พุทธศาสนา
ยุค พ.ศ. ๑๑๐๐-๑๓๐๐
(Buddhism in B.E.1100-1300)
ในยุคนี้อินเดียได้มีผุ้ปกครองที่เข้มแข็งสามารุรวบรวมหัวเมืองใหญ่น้อยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
หลังจากที่ราชวงศ์คุปะตะอ่อนแอลง พระองค์คือพระเจ้าหรรษาวรรธนะ
แห่งกันยากุพชะ (ลัคเนาว์ปัจจุบัน)สถานการณ์พุทธศาสนาในช่วงนี้
มีหลายสิ่งเกิดขึ้นคือ
๑.
สร้างถ้ำเอลโลร่า (Ellora Cave) |
|
พระพุทธรูปแกะสลักที่ถ้ำเอลโลร่า |
พ.ศ.๑๑๐๐
ในยุคนี้คณะสงฆ์โดยการสนับสนุนของกษัตริย์ ในอินเดียตะวันตกได้สร้างผลงานที่สำคัญและใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด
นั่นคือการเจาะภูเขาสร้างวัดทางพุทธศาสนาขึ้นที่เอลโลร่า
(Ellora Cave) ห่างจาก เมืองออรังคบาด รัฐมหราษฎร์อินเดียตะวันตกราว
๓๐ กิโลเมตร เอลโลร่าสร้างทีหลังถ้ำที่อชันตาถึง
๘๐๐ ปี เป็นถ้ำที่สวยงาม แต่เมื่อสร้างได้ราว
๑๒ ถ้ำก็หยุดก่อสร้างต่อมาศาสนาฮินดูและเชนก็มาสร้างร่วมด้วย
โดยเป็นของฮินดู ๑๗ ถ้ำ ของเชน ๕ ถ้ำ รวม ๓๔
ถ้ำ และที่พิศดารที่สุดคือถ้ำฮินดู นายช่างได้ออกแบบเจาะภูเขาลงมาจากด้านบน
เป็นรูปวัดฮินดูที่สวยงามหยดย้อย ในขณะที่ศาสนาพุทธและเชนใช้วิธีแกะสลักเข้าไปในภูเขา
ถ้ำเอลโลร่าเป็นถ้ำของพุทธศาสนานิกายมหายานล้วน
สร้างจนถึง พ.ศ.๑๔๐๐ ก็หยุดไป
พ.ศ.๑๑๕๐
กษัตริย์ศศางกะ (Sashanka) ครองราชย์อยู่ในแคว้นเคาฑะ
ในเขตเบงกอลปัจจุบัน เป็นกษัตริย์ฮินดู หัวรุนแรง
ได้ปลงพระชนม์กษัตริย์ที่นับถือพุทธศาสนานามว่า
ราชวรรธนะ และสังหารพระภิกษุแถวเมืองกุสินาราหมดไป
ทำให้คณะสงฆ์แถวนี้ขาดสูญ จากนั้นยังได้โค่นต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่
๒ ที่พุทธคยา (ต้นแรกได้ตายไป เพราะพระมเหสีของพระเจ้าอโศกเอายาพิษและน้ำร้อนลวก)
แล้วขุดรากขึ้นมาเผา จากนั้นได้นำเอาพระพุทธรูปออกจากวิหารพุทธคยา
แล้วเอาศิวลิงค์เข้าไปไว้แทน ปัจจุบันแม้จะได้มีการร้องเรียนให้เอาออกแล้ว
แต่ฐานของศิวลึงค์ยังปรากฏอยู่ ศศางกะได้ทำลายพุทธศาสนาลงอย่างมาก
แม้เหรียญตราของกษัตริย์นี้ยังเขียนว่า "ผู้ปราบพุทธศาสนา"
เมื่ออำนาจของศศางกะหมดไปแล้วในขณะที่ราชวงศ์ใหม่ของอินเดียก็เริ่มแผ่อำนาจกว้างขวาง
มากยิ่งขึ้นโดยมีราชธานี อยู่ที่เมืองธเนศวร
(Danesvar) ราชวงศ์นี้คือ ราชวงศ์วรธนะ (Vardana
Kynasty) สถาปนาโดยพระเจ้านรวรรธนะ (Naravardana)
โดยที่พระเจ้านรวรรธนะเป็นกษัตริย์ที่นับถือศาสนาฮินดู
พุทธศาสนาในยุคนี้จึงค่อนข้างซบเซาแต่ก็ไม่ถึงกับเสื่อมถอย
ครั้นเมื่อพระเจ้านรวรรธนะสวรรคตแล้ว พระโอรสนามว่าราชยวรรธนะ
(Rafyavardana) ก็ปกครองต่อมา พระองค์ก็ยังนับถือศาสนาฮินดู
นิกายไศวะ ต่อจากพระเจ้าราชยวรรธนะแล้ว กษัตริย์องค์ต่อมาที่ปกครองธเนศวรคือ
พระเจ้าอาทิตยวรรธนะ (Adityavardana) ต่อมาเมื่อพระองค์สวรรคต
แล้วพระโอรสคือพระเจ้าประภากรวรรธนะ ก็ทรงครองราชย์ต่อมา
ราชวงค์นี้ทั้ง ๔ พระองค์ล้วนนับถือศาสนาฮินดู
แต่ก็ไม่ได้เบียดเบียนพุทธศาสนาแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่ได้รับพระบรมราชูปถัภ์เท่านั้น
แต่พสกนิกรส่วนมากยังนับถือพุทธศาสนา พระเจ้าประภากรวรรธนะมีพระโอรส
๑ พระองค์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคหลังของอินเดีย
เป็นกษัตริย์ที่มีบุญญานุภาพแผ่ไพศาลทั่วชมพูทวีป
และพระองค์มีบทบาทสำคัญที่ฟื้นฟูพุทธศาสนาที่ถูกทำลายไปหลายสมัยให้กลับมารุ่งเรืองดังเดิม
พระองค์คือ พระเจ้าหรรษวรรธนะ (Harsa Vardhana)
หรือ พระเจ้าสีลาทิตย์ (Siladitya)
๒.
พระเจ้าหรรษวรรธนะ (Harsavardhana) |
พระเจ้าหรรษวรรธนะหรือพระเจ้าศรีลาทิตย์
ประสูติราว พ.ศ. ๑๑๔๐ เป็นพระโอรสของพระเจ้าประภากรวรรธนะแห่งเมืองธเนศวร
เมืองหลวงของพระองค์คือเมืองกันยากุพชะ (Kanyakubja)
หรือกาโนช (ปัจจุบันอยู่ใกล้เมืองลัคเนาว์ Lucknow
เมืองหลวงรัฐอุตตรประเทศในปัจจุบัน) ต่อมาพระเชษฐาคือ
พระเจ้าราชยวรรธนะถูกกษัตริย์ศศางกะจากเบงกอลลอบปลงพระชนม์เมื่อเจริญ
วัยได้ถูกเชิญขึ้นครองราชย์ มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
|
size="1" face="MS Sans Serif" color="#990000">พระเจ้าหรรษวรรธณะ
บริจาคทานที่เมืองประจาค |
ในคราวที่ทรงพระเยาว์นั้นพระองค์ทรงลำบากมาก
เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว พระมารดาก็กระโดดเข้ากองไฟตายตามพระสวามี
พระเชษฐา ชื่อว่า ราชยวรรธนะ (Rashya Vardhana)
ก็ถูกพระเจ้าศศางกะปลงพระชนม์พระองค์จึงขึ้นครองราชย์เมื่ออายุยังน้อยคืออายุ
๑๕ พรรษา เมื่อครองราชย์แล้ว จึงกำจัดศศางกะเป็นภัยต่อพุทธศาสนาเสีย
ได้ถวายการอุปถัมภ์แก่พระสงฆ์เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังได้ทำมหาทานที่เมืองประยาค
(Prayak) หรืออัลลาหบาด (Allahabad) ในสมัยปัจจุบัน
โดยนิมนต์พระสงฆ์ในพุทธศาสนาและเชนตลอดทั้งฮินดูมาถวายทานตลอด
๗ วัน โดยทำ ๕ ปีต่อครั้ง พระองค์ดำเนินรอยตามพระจริยาวัตรของพระเจ้าอโศกมหาราช
โดยการประกาศห้ามกินเนื้อห้ามฆ่าสัตว์ สร้างศาลาโรงธรรม
โรงพยาบาลทั้งคนและสัตว์และครองราชย์โดยทศพิธราชธรรมทำให้มีความผาสุขทั่วหน้า
นอกจากเป็นนักปกครองที่มีความสามารถ แล้วพระองค์ยังเป็นนักกวีและนักวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
ผลงานการประพันธ์ของของพระองค์ที่ตกทอดมาจนถึงปจจุบันที่เด่น
ๆ ๓ เรื่องคือ รตนาวลี (Ratnavali) ปริยทรรศิกา
(Priyadarsika) นาคานันทะ (Nagananda) เป็นต้น
พระองค์ครองราชย์อยู่ ๔๐ ปี จึงสวรรคต ในยุคของพระองค์ได้มีพระสงฆ์จีนที่มีชื่อเสียมากที่สุด
ในบรรดาพระสงฆ์จีนที่ไปแสวงบุญที่อินเดีย ท่านคือพระถังซัมจั๋ง
ซึ่งมีประวัติย่อ ๆ คือ
|