โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ภาค๒ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย

 pt   17 ก.ค. 2563

ถึงทวาร มีนงราม ตามเสด็จ
บอกชั้นเจ็ด ภูเบศรอ พ่ออย่าสาย
พรานงกเงิ่น เดินตาม นางขึ้นไป
พบห้องใหญ่ ให้ไหวหวั่น สั่นฤดี
เห็นเหนือเกล้า เฝ้าจ้อง มองเขม็ง
เนตรวาวเด่น เปล่งอำนาจ ราชสีห์
ครั้นสบเนตร ธเรศตรัส ทักทันที
เจ้าผู้นี้ นี่ฤาพราน ชำนาญไพร
ข้าขอถาม นามระบือ ชื่อออเจ้า
เรียกใดเล่า เผ่าประยูร ตระกูลไหน
จึงอัปลักษณ์ ขัดตา กว่าผู้ใด
ข้าสงสัย ให้ฉงน พิกลตา
พรานรูปชั่ว กลัวก้ม บังคมกราบ
แทบสองบาท เอ่ยปากตอบ บอกพงศา
โสณุดร น้อมกรไหว้ ไท้ราชา
คือนามข้าพระพทุธเจ้า เผ่าพรานไพร
ขอพระองค์ ทรงเฉลย เผยหลักแหล่ง
เจ้าพลายแกร่ง แห่งพนา อยู่ป่าไหน
เกล้าจักบุก รุกฝ่า ตามล่าไป
ตัดงาใหญ่ ให้เทวี ศรีสุดา
องค์กษัตริย์ สดับคำ พลันผินพักตร์
เอ่ยโอษฐ์ตรัส กับยาจิต ขนิษฐา
ขอแม่บอก ตอบแหล่ง แห่งคชา
ว่าอยู่ป่า พนาใด ในธาษตรี
พี่จะใช้ ให้พราน ชำนาญดง
ออกดั้นด้น ค้นทั่วแดน แคว้นกาสี
ทุกยอดผา คูหาไหน ใกล้ไกลมี
วอนน้องพี่ เอ่ยพาที มีวาจา

องค์โฉมฉิน ยินคำ พลันเยื้องย่าง
ยังหน้าต่าง ไม่ห่างช่อง จ้องภูผา
แล้วตรัสให้ ไพร่พราน คลานเข้ามา
ชี้เบื้องหน้า สุดตาลิบ ทิศอุดร
ถัดเขตแดน แคว้นนี้ มีดงป่า
ใต้อาณา คชาเจ้า เหล่าช้างผอง
เป็นสถาน ตระการตา น่าเพลินมอง
เจ็ดเขาห้อม ล้อมมิด ปิดนัยน์ตา
เทือกสุดท้าย พรรณราย เลื่อมพรายส่อง
แววเรืองรอง ทองประกาย บนไหล่ผา
สวยอร่าม งามตรึง ซึ้งอุรา
นามภูผา สุวรรณ ปัสสคิรี
สูงใหญ่ล้ำ ค้ำฟ้า ท้าเวหน
กว่าพนม หนใด ในกาสี
มีกินนร กุญชรม้า สัมพาที
คชสีห์ อินทรีย์หงส์ ปะปนกัน
สัตว์หลายหลาก มากล้น พิกลแปลก
แฝงตัวแทรก แยกกระจาย ในไพรสัณฑ์
ต่างเริงรื่น ชื่นอุรา ทั่วหน้ากัน
เพลินสุขสันต์ หรรษา ท่องป่าไพร
มวลหมู่ไม้ หลายหลาก มากชนิด
ช่างวิจิตร พิสดาร งามไสว
ชูช่อดอก ออกผลดาษ กลาดเกลื่อนไป
กลิ่นรสไซร้ ให้ผิดไกล ไปจากเรา
ณ ยอดสิงค์ กินนร สัญจรพัก
ตั้งยืนหยัด ประจักษ์เด่น เห็นเสลา
สูงเทียมเมฆ เฉกพิมาน กลางฟ้าพราว
เหนือยอดเขา สกาวรุ้ง รุ่งโรจน์เรือง
เชิงศิขริน กินรี มีไทรใหญ่
ใบประกาย เลื่อมคราม งามใดเหมือน
แผ่กิ่งก้าน ย่านพราง ดูลางเลือน
เปรียบเสมือน เครื่องคั่น กั้นนัยน์ตา
เจ้าพญา คชาธาร สำราญยิ่ง
เที่ยวหากิน หิมพานต์ งามใดหา
ชมขุนเขา เงาไม้ สบายอุรา
เหนื่อยก็พา ฝูงพัก พำนักไทร
มีนาคินทร์ คชินทร์สาง ล้นหลามเฝ้า
แปดพันราว งาขาวอ่อน เท่างอนไถ
วิ่งไล่เล่น เป็นยามดู อยู่รอบไทร
กันมิให้ ผู้ใด ใกล้ฉัททันต์
เหล่ามาตงค์ วนเปลี่ยน เยี่ยงทหาร
คอยยืนยาม ไม่ห่างไกล ทั่วไพรสัณฑ์
ก้องเกรี้ยวกราด ตวาดขู่ จู่โจมพลัน
เหยียบขย้ำ ตามขยี้ ไพรีกราย
ขรัวพรานไพร ได้ฟัง พลันเหงื่อท่วม
คิดทบทวน ถ้วนที ฤดีหาย
เปรียบตาบอด เลาะขอบผา ยากฝ่าตาย
คงลับหาย ตายเดียว เปลี่ยวเอกา
จึงร่ำไห้ พิไรวอน องค์จอมเจ้า
เหตุใดเล่า เหล่าเงินทอง ไม่ปองหา
เพชรหลากสี มณีงาม ไม่นำพา
ไยใฝ่หา แต่งานาค ยากสมใจ

ลำดับนั้น เทวี มีดำรัส
เล่าความสัตย์ ตรัสความจริง สิ่งสงสัย
ย้อนภพชาติ อาฆาตหลัง ยังฝังใจ
ครั้งคชใหญ่ ได้ทำลาย น้ำใจนาง
ในครานั้น ฉัททันต์ ทำช้ำเหลือ
คอยจุนเจือ ไม่เบื่อคลอ พนอสาง
นางมหา สุภัททา คชาธาร
ทิ้งเราคว้าง เคว้งเศร้า เฝ้าตรอมใจ
จนโชคหนุน บุญพา วาสนาส่ง
มีเหล่าพงศ์ วงศ์พุทธะ คณะใหญ่
เที่ยวดั้นด้น นอนดงค้าง ไม่ห่างไทร
กรีน้อยใหญ่ ให้ดีใจ ได้ทำบุญ
แลครั้งนั้น เราตั้ง มุ่งมั่นจิต
หน้าอามิส อุทิศทาน อภิบาลหนุน
ขอบุญนำ อำนวย ช่วยเจือจุน
แก้แค้นสุม รุมใจ ให้ได้เทอญ
เหตุฉะนั้น ขอพรานท่าน อย่าพรั่นจิต
ปลุกความคิด ดำริใจ ให้ฮึกเหิม
ออกสืบเสาะ ลัดเลาะป่า ฝ่าดำเนิน
อย่าช้าเนิ่น เร่งเดินทาง ตามคชินทร์
หากสามารถ พิฆาตสาร ล้มช้างได้
ข้าจักให้ ไพร่ทาส มากทรัพย์สิน
เรือกนาสวน ถ้วนทุกแห่ง แหล่งทำกิน
เก็บส่วยสินไหมนา ห้าตำบล

เจ้าพรานฟัง รางวัลงาม พลางยิ้มร่า
สุขอุรา ตาโปนเหลือก เกือบถลน
ปากอ้าค้าง น้ำลายไหล สบใจตน
รีบผสมผเสตาม นางบัญชา
จึงถามองค์ นงราม งามเลิศลักษณ์
กิจวัตร ดำรี มีใดหนา
เช้าท่องไหน บ่ายพักใด วานไขมา
เกล้าจักหา เวลาปลอด ลอบปลิดปลง
ท้าวสนม สมจินต์ ยินพรานถาม
กำหนดการ ยามท่อง ล่องไพรสณฑ์
แลยามหลับ พักบ่าย คลายร้อนรน
เจ้าดำไร ให้ฉงน เป็นกลใด
จึงตรัสตอบ บอกไป ในข้อวัตร
ให้ประจักษ์ หัสดี มีไฉน
สายท่องป่า หาอาหาร เบิกบานใจ
บ่ายพักไทร ใกล้สระน้ำ สำราญชล
หลังขึ้นน้ำ นรการ พานเลี่ยงหลบ
ปลีกสงบ ลดรำคาญ ความสับสน
ยืนตากลม บนลานดิน สิ้นกังวล
ไร้พหล พลพรรค พิทักษ์กาย
เพลานั้น ท่านจึง ถึงโอกาส
เข่นพิฆาต ปลาตหนี ลี้หลบหาย
พ้นจากนี้ ไม่มีที่ ฆ่ากรีตาย
จักอุบาย ลวดลายใด ให้คิดเอา

เมื่อนั้น พรานไพรไตร่ตรอง ลำพองจิต
ครุ่นดำริ ตริเหลี่ยมคู ดูไม่เขลา
ต้องขุดหลุม ซุ่มใต้ดิน ลอบยิงเอา
ใกล้ลานดิน คชินทร์เจ้า เหล่าดำไร
ครั้นนาเคศ ผู้เอกหนึ่ง ยืนผึ่งน้ำ
อยู่บนลาน ข้างหลุมดิน น้ำรินไหล
หล่นจากกาย เจ้าพลายงาม ลามแผ่ไป
หยดใส่หัว ข้าเมื่อไร ได้ตายพลัน
จึงยิ้มร่า หน้าบาน ลนลานตอบ
คุกเข่าหมอบ บอกเจ้านาง จางโศกศัลย์
เกล้าสัญญา ตัดงาได้ ไม่นานวัน
โปรดสรวลสันหรรษา ตั้งท่าคอย
พระเทวี ดีใจ ให้คลายเศร้า
กระปรี้กระเปร่า ทุเลาขึ้น ไม่ซึมหงอย
ประทานทรัพย์ นับพัน เจ็ดวันคอย
เสร็จเรื่องย่อย ค่อยเรียกเจ้า เฝ้าอีกครา

หลังส่งพราน นางเทวี มีรับสั่ง
ให้เหล่าช่าง หนังเหล็ก หลอมเหล็กกล้า
เป็นมีดขวาน สามง่ามศร พร้อมนำพา
เป็นเลื่อยดาบ ปลาบคมกล้า ฝ่าป่าไพร
ถุงหนังใหญ่ ใส่สัมภาระหนัก
วางแถวจัด มัดจุก กันหลุดไหล
ถุงมือหนัง เชือกหนัง ตั้งเรียงราย
เสบียงพร้อม ล้อมกองไว้ ให้ลานตา
ครบเจ็ดวัน คำพระนาง พรานเข้าเฝ้า
หน้าแม่เจ้า ตาวาวน้อม พร้อมอาสา
ดูแข็งแกร่ง แรงมากเหลือ เมื่อสบตา
องค์ชายา ยิ้มร่าเปรม เอมอิ่มใจ
แล้วตรัสให้ นางใน ไปนำผ้า
เหลืองจับตา สง่าชม ชนหลงใหล
กาสาวพัสตร์ ตัดเป็นเสื้อ เพื่อพรานไพร
ไว้สวมใส่ ในครา ฆ่าฉัททันต์
ซ้ำตรัสย้ำ กำชับ กับพรานเถื่อน
อย่าแชเชือน ลืมเลือนพลาด อาจอาสัญ
ใส่เสื้อนี้ ยามที่เจ้า เข้าประจัน
กับช้างนั่น หมั่นเตือนใจ ให้สังวร
พรานบังคม ก้มกราบ ถอยจากลุก
พร้อมจะบุก รุกฝ่า ป่าสิงขร
ยกถุงหนัง บรรจุชุด อุปกรณ์
รายเรียงล้อม บริวาร ชำนาญไพร
ได้ฤกษ์พลัน เจ้าพรานลั่น จรัลเคลื่อน
ออกจากเมือง เรืองศักดา สู่ป่าใหญ่
ขบวนเกวียน เรียงแถวตาม งามจับใจ
ผ่านนิคม ชนน้อยใหญ่ ให้โจษจัน
จนสุดเขต ประเทศแคว้น แดนกาสี
เห็นคิรี มีประหลาด มากสีสัน
จึงหยุดเกวียน เสบียงลง คนแบกกัน
สู่ราวไพร ด้วยใจมั่น ดั้นด้นไป

ผ่านดงไผ่ ทุ่งใหญ่แฝก แพรกป่าแขม
ป่าไม้แก่น ไม้เปลือก แทรกเสือกไส
ผ่านป่าชัฏ ลัดลอดใต้ หนามหวายไป
ถึงเขาใหญ่ ไต่ลูกทอย ขึ้นดอยพลัน
(ภูเขาจุลลกาฬ) ข้ามจุลล มหากาฬ นามบรรพต (ภูเขามหากาฬ)
(ภูเขาอุทกปัสส) ข้ามอุทก ปัสสได้ ให้ใกล้ฝัน
(ภูเขาจันทปัสส) ข้ามจันท สุริยภู สู้ทนกัน (ภูเขาสุริยปัสส)
ข้ามมณี ปัสสกั้น ไม่พรั่นใด (ภูเขามณีปัสส)
ผ่านหกเขา เหล่าพราน ไม่คร้ามเข็ด
ข้ามเทือกเจ็ด เจ็ดโยชน์วัด นับสูงได้
นามสุวรรณ ปัสส สลักใจ (ภูเขาสุวรรณปัสส)
เจ้านางให้ ตั้งใจหา ทอดตามอง
มียอดสิงค์ ศิขริน กินนรพัก
ถ้ำพำนัก เกินนับได้ ให้สลอน
สูงเทียมรุ้ง รุ่งสว่าง กระจ่างมอง
เชิงสิงขร มองไสว ไทรใหญ่พราย
เจ้าพรานเถื่อน เคลื่อนตา เพ่งหายอด
กินนรลอบ บินลอดถ้ำ พลันลับหาย
พอแลเห็น ให้ตื่นเต้น เร่งเผ่นกาย
มุ่งที่หมาย ตะกายขึ้น ทะลึ่งปีน
เหล่าบริวาร ลนลาน ตามติดหลัง
แล่นหน้าตั้ง งงงันลุก สะดุดหิน
ลื่นถลำ หน้าคะมำ ทิ่มตำดิน
ลุกได้วิ่ง กลัวทิ้งเดียว เปลี่ยวเอกา
พรานฉกาจ เหงื่ออาบตา ขาถลอก
แขนขัดยอก ไม่มอดไฟ ให้หรรษา
นึกถึงลาภ มากมาย หากได้งา
ฉีกยิ้มร่า อุราเปรม เร่งรีบปีน
ครั้นถึงยอด ทอดตา ก้มหน้าจ้อง
เชิงสิงขร มองเห็นไทร ใต้เงื้อมหิน
ลึกจากผา สง่าสูง เกินยูงบิน
ดูใหญ่ยิ่ง มิ่งแคว้น แดนหิมพานต์
เขียวระรื่น ตื่นตา พาเคลิ้มฝัน
งามสะพรั่ง ใบดกบัง ตะวันฉาน
กิ่งมากหลาย สยายครอบ รอบทิศทาง
วัดจากกลาง สิบสองโยชน์ โอบจดกัน
มีม่านไทร ใหญ่น้อย ห้อยระย้า
ทอนประภา พาสุขกาย พลายหลับฝัน
แปดพันย่าน พร่างตา เพลาวัน
ดุจสวรรค์ สรรค์สร้าง ช่างสบาย
ห่างร่มไทร ออกไป ไม่ไกลนัก
มองเห็นสระ จรัสพราว วาวน้ำใส
รอบบึงน้ำ งามพันธุ์พืช พืดเรียงราย
ผลไม้ มากล้น ปนฟักแฟง
ทันใดนั้น พื้นเลื่อนลั่น ฉับพลันสว่าง
เรืองวาววาม งามรัศมี มีหกแสง
แผ่จากงา คชาเผือก ไม่เคลือบแคลง
ต้องพันแสง แข่งรวี สีเลื่อมพราย
เจ้าคชใหญ่ ย่างจากไทร ไปยังสระ
เคียงพารณะ เมียรักคู่ ดูสดใส
ฝูงบริวาร ตามห้อม ล้อมมากมาย
ยาวเป็นสาย รายลิบ ติดตามมา
โสณุดร มองจ้อง คับข้องจิต
ครุ่นพินิจ คิดวิธี กี่สรรหา
ไม่สำเร็จ จักเล็ดลอด หลอกพังคา
ไต่จากผา ลงหาไทร ให้เงียบงัน
จึงร้อนรุ่ม กลุ้มอุรา ปัญหาใหญ่
ทำอย่างไร ลงพื้นได้ ดั่งใจหวัง
เข้าใกล้ไทร ปีนยอดไม้ ซ่อนกายพลัน
รอกระทั่ง ช้างจากหมด ปรากฏกาย
พอเห็นนก ผกผิน บินถลา
ร่อนทาบหล้า ปัญญาผุด ทุกข์หลุดหาย
สั่งลูกมือ ถือร่มหนัง มาทันใด
พร้อมถุงใหญ่ ใส่จอบคราด แลศาสตรา
บอกลูกน้อง ผองเจ้า เฝ้าสิงขร
แล้วคอยหย่อน ผ่อนเชือก จากเทือกผา
กองบนดิน สองวันสิ้น ข้าลับตา
เตรียมตั้งท่า พร้อมยื้อยุด เมื่อพลุดัง
ครั้นกำชับ ซักซ้อม พร้อมเสร็จสรรพ
เจ้าพรานตัด ใจจำ พลันหันหลัง
เดินหาผา ตามองไทร ไม่อินัง
กางร่มหนัง ถลันโดด โลดลงไป
เสียงลมสี ฉวีกาย ให้ไหวจิต
ตั้งสติ ดำริมุ่ง พุ่งที่หมาย
แม้นถึงฆาต ยากหลบ ต้องตกตาย
แม้นไม่วาย ชีวาตม์ ยากปลิดปลง
พรานถลา ลมพาไกว ไกลที่มั่น
เอียงร่มดัน แนวพลันเปลี่ยน เบี่ยงสับสน
บิดร่มซ้าย ย้ายขวา หน้าหลังจน
จากสับสน ตรงแน่ว เข้าแนวไทร
เห็นไม้ใหญ่ ไม่ไกลกาย คลายอึดอัด
ค่อยขยับ ปรับแนวลม ตรงที่หมาย
ลงยอดไทร ไม่ไหวลั่น กลั้นหายใจ
มองลอดใต้ ใบไม้ดู ไร้หมู่กรี
จึงถอนใจ สูดลมใหม่ เข้าใส่ปอด
หุบกระบอก สอดร่มเสร็จ เก็บเข้าที่
นั่งพักกาย คลายล้า หาวิธี
มองหาที่ ขัดห้างเฝ้า เหล่าผองพลาย
ตกบ่ายแก่ แลไกล ให้ใจหวั่น
เห็นฉัททันต์ ขึ้นน้ำมา กายาใส
หยดน้ำพราว งาวาวสี มีประกาย
เดินเฉียดใกล้ ไทรงาม ไปลานเตียน
ปล่อยพลพรรค พักไทร ไม่พบปะ
ปลีกตนผละ ละวุ่นวาย หลายหลากเสียง
ย่างเดียวดาย สบายนัก ลมพัดเวียน
ไกลจากเสียง สำเนียงร้อง ผองเหล่ากรี
ถึงลานดิน คชินทร์เจ้า ย่างเท้าหยุด
ไร้โคบุตร ซุกซนใกล้ ให้สุขี
สายลมไพร ไหวระรื่น ชื่นฤดี
ฟ้าอาบสี แดงเรื่อ สุขเหลือใจ
ท้าวฉัททันต์ เข้าภวังค์ ดื่มด่ำจิต
พริ้มตาปิด สนิทเห็น เช่นหลับใหล
น้ำเกาะกาย รายลงดิน ซึมสิ้นไป
เจ้าพรานให้ ไตร่ตรอง จ้องมองพลัน
ไหลเป็นทาง ประมาณวา แทรกหล้าหาย
พรานเถื่อนชาย ตาจ้อง ต้องสรวลสันต์
แสยะยิ้ม ฉัททันต์สิ้น ไม่นานครัน
ปลงใจมั่น นั่งหลับนก บนคบไทร

ครั้นรุ่งสาย พลายพล มาตงค์เผ่า
พาฝูงเข้า ลำเนาป่า ลับตาหาย
เจ้าพรานเห็น เผ่นจากห้าง ลงล่างไว้
มือขวักไขว่ ใช้เลื่อยขวาน จามไม้พลัน
ตัดเป็นเสา ราววา ห้าหกท่อน
เลื่อยตัดทอน รอนกระดาน ตามทีหลัง
ไว้วางทับ ประกับเสา ยาวรับกัน
ฟั่นเถาวัลย์ ทำเชือกรัด ไว้มัดตรึง
แล้วขุดหลุม รุนดิน ทิ้งในป่า
ลึกหนึ่งวา หน้าจตุรัส ปักเสาขึง
ผูกคานรัด มัดหัวเสา สี่เส้าตรึง
กระดานขึง ทับคาน ต่างหลังคา
เจาะกระดาน กึ่งกลางโหว่ โผล่หัวได้
ทำแผ่นไม้ ไว้ปิดรู ดูเหมือนฝา
ทายางไม้ ไว้ด้านบน ขนดินมา
โรยแผ่นฝา ติดหน้าแข็ง แกร่งเหมือนดิน
หยิบผ้ากา สาวพัสตร์ มาผลัดเปลี่ยน
แกะเสบียง เกรียมข้าวตาก สากดั่งหิน
แช่น้ำก่อน อ่อนมือจับ ค่อยตักกิน
ครั้นเสร็จสิ้น นิ่งในหลุม ซุ่มพักกาย

ผ่านโมงยาม ทรมาน ช่างนานเหลือ
นั่งนอนเบื่อ เหงื่อก็ไหล ไคลเหนอะหลาย
เสื้อเปียกชุ่ม กลิ่นเหม็นกรุ่น คลุ้งกระจาย
ยิ่งเนิ่นสาย กระวายกระวน จนรำคาญ
หยิบศรใหญ่ ยืดกายดึง ตึงสุดแขน
หน้าไม่แดง แรงยังพอ รอสังหาร
เจ้าคชินทร์ ให้แดดิ้น สิ้นชีพปราณ
แต่ช้างสาร ช่างนานมา พาร้อนรน
นั่งกลัดกลุ้ม ซุ่มลำพัง สองวันผ่าน
เข้าวันสาม คชาธาร ลงธารสรง
หลังขึ้นสระ ฉัททันต์ พลันปลีกองค์
ปล่อยพลายพล ตรงมาลาน สำราญใจ
ยืนโดดเดี่ยว เดียวดาย รอกายแห้ง
ตรงตำแหน่ง แห่งเดิม เพลินลมไหว
หลับตาปิด จิตภวังค์ ช่างสบาย
เย็นพระพาย ชายชื่น รื่นสราญ
น้ำเกาะกาย เจ้าพลายไพร ไหลลงขา
เป็นทางมา หน้าหลุม ซุ่มสังหาร
ซึมดินหยด ตกตัว หัวกบาล
พรานพุ่งพล่าน ดันฝาโหว่ โผล่มายิง

เสียงศรพิษ ขวับมิดท้อง สารร้องลั่น
เจ้าพรานพรั่น ลั่นดาลหลบ กบดานสิง
เสียงกรีดดัง ฟังกังวาน จากลานดิน
เหล่าพลายสิ้น วิ่งยกโขลง ลัดดงมา
ถึงลานใหญ่ ใจเต้น เห็นเจ้าสาร
ทรมาน อาการหนัก เป็นนักหนา
เลือดไหลหลาก จากท้อง นองพสุธา
ให้โกรธา กราดเกรี้ยว เหลียวรอบกาย
เพ่งตาหา ปัจจามิตร คิดขยี้
บ่เห็นมี ที่เร้น คงเผ่นหาย
จึงแผดเสียง สำเนียงคลั่ง ลือลั่นไพร
ออกตามไล่ ใคร่กระชาก พรากชีวา
อึกทึก ครึกโครม โจนสับสน
เหล่ามาตงค์ ลนลาน เที่ยวตามหา
เจ้าคนชั่ว ทั่วพนัส ชัฏพนา
หมายเข่นฆ่า พร่าแดดิ้น ให้สิ้นใจ

ฝ่ายมหา สุภัททา ชายาสาร
เห็นนรการ นั่งทรุด ลุกไม่ไหว
เข้าแนบข้าง ไม่ห่างชู้ คู่ฤทัย
คอยชิดใกล้ ดำไรเจ้า เฝ้าระวัง
ท้าวคเชนทร์ เห็นภรรยา หน้าเศร้าสร้อย
จึงเอ่ยถ้อย ค่อยปลอบนาง จางโศกศัลย์
บอกบาดแผล แม้ดูใหญ่ ไม่ฉกรรจ์
ของามขำ ทำใจ ให้ผ่อนคลาย
เหล่าบริวาร ควานหา ปัจจามิตร
ทั่วทุกทิศ ประชิดตาม ไม่ห่างหาย
ไฉนเจ้า เฝ้าข้าง ไม่ห่างกาย
ไม่ละอาย ใจพวกพ้อง ฤาน้องยา
จงเร่งรุด บุกตาม บริวารเถิด
อย่าให้เกิด เล็ดลอด ออกนอกผา
มัวช้าอยู่ ศัตรูไป ไกลลับตา
ผองคชา จักพาโกรธ โทษนงราม

ท้าวชายา น้ำตาไหล จำใจจาก
เจ้าโขลงนาค ยากขัดใจ ให้เกรงขาม
ละล้าละลัง รังรอ ท้อดวงมาน
สุดสงสาร สางไท้ ตัดใจลา
พอลับตา ชายา คชาเจ้า
พลันย่างก้าว เข้าหาหลุม กรุ่นนาสา
กลิ่นเหม็นแตก ต่างที่ เคยมีมา
จึงใช้ขา แทนงาคุ้ย ตะกุยดิน
เห็นกระดาน ใต้ดินดาน คชสารโกรธ
เจ้าคนโฉด ใจโหดร้าย ซ่อนกายสิง
อยู่ใต้ไม้ นิ่งในหลุม ซุ่มใต้ดิน
ท้าวคชินทร์ สิ้นกลั้น พลันเหยียบลง
ไม้ลั่นเปรี้ยง สำเนียงดัง พลันหักแตก
เจ้าพรานแอบ ต้องแถกดิ้น กลิ้งสับสน
หลบไม้หัก พุ่งปักดิน เกือบทิ่มตน
กระเสือกกระสน ทรงกายยืน ฝืนสบตา
ท้าวคชา หน้าแดง แรงโทสะ
ใช้งวงจับ รัดพรานเฒ่า เข้ามาหา
จนชิดใกล้ ได้เห็น เต็มสองตา
พอเห็นผ้า กาสาวะ โทสะคลาย
นึกถึงองค์ สมณะ พระปัจเจก
ผู้เป็นเอก อเนกบุญ คุณมากหลาย
นำพาสัตว์ ให้สบสุข ทุกข์มลาย
โมโหหาย พลันคลายโกรธ โทษเจ้าพราน
จึงค่อยวาง พรานลง ยืนตรงหน้า
เอ่ยวาจา ปราศรัย ใจสงสาร
บอกคนเขลา เมากิเลส ซ่องเสพกาม
ไม่ควรหาญ ห่มกาสาว์ น่าอับอาย
แล้วเอื้อนถาม พรานไพร ใจฉกาจ
ท่านพยาบาท อาฆาตเรา แต่คราวไหน
จึงพิฆาต เข่นฆ่า พร่าถึงตาย
หรือมีใคร ใช้ท่าน ดั้นด้นมา

โสณุดร อ่อนล้า หน้าสลด
ยืนคอตก ไม่ปดตอบ บอกอาสา
องค์เทวี มเหสี สุภัททา
ในราชา กาสิกราช ราษฎร์แซ่ไกล
องค์ชายา ปรารถนา ซึ่งงาท่าน
ด้วยนางฝัน จำติด จิตหลงใหล
มีกุญชร ครองป่า พนาไพร
แสนยิ่งใหญ่ เกินใครเทียบ เรียกฉัททันต์
แม้ไม่ได้ งางาม ของช้างนี้
ดวงฤดี มีแต่เศร้า เฝ้าโศกศัลย์
มีชีพไป ก็เหมือนไร้ ซึ่งชีวัน
เหลือสังขาร ซมซานอยู่ ไม่สู้ตาย
ภูวไนย ร้อนพระทัย ในนงนาฏ
จึงประกาศ ราชโองการ พรานทั้งหลาย
ทั่วกาสี มีรวม จำนวนใด
ให้รีบไป รายงานเข้า เฝ้าราชินทร์
ใครสามารถ พรากชีวา คชาได้
เหนือหัวให้ ส่วยทาส มากทรัพย์สิน
เรือกสวนไร่ ใกล้ไกล ให้ทำกิน
แลกสองกิ่ง งาวาว เจ้าฉัททันต์
หกหมื่นพราน ลนลานมา บัญชาไท้
ตัวข้าให้ นางต้องใจ เหมือนในฝัน
จึงบัญชา มาฆ่าสาร ผลาญชีวัน
ตัดงาท่าน กำนัลตอบ มอบเทวี

เมื่อนั้น…มหาสัตว์ สดับพราน พลุ่งพล่านนัก
เจ้าจุลล สุภัททา มารศรี
น้องเคืองโกรธ โทษพี่จาง ร้างไมตรี
จึงแค้นพี่ ข้ามชาติ พิฆาตกัน
เจ้าบอกกล่าว เล่าความ งางามพี่
สวยกว่ากรี หัตถีใด ในไพรสัณฑ์
ล้ำเลอค่า กว่าสินทรัพย์ นับอนันต์
หลับยังฝัน จำติด จิตฝังตรึง
ไม่ได้ครอง สองงา อุราเศร้า
ตรมปวดร้าว เปล่าเปลี่ยวจิต เฝ้าคิดถึง
มีชีพไป ก็ไม่คลาย หายคำนึง
ร่ำนึกถึง แต่งาคู่ อดสูใจ
แท้กานดา อาฆาต พยาบาทพี่
แสร้งทำที มีน้ำตา อุราสลาย
หวังราชโกรธ พิโรธฆ่า พี่ยาไป
อรไท จึงคลายจิต คิดจองเวร
ผิเยี่ยงนั้น ชีวันพี่ จักพลีให้
มอบเจ้าไป ให้เจ้าได้ คลายทุกข์เข็ญ
สิ้นอาฆาต สิ้นชาติภพ จบกรรมเวร
สิ้นเยื่อใย อาลัยเห็น เป็นสามี
จึงบัดนั้น ฉัททันต์ เจ้าพังสาร
เอ่ยเรียกพราน ชำนาญไพร อย่าไกลหนี
เข้ามาหัก ตัดงาไป ให้เทวี
เราน้อมพลี ชีวัน กำนัลนาง
บอกชายา เจ้ากาสี ที่ผูกโกรธ
จงงดโทษ โปรดอภัย ในช้างสาง
ที่ยังรัก ภักดี มีให้นาง
แม้ว่ากาล ผ่านไป ไม่เปลี่ยนแปลง
ฝ่ายพรานใหญ่ ให้ขื่นขม ระทมยิ่ง
ยินคชินทร์ กรินทร์กล่าว เศร้าเหลือแสน
ค่อยขยับ จับเลื่อย เนือยอ่อนแรง
ซ้ำเข่าแข้ง เคยแกร่งโรย ระโหยไป
เขย่งขา เอื้อมคว้า งาไม่ถึง
หวังจักดึง งาให้ต่ำ ช่างยากหลาย
ท้าวคเชนทร์ เห็นยื้อยุด จึงทรุดกาย
พรานสบาย คลายเกร็ง เขย่งยืน
คชาธาร วางพักตร์ ลงทับหล้า
พรานเถื่อนพา อุราไหว จำใจฝืน
ขึ้นเหยียบงวง ราวพวงเงิน เดินไปยืน
ช้างไม่ขืน ฝืนขัด ยอมตัดใจ
ถึงกระพอง นรการ เจ้าพรานหยุด
ลงนั่งทรุด ซุกเข่าต้อน ก้อนเนื้อไหล
ย้อยข้างปาก ยากจักผลัก ดันกลับไป
กว่าเข้าได้ ใคร่ถอดใจ ไปหลายครา
หมดเนื้อย้อย ห้อยบัง จึงพลันเห็น
โคนงาเด่น เปล่งอร่าม งามนักหนา
ลงกระพอง พร้อมคว้าจับ เลื่อยตัดงา
สอดหน้าขา กรรไกร ไสขึ้นลง
เสียงเลื่อยสี กรีสะท้าน สรรพางค์ร่าง
ไม่ครวญคราง ร้าวรานทน ตรมขื่นขม
เจ็บปวดแสน ไม่แค้นโกรธ โทษอนงค์
หวังตัดวง เวียนกรรม สะบั้นไป

ผ่านพักใหญ่ เหงื่อพรานไหล ไคลรินหยด
แรงก็หด หมดกำลัง ยังฝืนไส
มหาสัตว์ กัดฟันทน ปนเห็นใจ
จึงถามไถ่ ให้ตนเสริม เพิ่มอีกแรง
พรานได้ยิน คชินทร์เจ้า รวดร้าวจิต
นึกตำหนิ ผิดเพราะตัว ชั่วเหลือแสน
ก่อแต่บาป หาบนรก หมกไฟแดง
ระบายแค้น แทนเขา เรารับกรรม
จึงร้องบอก ตอบไป ใจช้ำเศร้า
โอ้พ่อเจ้า เกล้าสิ้นแรง ไม่แข็งขัน
คงยากหัก ตัดงาไป ให้ทรงธรรม
มอบจอมขวัญ กัญญา มหาเทวี
แม้นพ่อเจ้า เหล่ากุญชร ไม่ยอมช่วย
เกล้าคงม้วย ด้วยอาญา เจ้ากาสี
มีชีพกลับ ก็คงดับ ลับชีวี
ยากจักหนี ผีหัวขาด อนาถใจ
เจ้าพญา คชาธาร ฟังพรานกล่าว
ตอบพรานเจ้า เราก็เพลีย อ่อนเปลี้ยหลาย
วานท่านงัด งวงทับเลื่อย เหนื่อยคงคลาย
จึงจักง่าย ได้ผ่อนหนัก ผลัดกันดึง
พรานเถื่อนฟัง พลันยกงวง ถ่วงบนด้าม
เลื่อยงางาม ไม่นานครัน พลันขาดผึง
โลหิตสาร ดั่งธารไหล ให้ตะลึง
เจ้าสารดึง ดันเปรย เผยความนัย
สหายพราน เราประทาน งางามท่าน
ใช่เพราะชัง มันหนัก จึงผลักไส
ใช่ไม่รัก ไม่หวง ห่วงอาลัย
หรืออยากใหญ่ ในสงสาร โลกมารพรหม
แต่เรารัก พระสัพพัญญุตญาณ
กว่าสังขาร ไม่นานตาย กายทับถม
ดินกลบร่าง ต่างบุญกรรม นำวกวน
เดี๋ยวสุขสม เดี๋ยวตรมเศร้า คละเคล้ากัน
ขออานิสงส์ ผลทาน ในการนี้
จงเกิดมี อานุภาพ มากเสกสรร
ให้ได้พบ สงบทุกข์ สุขนิรันดร์
ข้ามสงสาร โอฆะ ละโลกไป
แล้วเอ่ยถาม พรานไพร ใจฉกาจ
มากสามารถ ยากฝ่า พนาไศล
ท่านบุกดง พนมสิงค์ สิ้นเท่าใด
นานแค่ไหน เท่าไรบอก วานตอบที

พรานหน้าเศร้า เล่าตอบ บอกพลเคลื่อน
เจ็ดปีเดือน เจ็ดวันจึง มาถึงนี่
กรินทร์คิด อธิษฐาน บารมี
ที่ยอมพลี ชีวีให้ ไม่นำพา
แม้ศรปัก ชนักติด ไม่ปริปาก
ไม่อาฆาต พิฆาตคน ห่มกาสาว์
ขอกุศล ผลบุญ หนุนนำพา
ให้พรานป่า ฝ่าไพร ไร้กังวล
ให้กลับถึง ซึ่งกาสี ธานีแก้ว
โดยคลาดแคล้ว แผ้วภัย ในไพรสณฑ์
เจ็ดวันถึง กรุงไกร ได้บังคม
ถวายงา อ่าอนงค์ องค์เทวี
เสร็จกำหนด จดจิต อธิษฐาน
จึงบอกพราน เดินทางพลัน ยังกาสี
พาลมฤค พฤกษ์พราย อย่ากรายมี
กลับธานี บุรีไป ในเจ็ดวัน
ให้ได้ลาภ วาสนา นานาสมบัติ
มากสินทรัพย์ นับอนันต์ ดั่งคิดหวัง
นามกระเดื่อง เลื่องสามารถ ตราบนิรันดร์
สบสุขสันต์ ทุกวันคืน ชื่นสราญ
ทันใดนั้น ธราดล พิกลสั่น
กระเพื่อมลั่น สนั่นเสียง สำเนียงสาง
แว่วแต่ไกล บัดเดี๋ยวให้ คล้ายใกล้ลาน
พรานพลุ่งพล่าน เหงื่อกาฬตก อกร้อนรน
ท้าวฉัททันต์ สำเหนียกฟัง พลันรู้ว่า
เหล่าพังคา เคลื่อนพลมา โกลาหล
ตามไม่พบ วกกลับมา พากังวล
บอกพรานจง เร่งรีบ หลีกเดินทาง
ให้นิราศ จากไป ในบัดนี้
ก่อนเหล่ากรี มีอาฆาต มากช้างสาร
ยกพลพรรค กลับมาพร้อม ล้อมทั่วลาน
ท่านจักพาน ถูกผลาญสิ้น นิ่งอยู่ไย
โสณุดร สะท้อนใจ อาลัยแสน
เนตรช้ำแดง แสลงอุรา น้ำตาไหล
ยากจักหัก ตัดจิต ทิ้งมิตรไป
จำจากไกล ไอยรา พาเศร้าตรม
รีบแบกงา วิ่งหาผา หน้าตาตั้ง
เห็นเชือกพลัน จาบัลย์จาง พลางสุขสม
เร่งฉวยจับ มัดงาคู่ ดูลุกลน
แล้วผูกตน วนเชือกครอบ รอบรัดกาย
เสร็จหยิบพลุ จุดไฟ เร็วไวยิ่ง
ชูมือยิง ยินเสียงบึ้ม ขึ้นฟ้าใส
แตกสว่าง ท่ามกลางหาว วาววับไกล
เหล่าดำไร ให้ประหลาด กวาดตามอง
เห็นพรานเถื่อน ตัวเปื้อนโคลน ตาโปนเหลือก
ให้แค้นเดือด เลือดพล่าน ซ่านทั้งผอง
ต่างวิ่งหา โกรธาพุ่ง ตะลุมบอน
แผดเสียงก้อง จ้องประหาร ผลาญชีวัน
ฝ่ายข้าทาส ลูกหาบรอ พอยินเสียง
สนั่นเปรี้ยง เสียงพลุแตก แทรกไพรสัณฑ์
ให้ตระหนก ตกใจ รีบไวพลัน
ต่างแข่งขัน กันเกรียวกราว สาวเชือกดึง
สารพารณ มาตงค์นาค เกรี้ยวกราดยิ่ง
ตามโกยวิ่ง ทิ่มเสือกงา ตาขมึง
พรานครั่นคร้าม สัญญาณไป ให้รีบดึง
กระตุกเชือก เกือบขาดผึง ดึงให้ไว
เหล่าสมุน ชุลมุน รุมกันชัก
พรานขยับ ระดับลอย เหงื่อย้อยไหล
เหล่าคชา ถลาเบียด แทงเฉียดไป
พรานงอเข่า สาวเชือกใหญ่ ไวเหมือนลิง
งาแทงถาก บาดทวาร พรานตระหนก
หนังถลก เลือดหยดสาด ราดอาบหิน
รีบไต่ขึ้น ทะลึ่งหนี กรีกรินทร์
ทั่วตัวสิ้น ถูกหินขูด ครูดรอบกาย
พอถึงยอด รอดพ้น ล้มนอนแผ่
ร่างเกลื่อนแผล แม้ฉกรรจ์ นานวันหาย
แต่แผลลึก สำนึกผิด ติดจนตาย
ไม่เหือดหาย คลายระบม ต้องทนตรอม

เจ้าพญา คชาธาร เห็นพรานรอด
ทรุดกายหมอบ พลางถอดใจ ไร้พลผอง
นอนโดดเดี่ยว เปลี่ยวฤทัย ในพนอง
ตรมหม่นหมอง แหงนมองฟ้า ตาพร่าเลือน
เสียงเหล่าสงฆ์ ธุดงค์ชัฏ ทำวัตรแว่ว
ลอยมาแผ่ว แผ้วดวงใจ เศร้าคลายเหมือน
เมฆบังจันทร์ พลันเคลื่อนหาว สกาวเดือน
จิตฟูเฟื่อง เรืองรุ่ง พุ่งออกกาย
 <script src=" ></a>


ที่มา : พุทธชาดก


 เปิดอ่านหน้านี้  6018 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย