Warning: file(../../ad468-2.txt): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/randomad468-2.php on line 4
 
 
พระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย พุทธศาสนายุค พ.ศ.๘๐๐ - ๑๑๐๐
ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย
The History of Buddhism in India

 ๑๒.ราชอาณาจักรวลภี

size="2" face="Tahoma">     พ.ศ.๑๐๓๓ หลังจากจักวรรดิคุปตะได้เสื่อมลง เสนาบดีของจักรวรรดิคุปตะคนหนึ่ง นามว่า ภัททารกะ (Bhattarka) ได้พาสมัครพรรคพวกมาสร้างอาณาจักรใหม่ ให้นามราชวงศ์ตนเองว่า ราชวงศ์ไมตระกะ (Maitraka) ทางฝั่งตะวันตกของประเทศ ซึ่งในอดีตเป็นหมู่บ้านนามว่า เสาราชตะ (Sourashtra) ในเขตรัฐคุชราตปัจจุบัน แล้วให้ชื่อราชธานีใหม่ว่าวลภี (อ่านว่าวะละภี)แม้ว่าประองค์จะเป็นฮินดู นิกายไศวะ แต่ก็ได้สถาปนาอารามหลายขึ้นแห่ง และพัฒนามาเป็นมหาวิทยาลัยวลภีในอันดับต่อมา ราชวงศ์สืบเชื้อสายมาราว ๙ พระองค์คือ

size="2" face="Tahoma">     ๑.พระเจ้าภัททารกะ (Bhattarka) ก่อตั้งราชวงศ์ไมตระกะขึ้นที่วลภีนับถือศาสนาฮินดูนิกายไศวะ แต่ได้สถาปนาอารามหลายแห่ง ปกครอง ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๐๓๓-๑๐๖๒
     ๒.พระเจ้าธรุวเสนา (Dhruvasena) พระโอรสปกครอง เป็นพุทธศาสนิกชน ทรงสร้างทุฑฒวิหารและพุทธทาสมหาวิหาร ปกครองตั้งแต่ พ.ศ.๑๐๖๒-๑๐๙๓
     ๓.พระเจ้าคุหะเสนา (Guhasena) พระโอรสปกครอง เป็นพุทธศาสนิกชนสร้างต่อเติมทุฑฒวิหาร สร้างเพิ่มเติมมิมมาวิหาร ปกครองตั้งแต่ พ.ศ.๑๐๙๓-๑๑๑๒
     ๔.พระเจ้าธารเสนา (Dharasena) ปกครองอาณาจักรวลภี ทรงสนับสนุนการสร้างปัพพาทิยะวิหาร และกากวิหาร พ.ศ.๑๑๑๒-๑๑๓๓
     ๕.พระเจ้าศีลาทิตย์ที่ ๑ (Siladitya 1st) ปกครองอาณาจักรวลภี สร้างวังสกตะวิหาร และและยักษะโสระวิหาร ตั้งแต่พ.ศ. ๑๒๓๓-๑๑๕๘
     ๖.พระเจ้าธรุวเสนาที่ ๒ (Dhruvasena 2nd) พระโอรสปกครอง เป็นพุทธศาสนิกชน ทรงสร้องปูรภัตติวหารและโยธาวกะวิหาร ครองราชย์ พ.ศ. ๑๑๕๘-๑๑๘๔
     ๗.พระเจ้าธรุวเสนาที่ ๓ (Dhruvasena 3rd) พระโอรสขึ้นปกครองทรงสร้างทุฑฒวิหาร พ.ศ. ๑๑๘๔-๑๑๙๗
     ๘.พระเจ้าศีลาทิตย์ที่ ๒ (Siladitya 2nd) ปกครองอาณาจักรวลภี ทรงสร้างโคหะวิหาร ปกครองตั้งแต่ พ.ศ. ๑๑๙๗-๑๒๒๘
     ๙.พระเจ้าศีละทิตย์ที่ ๓ (Siladitya 3rd) ปกครองอาณาจักรวลภี ทรงสร้างและบูรณะวิมาลาคุปตะวิหาร พ.ศ.๑๑๙๗-๑๒๕๓ จึงสิ้นสุดราชวงศ์

     พ.ศ.๑๐๔๓ พวกหูนะ หรือฮั่นขาวก็เข้ารุกรานอินเดียอีกครั้ง หัวหน้าคนหนึ่ง ชื่อว่าโทรามานะ (Doramana) สามารถรุกรบและยึดปัญจาปและสินธุไว้ได้แล้วทำลายพุทธศาสนาขนานใหญ่ จนทำให้พุทธศาสนาสูญหายเกือบหมดในอินเดียเหนือ ในขณะที่อินเดียภาคใต้ก็ได้เกิดนักปราชญ์คนสำคัญของพุทธศาสนานิกายเซนขึ้น ท่านมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศจีนต่อมา ท่านนี้คือพระโพธิธรรม

 ๑๓.พระโพธิธรรม (Bodhidharma)

     ท่านโพธิธรรม เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายมหายาน นิกายเซน ชาวจีนเรียกว่า ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๑๐๑๓ เป็นเจ้าชายองค์ที่ ๓ ผู้ครองเมืองในอาณาจักรกาญจีปุรัม อินเดียทางใต้ มีพระทัยอ่อนโยนเป็นที่เคารพของพสกนิกร เมื่อพระบิดาใกล้สิ้นพระชนม์ทรงแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทสืบสันตติวงศ์ต่อไปสร้างความไม่พอใจให้กับพระเชษฐาทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง จึงสั่งคนลักลอบทำราย แต่ก็รอดกลับมาได้จึงเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตเจ้าชายลาออกจากรัชทายาท เข้าบวชกับท่านปรัชญาธารา (Prajndhara)
     ต่อเมื่อ พ.ศ.๑๐๖๓ ขณะอายุ ๕๐ ปี จึงได้เดินทางไปเผยแพร่นิกายเซนในเมืองจีน ในสมัยพระเจ้าเหลียงหวูตี้ แห่งราชวงศ์เหลียง ท่านได้เข้าเฝ้าแต่ไม่เป็นที่ถูกพระทัย เพราะการถามตอบอันลึกซึ้งแบบเซน เช่น พระเจ้าเหลียงบู่ตี้ถามว่า การสร้างวัดวาอารามบำรุงสมณะพราหมณ์จะได้บุญหรือไม่ แต่ท่านโพธิธรรมตอบว่า ไม่มีเลย จึงไม่พอพระทัย แต่เมื่อทรงทราบภายหลังว่าท่านเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็เสียพระทัย
     ท่านตั๊กม้อ นับว่าเป็นต้นตำรับวิชากังฟูวัดเส้าหลินมาจนถึงปัจจุบัน เป็นผู้วางรากฐานพุทธศาสนานิกายเซนหรือฌานให้มั่นคงในจีน และต่อมากระจายสู่เกาหลีและญี่ปุ่น ยุคสมัยท่าน นับว่าพุทธศาสนาในประเทศจีนมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ก่อนมรณภาพท่านก็ได้มอบบาตรและจีวรและตำแหน่งสังฆนายกนิกายเซนให้ฮุ้ยค้อสืบต่อ ท่านมรณภาพเมื่ออายุ ๑๒๐ ปี บางเล่มกล่าวว่า ๑๕๐ ปี เป็นตำแหน่งสังฆนายกของนิกายเซน อันดับที่ ๒๘ในอินเดีย และเป็นองค์แรกในแผ่นดินจีนตำแหน่งสังฆนายกสืบต่อมาจนถึงคนที่ ๖ จึงยกเลิกไป

     พ.ศ.๑๐๕๐ เศษ กษัตริย์มิหิรกุละ (Mihiragula) เป็นเผ่าฮั่นขาวหรือหูณะ ได้ยกทองทัพจากเอเชียกลางเข้าอินเดียมาทางอิหร่านและอัฟกานิสถาน แล้วยึดสาคละ (ปัญจาปบัจจุบัน) กษัตริย์องค์นี้เป็นฮินดู นิกายไศวะ ในบันทึกพระถังซำจั๋งเขียนไว้ว่า พระเจ้ามิหิระกุละได้สั่งกำจัดพุทธศาสนาทุกแห่งในแว้นแคว้นของพระองค์ผ่านไป เป็นเหตุให้ถูกตอบโต้โดยพระเจ้าพาลาทิตย์ (Baladitya) กษัตริย์ราชวงศ์คุปตะแห่งมคธ และได้ทำสงครามกันพระเจ้าพาลาทิตย์ชนะจึงจับขังคุก ต่อมาหนีได้แล้วไปลี้ภัยที่แคว้นกัศมีระ (แคชเมียร์) สังหารกษัตริย์กัศมีระเสีย แล้วสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ได้รื้อฟื้นการกำจัดพุทธศาสนาอีกครั้ง ล้มล้างพระสถูปทั้งหลาย ทำลายวัด ๑.๖๐๐๐ แห่ง สังหารพุทธศาสนิกชน ๙๐๐ โกฏิ แต่ในที่สุดได้ทำอัตวินิบาตกรรม (ฆ่าตัวตาย) โดยกระโจนเข้ากองไฟ สมัยนี้พุทธศาสนาในกัศมีร์และอินเดียตอนเหนือถูกทำลายอย่างย่อยยับ

     พ.ศ.๑๐๘๓ อาณาจักรคุปตะที่ยิ่งใหญ่อันมีศูนย์กลางที่แคว้นมคธ ก็ได้สลายตัวลง โดยการทำลายล้างของพวกหูนะที่รุกมาจากเอเชียกลางและความอ่อนแอในราชสำนัก อินเดียในยุคนี้จึงแตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยไม่มีใครมีอำนาจเด็ดขาด

     พ.ศ.๑๐๙๑ พระจักรพรรดิจีนก็ได้ส่งราชทูต ไปอินเดียเพื่ออาราธนาพระสงฆ์ที่มีความรู้และคัมภีร์ไปเผยแพร่พุทธศานาในจีน คณะทูตได้พำนักและท่องเmที่ยวอยู่อินเดียหลายปีจึงกลับไปพร้อมกับพระสงฆ์และตำราที่ต้องการ พระสงฆ์อินเดีย ที่ตามคณะทูตไปจีนมีหลายท่านแต่ที่มีชื่อเสียงคือพระปรมรรถ ท่านมีประวัติย่อ ๆ ดังนี้

 ๑๔. พระปรมรรถ (Parmath)

     คณาจารย์มหายานท่านนี้เกิดเมื่อราว พ.ศ.๑๐๖๓ เป็นชาวเมืองอุชเชนี อินเดียภาคตะวันตก ท่านมีชื่อเรียกหลายอย่างในภาษาจีน เช่น เซนติฉินอี้,คุณรัต เมื่อโตแล้วได้อุปสมบทและศึกษาพุทธศาสนาที่เมืองอุชเชนี จากนั้นเดินทางไปศึกษาต่อที่เมืองปาฏลีบุตร เมื่อพระจักรพรรดิจีนได้ส่งทูตมาอาราธนาพระสงฆ์และบัณฑิตไปเผยแพร่พุทธศาสนาที่จีน ท่านก็รับนิมนต์พร้อมนำคัมภีร์ไปมากมาย คณะทูตเดินทางไปทางทะเลถึงเมืองนานกิง และเริ่มงานเผยแพร่พุทธศาสนา แต่ผลงานของท่านเน้นหนักไปในด้านการแปลหนังสือเป็นส่วนมาก สุดท้ายท่านใช้ชีวิตบั้นปลายที่จีนและมรณภาพที่นั่น เมื่ออายุได้ ๗๑ ปี ผลงานที่ท่านแปลออกสู่ภาษาจีนมีมากกว่า ๗๐ เล่ม

 

 รุปราชวงศ์คุปตะ

          ๑.พระเจ้าจันทรคุปตะที่ ๑ (Chandragupta 1st) ราวพ.ศ.๘๖๒-๘๗๘
          ๒.พระเจ้าสมุทร์คุปตะ (Samudhragupta) ราวพ.ศ.๘๗๘-๙๑๙
          ๓.พระเจ้าจันทรคุปตะที่ ๒ (Chandragupta 2nd) ราวพ.ศ. ๙๑๙-๙๕๘
          ๔.พระเจ้ากุมารคุปตะ (Kumargupta) ราวพ.ศ.๙๕๘-๙๙๗
          ๕.พระเจ้าสกันธคุปตะ (Skandhagupta) ราวพ.ศ.๙๙๗-ไม่ปรากฏหลักฐาน
          ๖.พระเจ้าวิษณุคุปตะ (Vishnugupta) ไม่ปรากฏหลักฐานปีที่ครอง
          ๗.พระเจ้าพุทธคุปตะ (Buddhagupta) ไม่ปรากฏหลักฐานปีที่ครอง
          (ราชวงศ์คุปตะปกครองมคธตั้งแต่ พ.ศ.๘๖๒ ถึง พ.ศ. ๑๐๘๓ รวม ๒๒๐ ปี)

size="2" face="Tahoma">แผนที่แสดงอิทธิพลของพระพุทธศาสนา ราว พ.ศ. ๑๒๐๐

 
ที่มา : หนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย โดย พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ
[ จำนวนคนอ่าน คน ]
หน้าแรก พระพุทธศาสนา ประวัติพระพุทธสาวก หัวข้อธรรม ธรรมปฏิบัติ ศาสนพิธี วันสำคัญทางศาสนา ทศชาติชาดก วิทยุธรรมะไทย
พุทธศาสนสุภาษิต พจนานุกรมพุทธศาสน์ ทำเนียบวัดไทย คลังแสงแห่งธรรม พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ข่าวธรรมะ กิจกรรมธรรมะ สมุดเยี่ยม
ธรรมะไทย - dhammathai.org Warning: include(../../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter06_4.php on line 484 Warning: include(../../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter06_4.php on line 484 Warning: include(): Failed opening '../../useronline.php' for inclusion (include_path='.:/usr/local/lib/php') in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter06_4.php on line 484