ปรทัตตูปชีวีเปรต เขียนโดย สืบ ธรรมไทย

 pt  4,846 

ย้อนหลังลงไป ๙๒ กัปนับจากสมัยปัจจุบัน สมัยนั้นพระศาสดาที่ทรงเผยแผ่หลักพระธรรม คำสอนในบวรพระพุทธศาสนา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระปุสสะบรมโลกนาถ ขณะที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพพุทธศาสนาถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ ขุนนาง ตลอดจนไพร่ฟ้าทุกหมู่เหล่า พวกเขาต่างก็ตั้งตนอยู่ในศีลในธรรมกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ครานั้นพระ เจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์ที่เรารู้จักดี พระองค์ได้ทรงถือกำเนิดเกิดเป็นขุนคลัง ข้าราชบริพารภายใต้พระบารมีของพระโอรสสามพระองค์แห่งกษัตริย์สมัยนั้น

ขุนคลังผู้นี้ได้รับหน้าที่จากพระโอรสทั้งสามให้ดูแลเรื่องการจัดเลี้ยงถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ที่ท้าวเธอทั้งสามทรงนิมนต์มาฉันที่วังเป็นประจำทุกวันมิได้ขาด เนื่องจากจำนวนภิกษุมีมาก ลำพังตนเองเขาเกรงไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง ดังนั้นจึงไปเกณฑ์ญาติๆให้มาช่วยงานที่โรงครัวคอยดูแลพวกแม่ครัวแทนตนส่วนตนเองก็ทำหน้าที่ต้อนรับขับสู้พระคุณเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว

แรกๆบรรดาญาติก็ขยันขันแข็งดี แต่พอนานเข้าก็ชักจักเริ่มประมาท มีการแอบบริโภคอาหารก่อนพระภิกษุบ้าง หรือหากไม่แอบบริโภคก็แอบนำเอาของสดของแห้งที่ใช้ประกอบอาหาร ไปขายแลกเงินบ้าง พวกเขาเฝ้าทำอย่างนี้อยู่เป็นอาจิณ ครั้นพอชีวีขาดสิ้น บาปที่ทำไว้จึงนำให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ทนรับทัณฑ์เพราะใจสกปรกอยู่เป็นเวลาช้านาน หลังจากพ้นผ่านนรกมาแล้ว ก็ยังไม่แคล้วต้องมาเกิดเป็นเปรตเพื่อรับเศษของบาปติดต่อกันอีก เป็นเวลาหลายชาติหลายภพ

จนสุดท้ายต่างก็มาเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต ซึ่งถือเป็นเปรตชั้นดีหน่อย สามารถจักรับส่วนบุญจากญาติได้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่วายต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากอยู่เหมือนเดิม เนื่องจากไม่มีญาติคนใดแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลมาให้ จักหวังพึ่งขุนคลังหรือก็ไปเกิดเป็นเทพยดาอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าเสียตั้งเนิ่นตั้งนานแล้ว หาได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับพวกเปรตพวกผีอย่างตนไม่ ดังนั้นถึงจักได้เป็นปรทัตตูปชีวีเปรตก็จริง แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจล่วงไปจากความทุกข์ได้

พวกเขาต้องซัดเซพเนจร เที่ยวเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ เพื่อหวังจักพบ จักเจอะ จักเจอกับญาติหรือคนรู้จักสมัยเป็นมนุษย์ เผื่อคนเหล่านั้นทำบุญแล้วเกิดนึกถึงพวกเขา ก็อาจจักแผ่ส่วนบุญมาให้พวกเขาบ้าง ครานั้นพวกเขาก็จักได้บริโภคข้าวปลาอาหาร พอให้ความทุกข์ทรมานที่มีอยู่มันบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง ถึงจักไม่มาก แม้เพียงเศษเสี้ยวก็ยังดี แต่ผ่านมาหลายหมื่นปีก็ยังไม่มีผู้ใดแผ่ส่วนบุญมาให้พวกเขาเลย

พุทโธ่! ก็จักให้แผ่อย่างไร ขนาดญาติกันหรือเพื่อนสนิทกัน ไม่พบหน้ากันสักสิบยี่สิบปี พอไปเจอข้างนอกบางทีเรายังจำเขาไม่ได้ หรือไม่เขาก็จำเราไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องที่ผ่านไปเป็นชาติเป็นภพแล้วจะมาคิดเอาว่าเขาต้องจำเราได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!

แต่ก็นั่นแหละกับพวกเปรตพวกผีที่ทุกๆเวลานาทีมีแต่ความทุกข์ทรมาน ถึงจักรู้ว่ามันยากที่จะเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็จะไม่ยอมปล่อยโอกาสอันน้อยนิดนี้ให้หลุดลอยไปเป็นอันขาด เพราะมันคือความหวังเดียวของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเฝ้าตะเกียกตะกาย เที่ยวตระเวนหาคนที่เคยรู้จักสมัยเป็นมนุษย์ไปตามที่ต่างๆ ด้วยหวังว่าต้องมีสักครั้งที่คนเหล่านั้นจะระลึกนึกถึงพวกเขา จนผ่านยุคของสมเด็จพระปุสสะพุทธเจ้าเข้าสู่ยุคของ สมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของภัทรกัปนี้ ปรากฏระยะเวลาอันยาวนานถึงหนึ่งพุทธันดรที่ผ่านมาเปรตเหล่านี้ก็ยังไม่มีตนใดได้รับส่วนบุญจากญาติอุทิศแผ่มาให้แม้แต่เพียงตนเดียว! พวกเขายังทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากอยู่เหมือนเดิม

ยุคของสมเด็จพระกกุสันโทพุทธเจ้าศาสนาพุทธหลังจากที่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา บัดนี้ก็พลันกลับฟื้นขึ้นมามีความเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง ผู้คนที่เกิดยุคนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้มีใจฝักใฝ่อยู่แต่ในบุญในกุศล ทุกเช้ายังมิทันที่พระอาทิตย์จักโผล่พ้นขอบฟ้า เหล่าปวงประชาต่างก็พากันจูงลูกจูงหลานออกมารอตักบาตรถวายทานกันให้เนืองแน่นไปหมด มีตั้งแต่ชรายันทารก แต่ละคนล้วนยิ้มแย้มเบิกบานทักทายกันอย่างสนิทสนม จักได้มีผู้ใดที่มีสีหน้าอมทุกข์ออกมาให้เห็นแม้เพียงสักผู้สักนามก็หาไม่ ช่างเป็นภาพที่งดงามจับตาจับใจเสียยิ่งนัก

หลังจากตักบาตรแล้วใครที่มีญาติล่วงลับ ไม่ว่าจักเป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายหรือเพื่อนสนิทมิตรสหายคนใดก็ตาม เขาก็จักกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญไปให้กับผู้ล่วงลับเหล่านั้นทันที ฝ่ายผู้ที่เป็นปรทัตตูปชีวีเปรตเมื่อเห็นญาติแผ่บุญมาให้ก็ดีอกดีใจ รีบยกมือพนมไหว้ร่วมอนุโมทนาในบุญนั้นกันให้สลอนบัดนั้นเองพื้นที่รอบๆบริเวณนั้นก็ปรากฏเป็นภาพอัศจรรย์ขึ้นมา บรรดาเปรตที่เคยผอมแห้งอดโซ ผิวเนื้อกะดำกะด่าง พอเขายกมืออนุโมทนาในบุญเท่านั้น ฉับพลันก็มลายหายวับไปจากตรงหน้า ต่างพากันไปเกิดใหม่กันให้พรึบพรับ บ้างก็ไปเป็นเทวดา บ้างก็กลับมาเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุญของเจ้าตัวว่าจะมีมากมีน้อยเพียงใด

จะเหลืออยู่ก็แต่เปรตญาติของขุนคลังเท่านั้นที่ยังคงสภาพของความเปรตไว้อย่างเหนียวแน่น เนื่องจากไม่มีใครแผ่บุญมาให้ พวกเขาเมื่อเห็นเปรตตนอื่นพอรับส่วนบุญจากญาติก็พากันไปเกิดใหม่ จึงให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตนเสียยิ่งนัก จึงชวนกันไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาค เพื่อจักถามว่าพวกตนจักพ้นไปจากสภาพของเปรตนี้ได้เมื่อไหร่

สมเด็จพระชินสีห์ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาทีพวกเขา จึงทรงมีพระพุทธฎีกาประทานว่า “ ดูก่อนเปรต! แม้ในศาสนาเราพวกท่านก็ยังมิอาจพ้นไปจากสภาพของเปรตได้ ต่อเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้วจนแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ สมัยนั้นจักมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคมโน ลงมาตรัสรู้ที่ในโลกนี้ ขอพวกท่านจงคอยถามเอากับพระองค์เถิด ”

บรรดาเปรตพอฟังก็ให้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังกันไปตามๆกัน หลังจากได้ก้มลงกราบแทบเบื้องพระยุคลบาทแห่งองค์พระศาสดาพวกเขาจึงขออนุญาตทูลลาพระองค์ออกมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก แล้วก็โซซัดโซเซจากไปหาอาหารกันต่อไปตามยถากรรม จนสิ้นศาสนาของพระกกุสันโธพุทธเจ้เข้าสู่ยุคของพระโกนาคมโนพุทธเจ้า เปรตญาติขุนคลังหลังจากที่ถ่างตารอมานานถึงสองพุทธันดร ครั้นทราบบัดนี้ได้มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่อุบัติแล้ว พวกเขาจึงให้ดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบพากันไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคทันใดเพื่อจักทูลถามปัญหาที่คับข้องใจเหมือนเดิม

สมเด็จบรมครูครั้นทรงสดับคำถาม จึงทรงมีพระพุทธบรรหารประทานกับพวกเขาว่า “ ดูก่อนเปรต! แม้ในศาสนาเราพวกท่านก็ยังมิอาจพ้นไปจากสภาพของเปรตได้ดอก ต่อเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้วจนแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ สมัยนั้นจักมีศาสดาพระองค์ใหม่พระนามว่า กัสสปะ ลงมาตรัสรู้ที่ในโลกนี้ ขอพวกท่านจงคอยถามเอากับพระองค์เถิด ”

ครั้งนี้บรรดาเปรตญาติขุนคลังพอฟังพระพุทธบรรหารก็ถึงกับแข้งขาอ่อนแรง ทรุดลงไปนอนแอ้งแม้งกองอยู่กับพื้นทันที เนื่องจากพวกเขาต่างมีความหวังว่าตนจะพ้นไปจากสภาพของเปรตได้ภายในเร็ววันนี้ ที่ไหนได้ยังต้องรอไปอีกถึงหนึ่งพุทธันดร บางตนไม่รู้จะระบายความคับแค้นอย่างไรก็ยกมือขึ้นมาจิกทึ้งหนังหัวตนเอง บางตนก็ตีอกชกตัวร้องห่มร้องไห้ ด้วยว่ามิอาจแก้ไขอันใดได้ แต่อย่างไรสุดท้ายต่างก็ค่อยๆทูลลาพระศาสดาออกมา เที่ยวดั้นด้นเสาะหาอาหารกันต่อไป ถึงแม้นจักรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้จักทำอะไรได้ดีกว่านี้
จนสิ้นศาสนาของสมเด็จพระโกนาคมโนพุทธเจ้า เข้าสู่ยุคของสมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้า เปรตญาติขุนคลังหลังจากผิดหวังมาแล้วสองครั้งสองครา บัดนี้ครั้นทราบว่ามีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่อุบัติแล้วอีกพระองค์ พวกเขาจึงเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาใหม่ รีบพากันไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคทันใด เพื่อจักทูลถามปัญหาที่ค้างคาใจอันเดิม

สมเด็จพระศาสดาเมื่อทรงสดับวาจาเปรตจึงทรงมีพระเมตตาประทานพุทธทำนายต่อพวกเขาว่า “ ดูก่อนเปรต แม้ในศาสนาเราพวกท่านก็ยังไม่อาจพ้นไปจากสภาพของเปรตได้ดอก ต่อเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้วจนแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ สมัยนั้นจักมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมลงมาตรัสรู้ที่ในโลกนี้ แลครานั้นจักมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งพระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร พระองค์จักทรงถวายทานแด่จอมมุนี หลังจากทรงถวายทานแล้ว ท้าวเธอก็จักทรงกรวดน้ำอุทิศส่วนพระราชกุศลมาให้พวกท่าน ครั้งนั้นแลพวกท่านจึงจักได้บริโภคข้าวปลาอาหาร แลจักได้พ้นจากสภาพอันทุกข์ทรมานของเปรตนี้ได้! ” บรรดาเปรตพอฟังก็ถึงกับตื่นเต้นดีใจยกใหญ่ ราวกับว่าตนจักพ้นไปจากสภาพของเปรตกันได้ภายในวันนี้พรุ่งนี้ก็มิปาน แต่ทว่าจริงๆแล้วยังหรอก โน่น! ยังต้องรอถึงอีกหนึ่งพุทธันดรโน่น!

กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จักหาสิ่งใดจีรังยั่งยืนไม่มี หลังจากศาสนาของสมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้าได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด สุดท้ายก็ถูกกลืนหายไปตามกาลเวลา จนล่วงเข้าสู่ยุคของศาสดาพระองค์ใหม่พระนามว่าสมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดม เมื่อถึงยุคนี้ท่านขุนคลังผู้ซึ่งเสวยสุขอยู่บนสรวงสวรรค์เสียนานแสนนาน บัดนี้ก็ถึงกาลที่เขาจักต้องจุติแล้ว ดังนั้นจึงลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ปกครองแค้วนมคธพระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร

พระเจ้าพิมพิสารในสมัยพุทธกาล ทรงถือว่าเป็นกษัตริย์ที่มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งพระองค์หนึ่ง ทรงอุปถัมภ์พระศาสนาจนคนสมัยนั้นถึงกับขนานนามแคว้นมคธว่าเป็นดินแดนแห่งพระธรรม อย่างวัดเวฬุวันที่เรารู้จัก และถือเป็นวัดแห่งแรกของศาสนาพุทธ พระองค์ก็ทรงสร้างถวายแด่พระศาสดา

นอกจากจักทรงเป็นผู้มากไปด้วยอามิสบูชายังมิพอ ถึงจักเป็นปฏิบัติบูชาพระองค์ก็ทรงถือว่ามิได้ทรงน้อย หน้ากษัตริย์ใดในสมัยนั้นเช่นกัน เพราะทรงเป็นถึงพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันแล้ว ทรงปิดประตูแห่งอบายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีแต่เทวโลกกับมนุษย์โลกเท่านั้นที่จักทรงเวียนว่ายตายเกิด แลช้าสุดก็ไม่เกิน ๗ ชาติเท่านั้น เรื่องของราชันย์พระองค์นี้หากจะเล่า เห็นทีคงต้องแยกเล่มออกไปต่างหาก เนื่องจากเนื้อหาที่จะนำมากล่าวนั้นมีอยู่มากมายจริงๆ เพื่อมิให้เสียเวลาจึงขอรวบรัดว่า

หลังจากที่พระเจ้าพิมพิสารทรงประกาศตนเป็นพุทธมามกะยังเบื้องพระพักตร์แล้ว พระองค์ก็ทรงถวายภัตตา หารแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาค แต่ขณะนั้นพระทัยของพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วย อจลศรัทธา ( ศรัทธาที่หนักแน่นมั่นคง ไม่สงสัยในพระรัตนตรัยแม้แต่น้อย) ทรงมีแต่ความอิ่มเอิบอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจักเป็น ปุพพเจตนา(เจตนาก่อนถวาย) มุญจเจตนา (เจตนาขณะถวาย) หรือ อปรเจตนา (เจตนาหลังถวาย) พระทัยของพระองค์ก็ทรงคิดถึงแต่อานิสงส์ของผลทานอยู่เพียงอย่างเดียว มิได้ทรงเฉลียวไปนึกถึงเรื่องใด ยิ่งกว่านั้นยังทรงคิดไปไกลหากได้ทรงถวายเสนาสนะแลคันธกุฎีแด่องค์จอมปราชญ์อีก เห็นทีอานิสงส์ที่ได้คงจักมากมายมหาศาลไปกว่านี้อีกเป็นแน่!

จนทรงลืมแผ่ส่วนพระราชกุศลไปให้กับเปรตพระญาติที่กำลังเฝ้ารออย่างกระวนกระวายมิเป็นสุข คอยแต่จับจ้องมองว่าเมื่อใดพระองค์จึงจักทรงระลึกนึกถึงพวกเขาเสียที แผ่บุญแผ่บารมีมาให้พวกเขาบ้าง เพราะตั้งแต่ทราบข่าวพระศาสดาจักเสด็จมายังแคว้นมคธ พวกเขาก็ชวนกันมาตั้งท่าคอยเพื่อจักร่วมอนุโมทนาในบุญครั้งนี้กันตั้งเนิ่นตั้งนานแล้ว พอเห็นจอมกษัตริย์ทรงถวายทานเสร็จก็เฝ้าดูว่าเมื่อใดจึงจักทรงแผ่ส่วนพระราชกุศลมาให้ เฝ้าแต่ชะแง้แลมอง ผุดยองผุดลุก ร้อนรุ่มอยู่มิเป็นสุขมาตั้งแต่ก่อนอรุณจักรุ่ง จนบัดนี้ดวงดาราต่างก็พากันทอแสง พระอาทิตย์ฤาก็อ่อนแรงลาลับขอบฟ้าไปตั้งเนิ่นตั้งนานแล้ว ไฉนจึงยังไม่มีวี่แววว่าพระองค์จักทรงระลึกนึกถึงพวกเขาเสียที

พระพุทธฎีกาแห่งพระศาสดากัสสปะที่ทรงบอกว่าพวกเขาจักได้บริโภคข้าวปลาอาหาร แลจักได้พ้นไปจากสภาพอันทุกข์ทรมานของเปรต ก็ในสมัยของสมเด็จพระสมณโคดมยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา แม้กาลจักล่วงมาเป็นพุทธันดรแล้วก็ตาม แต่พวกเขายังจำได้ดี แล้วไฉนบัดนี้เมื่อทรงถวายทานเสร็จพระองค์กลับทรงลืมกรวดน้ำแผ่ส่วนพระราชกุศลมาให้พวกเขาเสียเล่า

ดังนั้นพอล่วงมัชฌิมยามคืนนั้น บรรดาเปรตที่ทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากมาช้านาน ก็มิอาจจักทนทานต่อไปได้อีก จึงพากันกรีดเสียงร้องออกไป ยังผลให้จอมราชาที่บรรทมหลับใหลอยู่อย่างเป็นสุข ถึงกับทรงสะดุ้งตกพระทัยตื่น จากนั้นก็มิอาจทรงฝืนข่มพระเนตรให้หลับต่อไปได้อีก จวบจนปัจจุสมัยจึงเสด็จไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคทันที องค์สมเด็จพระชินสีห์ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาทีที่จอมกษัตริย์ทรงเล่าถวาย จึงทรงมีพระพุทธบรรหารประทานแก่จอมไท้ว่า

“ ดูก่อนมหาบพิตร ขออย่าทรงวิตกเลย เหตุร้ายใดๆหาได้มีแก่พระองค์ไม่ เสียงที่ทรงได้ยินนั้นคือเสียงเปรตพระญาติของพระองค์เป็นผู้ร้องขึ้นด้วยพวกเขาต้องการจักสื่อให้ทรงทราบว่าพวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากมาช้านาน หวังจักได้รับพระราชทานส่วนพระราชกุศลจากพระองค์แผ่มาให้ตั้งแต่เมื่อวันวาน แต่พอทรงถวายทานเสร็จพระองค์กลับทรงลืมกรวดน้ำอุทิศส่วนพระราชกุศลไปให้พวกเขา พวกเขาเลยผิดหวังยกใหญ่ ดังนั้นคืนที่ผ่านมาจึงพากันมาส่งเสียงร้องเพื่อเตือนให้ทรงทราบว่า อย่าทรงลืมกรวดน้ำแผ่ส่วนพระราชกุศลมาให้พวกเขาบ้าง ขอถวายพระพร ”

ราชาพิมพิสารพอทรงสดับจึงทรงกราบบังคมทูลขอพระราชอนุญาตหลั่งน้ำทักขิโณทกยังเบื้องพระพักตร์พระศาสดา เพื่อแผ่ส่วนพระราชกุศลไปให้กับเปรตเหล่านี้ทันที โดยครั้งนั้นจอมราชาได้ทรงกล่าวคำอุทิศส่วนพระราชกุศลว่า อทํโน ญาตีนํ โหตุ (ขอผลทานจงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้าเถิด) ทันทีที่ทรงกล่าวจบสระโบกขรณีอันดารดาษไปด้วยปทุมชาติหลากสีสัน ก็พลันอุบัติขึ้นยังเบื้องหน้าเปรตทันทีทันใดเช่นกัน พวกเขาต่างลิงโลดดีใจ รีบพากันลงไปอาบดื่มกินน้ำในสระกันเป็นการใหญ่ บัดนั้นรูปร่างที่เห็นแล้วอุจาดลูกนัยน์ตา ฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นสุกใสเรืองรองราวกับทองทาปรากฏขึ้นมาแทนที่ ความหิวความกระหาย ตลอดจนความทุกข์ทั้งหลาย ก็ถึงกาลระงับดับคลาย เหือดหายลงไปจนหมดจนสิ้น

หลังจากที่ทรงอุทิศส่วนพระราชกุศลของเมื่อวันวานไปให้แล้ว ต่อจากนั้นจอมกษัตริย์ก็ทรงถวายภัตตาหารของเช้าวันใหม่อันมีข้าวสวยข้าวยาคู แลสรรพอาหารนานาชนิดแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคอีก ครั้งนี้เมื่อทรงถวายเสร็จก็ทรงรีบอุทิศส่วนพระราชกุศลไปให้กับเปรตพระญาติทันที

ทันใดนั้นบรรดาโภชนาทิพย์อันประกอบไปด้วยอาหารหวานคาวชนิดต่างๆ ก็พลันอุบัติขึ้นยังเบื้องหน้าพวกเขาทันทีเช่นกัน ไม่พอเท่านั้น หลังจากสมเด็จพระพุทธองค์ทรงฉันภัตตาหารเสร็จจอมราชันย์ก็ทรงถวายผ้าไตรจีวร เสนาสนะ แลคันธกุฎีแด่พระศาสดาอีก พอทรงถวายเสร็จก็ทรงอุทิศส่วนพระราชกุศลไปให้กับเปรตพระญาติอีก บัดนั้นผ้าทิพย์แลวิมานทิพย์ก็พลันอุบัติขึ้นแก่พวกเขา


เนื่องจากพอพระองค์ทรงกล่าวคำอุทิศส่วนพระราชกุศลไปให้ บรรดาเปรตต่างก็ยกมือพนมไหว้ร่วมอนุโมทนาในบุญนั้น ทำให้เกิดเป็นปัตตานุโมทนามัยกุศล (บุญเกิดจากการยินดีเมื่อรู้หรือเห็นผู้อื่นทำความดี) ยังผลให้พวกเขาได้พ้นไปจากสภาพอันทุกข์ทรมานของเปรตได้ในที่สุด ต่างพากันไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาพร้อมกันถ้วนหน้า ได้ครอบครองทิพสมบัติอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า ต่อไปอีกนานแสนนาน .

จากเรื่องที่นำมาเล่าคงพอจักเห็นกันแล้ว สัตว์ในเปตติวิสยภูมิแม้ไม่มีใครมาคอยลงโทษลงทัณฑ์เหมือนดังกับสัตว์ในภูมินรกก็จริง แต่พวกเขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากผลบาปที่ตนสร้างมา ฉะนั้นหากผู้ใดไม่ปรารถนาจักไปเกิดเป็นสัตว์ภูมินี้ นับแต่นี้ก็ขอจงสร้างสมแต่คุณงามกระทำแต่ความดีให้มากเข้าไว้ ตายไปจักได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงๆจักได้ไม่ต้องมาทนโศกาอาดูรเหมือนดังกับเปรตพระญาติของพระเจ้าพิมพิสารดังที่บรรยาย

ด้วยความปรารถนาดี

สืบ ธรรมไทย
   

ที่มา : อ้างอิงจากพุทธชาดก และ โลกทีปนี เรียบเรียงโดย พระพรหมโมลี(วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)


RELATED STORIES



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย