ที่อารักษ์
ครั้นสดับ สรรพสำเนียง เสียงโห่ฆ่า
กัมปนาท ตวาดร้อง ก้องพนา
ต่างหนีหน้า ลาเร้น เช่นพวกกลัว
ท้าวสุยาม เทวราช องอาจยิ่ง
เทพทั่วถิ่น ต่างนบสิ้น มิ่งเหนือหัว
ทั่วยามา หามีใคร ไม่เกรงกลัว
เพียงแค่ชั่ว พริบตาลับ หายวับไป
สันดุสิต โพธิราช ผู้ปราชญ์ล้ำ
ชื่อลือลั่น ด้วยภูมิธรรม นั้นมากหลาย
ถือเป็นบุตร พุทธวงศ์ องค์จอมไตร
พลันทิ้งได้ โอ้ไฉน ไม่ไยดี
ปัญจสิข จิตพรั่น ไม่หวั่นเยาะ
กลัวโดนเคราะห์ เหาะเมฆา ลี้หน้าหนี
ทิ้งองค์อินทร์ มิ่งขวัญ พรั่นฤดี
ธ จึงรี่ หลีกเร้น เช่นคนธรรพ์
ฝ่ายกาฬ นาคราช พังพาบติด
เลื้อยแนบชิด สนิทหล้า มุดหน้าหัน
แทรกปฐพี ดิ่งเร็วรี่ ลี้ลงพลัน
บรรทมแนบ แอบในถ้ำ ครั่นคร้ามใจ
ท้าวสหัม บดีพรหม ผู้ทรงฤทธิ์
ไม่อยากคิด ผิดใจมาร พานผลักไส
อ้างว่าฤทธิ์ ติดตัวน้อย ด้อยเกินไป
สู้ไม่ได้ ต้องจำใจ ไกลกลับวัง

เพลานั้น ท่านมุนี ศรีจอมปราชญ์
ไร้มิตรญาติ ขาดเพื่อนชิด ไม่คิดฝัน
พระเหลือแต่ ตัวเองแท้ แม้ลำพัง
แต่ยังมั่น ประทังสู้ อยู่ผู้เดียว
จึงน้อมทาน นานบำเพ็ญ เป็นเบื้องบาท
สองกรอาบ เอิบศีล สิ้นเฉลียว
ภาวนา แรงกล้าประจักษ์ เสาหลักเดียว
ที่ยึดเกี่ยว เหนี่ยวจิต ไม่คิดเกรง
ทรงปัญญา ดุจศัสตรา เป็นอาวุธ
เมตตาหยุด ทุกข์ภัย ไม่ข่มเหง
บารมี สามสิบทัศ ยักษ์เทพเกรง
รวมลงเด่น เห็นสว่าง ท่ามกลางใจ

บัดนั้น พญามาร พลุ่งพล่านจิต
เพ่งพินิจ พิศมุนี อินทรีย์ใส
ธ ยิ่งเพ่ง ยิ่งคิด หงุดหงิดใจ
เหตุไฉน หนอทำไม ไยไม่กลัว
จึงพิโรธ โกรธแสน แค้นประดัง
เนตรแดงก่ำ สั่งคำราม ข้ามเหนือหัว
ถึงเหล่ามาร พาลทั้งหลาย รายรอบตัว
ย่ำให้ทั่ว อย่ามัวช้า ฆ่าเมธี
เหล่าทหาร ขุนพลมาร สันดานหยาบ
แสนเอิบอาบ ปากตะโกน กระโจนรี่
ยินคำสั่ง พลันเคลื่อนทัพ รับทันที
หวังขยี้ พระภูมี ศรีศากยา
บางตนแผลง ปลอมแปลง สำแดงเดช
เปลี่ยนเป็นเพศ เดรัจฉาน คืบคลานหา
บ้างเป็นเสือ บ้างเป็นสิงห์ วิ่งตามมา
บ้างเป็นช้าง บ้างเป็นม้า เข้าราวี
อสุภ จตุบาท สัญชาติสัตว์
สารพัด สลับกาย ร่างคล้ายผี
ครึ่งล่างสัตว์ ครึ่งบนร้าย พรายตานี
สัตว์ครึ่งผี มีมากล้น ปะปนมาร
ทวิบาท ชาติแร้งกา ดูบ้าบิ่น
รุมฉีกกิน ล้วนแล้วสิ่ง กลิ่นเหม็นสาง
สารรูป ภูตร้าย ใจชั่วทราม
กรีดเสียงขาน ผสานร้อง ก้องพฤกษ์ไพร
มวลหมู่มาร มากมาย หลากหลายสัตว์
เปรตผียักษ์ กลาดเกลื่อน เคลื่อนพลไหล
มุ่งสู่ยัง บัลลังก์โพธิ์ เฮโลไป
อึกทึก กึกไกล ทั่วไพรวัน

เพลานั้น องค์เลิศลักษณ์ ทรงพักจิต
ไร้เรื่องคิด ไม่ติดใด ใจสุขสันต์
เห็นหมู่มาร พาลฉกาจ หลากร้อยพัน
ล้อมหน้าหลัง เรียงราย ใต้ร่มโพธิ์
พระทรงมอง ตรองคิด พิศพาลต่ำ
ทรงน้อมธรรม แผ่บัง บั่นโทโส
ค่อยลิดรอน ทอนจิตร้าย ฝ่ายพาโล
ดับโมโห โกรธาหาย มลายพลัน

เมื่อนั้น วสวัตตี ให้มีจิต
อาฆาตคิด ประชิดรี่ ไม่รีหัน
รีบไสช้าง คิริเมขล์ เข้าประจัน
หวังห้ำหั่น ฟาดฟัน ให้บรรลัย
อวดกำแหง สำแดงฤทธิ์ มหิทธิเดช
ยังอาเพศ เสกลมฝน อึงอลไหว
เสียงสนั่น ลั่นฟ้า มาแต่ไกล
เมฆดำใหญ่ ไหลคลุมครอบ รายรอบพลัน
ท้องนภา พร่ามิด ดังปิดโลก
ลมกรรโชก โบกกระหน่ำ ครั่นคร้ามขวัญ
สายวิชชุ ปะทุแตก แทรกเมฆดำ
ฟ้าเลื่อนลั่น ประดังผ่า น่าเสียวใจ
ไม้หลากพันธุ์ รอบบัลลังก์ ลั่นเกลื่อนกลาด
หักล้มฟาด ปฐพี เอียงรี่ไหว
พายุพา ถลาลิ่ว ปลิวฟ้าไป
พุ่งชนใส่ ไหล่เขาเกิด ระเบิดพลัน
มวลเศษหิน บิ่นกระดอน จากง่อนผา
กระเด็นมา มืดนภา น่าเสียขวัญ
พุ่งเข้าสู่ พระภูมี รี่เร็วพลัน
พิลึกลั่น พลันย่อยป่น หล่นใกล้องค์
ห่าฝนใหญ่ แปลกเหลือใจ ใคร่คร้ามเข็ด
เคยเห็นเล็ก เม็ดกลับใหญ่ ไม่คล้ายฝน
หยดเท่าโอ่ง หล่นนองไหล ให้ชอบกล
ทับยอดสน ดงไม้ รายราบพลัน
ก่อเป็นสาย น้ำใหญ่ ไหลใกล้อาสน์
หวังพิฆาต พรากมุนี ศรีสวรรค์
ประหลาดแปลก แผ่นดินแยก แตกออกพลัน
น้ำเชี่ยวผัน ประดังหาย ใต้ปฐพี

บัดนั้น พญามาร เดือดดาลจิต
บันดาลฤทธิ์ คิดกล้ำกราย ไม่คลายหนี
เป็นเปลวไฟ ไหม้จากฟ้า เข้าราวี
เป็นอิฐหิน พุ่งรี่ เข้าบีฑา
ห่าอาวุธ ผุดนภา ซัดฆ่าเข่น
ค้อนดั้งเขน พร่างพรู ธนูถลา
พระขรรค์แข่ง หอกแทง พุ่งแรงมา
มีดขวานพร้า ประดาใส่ หวังให้ตาย

เพลานั้น อัศจรรย์ พลันบังเกิด
ทานบุญเลิศ ประเสริฐฌาณ เข้าลาญหาย
ห่าอาวุธ ที่รุกมา พากลับกลาย
เป็นดอกไม้ รายร่วงรอบ ขอบบัลลังก์
หมู่พหล พลมาร ที่ตามติด
เห็นซึ่งฤทธิ์ ประสิทธิ์มี ภูมีสวรรค์
ต่างตะลึง พึงเพริด เกิดงงงัน
จึงหยุดยั้ง ลงพลัน ในทันใด
จอมสวรรค์ ชั้นมาร ให้คร้ามจิต
จึงตรองตริ พลิกแนวทาง พลางปราศรัย
เลิกกำแหง สำแดงเดช เฉกเฉไกล
แสร้งเสไส ไถลเวียน เปลี่ยนวิธี
แล้วจึงเอ่ย ภิเปรยไข แต่ใจหวาด
โพธิอาสน์ ผุดผาดเด่น เห็นอยู่นี้
ช่างงามสวย ด้วยบุญญา บารมี
ของเราที่ พลีทาน บันดาลมา
เหตุไฉน ท่านเป็นใคร ไยไม่แจ้ง
เข้ายื้อแย่ง แกล้งพัก นานหนักหนา
ซ้ำทำนิ่ง ดั่งสิ้นทุกข์ สุขอุรา
หาอายหน้า ทั่วพารา พาเศร้าใจ


ที่มา : พุทธชาดก

6,189







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย