<พุทธศาสนายุค
พ.ศ.๘๐๐-๑๑๐๐
(Buddhism in B.E.800-1100)
เมื่อพุทธศาสนาล่วงได้
๘๕๐ ปี ชาติฮั่นหรือมงโกลก็เข้ารุกรานอินเดียและยึดครองอินเดียเป็นเวลา
๕๐ ปี และได้ทำลายพุทธศาสนาลงอย่างมาก ประชาชนก็ถูกทำทารุณกรรมมีแต่ความทุกข์ระทมทั่วอินเดีย
ยุคนี้ถือได้ว่าเป็นยุคมืดของอินเดีย ต่อมาได้มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งพยายามต่อสู้กับพวกฮั่นและรวบรวมอาณาจักรของมคธให้เป็นปึกแผ่นแล้วตั้ง
ราชวงศ์คุปตะ (Gupta Dynasty) ขึ้น ราชวงศ์นี้สถาปนาขึ้นโดยพระเจ้าจันทรคุปตะที่
๑ (Chandragupta) ดังมีประวัติย่อ ๆ ดังนี้
๑.
พระเจ้าจันทรคุปตะที่ ๑ (Chandragupta 1st) |
พ.ศ.๘๖๓
พระเจ้าจันทรคุปตะที่ ๑ แห่งราชวงศ์คุปตะก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติ
ณ เมืองปาฎลีบุตร แคว้นมคธ นักประวัติศาสตร์หลายคนยังสับสนเกี่ยวกับนามกษัตริย์พระองค์นี้
เพราะชื่อไปพ้องกับพระเจ้าจันทรคุปต์ผู้สถาปนาราชวงศ์โมรยะ
ผู้เป็นพระเจ้าตาของพระเจ้าอโศกมหาราชราว พ.ศ.๒๐๐
แต่นักประวัติศาสตร์ส่วนมากยอมรับว่าเป็นคนละองค์กัน
เพราะเวลาที่แตกต่างกันมาก นอกจากนั้นพระเจ้าจันทรคุปตะยังมี
๒ ประองค์ในราชวงศ์นี้ จึงสร้างความสับสนได้มากทีเดียว
เรามีข้อมูลไม่มากนักเกี่ยวกับกษัตริย์ราชวงศ์คุปตะ
เนื้อหาจึงขาดตอนพอสมควร พระเจ้าจันทรคุปตะที่
๑ เป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็ง สามารถรวบรวมอาณาจักรมคธให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง
พระองค์แต่งงานกับเจ้าหญิงกุมารเทวีแห่งเมืองลิจฉวี
จนทำให้อาณาจักรลิจฉวีถูกผนวกเข้ากับคุปตะด้วย
นักประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบันได้ขนานนามพระองค์ว่า
"มหาราชาธิราช" เพราะเป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถหลายด้าน
ทำให้ชมพูทวีปรวมกันเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ทรงดำเนินนโยบายตามแบบพระเจ้าอโศกมหาราช
ผูกสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศเพื่อนบ้าน ในราชสำนักมีช่างฝีมือดีเป็นจำนวนมาก
งานปฏิมากรรมทางศาสนาทั้งพุทธฮินดู เชน เจริญรุ่งเรืองขึ้น
ก็เกิดสมัยนี้ พระองค์มีพระโอรสเท่าที่ปรากฎมี
๑ พระองค์คือเจ้าชายสมุทรคุปตะ และสวรรคตเมื่อ
พ.ศ. ๘๗๘ รวมการครองราชย์ ๑๖ พรรษา ในยุคพระเจ้าจันทรคุปตะที่
๑ นี้ได้มีนักปราชญ์คนสำคัญเกิดขึ้นในพุทธศาสนา
ท่านคือ พระกุมารชีพ
๒.
พระกุมารชีพ (Kumarjiva) |
ท่านเกิดเมื่อราว
พ.ศ.๘๗๐ มีบิดาเป็นชาวอินเดียนามว่า กุมารายนะ
ส่วนมารดาเป็นพระธิดาของเมืองกุจิ นามว่า เจ้าหญิงชีวะ
ท่านเกิดที่เมืองการห์ร ต่อมาเมื่อพระมารดากลับมานับถือพุทธศาสนา
ก็ได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีและนำบุตรชายไปสู่แคว้นกัศมีร์
เพื่อศึกษาพุทธศาสนา และเป็นศิษย์ของท่านพันธุทัตตะ
สังกัดนิกายมหายาน ต่อมาก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุและเผยแพร่พุทธศาสนาสู่เอเชียกลาง
พุทธบริษัทที่โขตาน (ปัจจุบันอยู่มณฑลซินเกียงของจีน)
กาษคาร์ ยารคานด์ และที่อื่น ๆ ต่างเคารพท่านอย่างสูง
เมื่อกองทัพจีนนำโดยหลีักวงเข้าโจมตีกุจิ ท่านกุมารชีพก็ถูกนำตัวไปสู่จีนในฐานะเชลยศึก
ก่อนที่ท่านถูกจับตัวชื่อเสียงของท่านก็เป็นที่เลื่องลือเป็นอย่างมากในจีน
จึงมีผู้มาเคารพและเยี่ยมเยียนท่านเป็นอย่างมาก
ต่อมาจึงมีพระราชโองการให้ปล่อยท่านและเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์จิ้น
ท่านได้ก่อตั้งองค์การแปลหนังสือตำราของอินเดียสู่ภาษาจีน
โดยรวบรวมราชบัณฑิตนักปราชญ์ทั้งสองฝ่ายจีนและอินเดียได้
๘๐๐ ท่าน ผลงานของคณะท่านได้แปลหนังสือได้มากกว่า
๓๐๐ เล่ม ที่เด่น ๆ เช่น มหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ศตศาสตร์
สุขาวดีอมฤตวยูหสูตร สัทธรรมปุณฑริกสูตร วัชรเฉทิกา
ปรัชญาปารมิตาสูตร ชาวจีนที่นับถือศาสนาขงจื้อและเต๋าได้กลับในมานับถือพุทธศาสนาอย่างมาก
วัดในพุทธศาสนาได้รับการสร้างขึ้นอย่างมากในประเทศจีน
ทั้งหมดนี้ก็ด้วยเพราะความพยายาม ความอุตสาหะต่อการเผยแพร่อย่างเอาจริงเอาจังของท่านจนพุทธศาสนามันคงในจีน
ท่านเป็นอาจารย์คนแรกที่สอนลัทธิมาธยมิกในประเทศจีน
วาระสุดท้ายท่านก็มรณภาพอย่างสงบในแผ่นดินจีน
๓.
พระเจ้าสมุทร์คุปตะ (Samudragupta) |
พ.ศ.
๘๗๘ พระโอรสของพระเจ้าจันทรคุปตะที่ ๑ ทรงพระนามว่าสมุทร์คุปตะ
(Samudra gupta) ได้ปกครองอาณาจักรคุปตะต่อมา
ยุคนี้อาณาจักรกว้างขวางมากขึ้น โดยยึดได้แคว้นปัญจาป
ทรงให้การสนับสนุนนักปราชญ์ ราชบัณฑิต นักกวี
ศิลปกรรม พระองค์บับถือศาสนาฮินดู แต่ก็ไม่ได้ทำลายศาสนาอื่น
พุทธศาสนา และเชนก็ยังคงรุ่งเรือง การแกะสลักพระพุทธรูปด้วยหินทรายแบบคุปตะก็ได้รับพัฒนาให้ดีขึ้น
ในยุคนี้ได้รื้อฟื้นพิธีอัศวเมฆที่ได้ซบเซามานาน
ต่อมาพระเจ้าเมฆวรรณกษัตริย์แห่งสิงหลได้ส่งทูตมาที่อินเดียและขอสร้างวัดที่พุทธคยา
แคว้นมคธขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ชาวลักกาที่จะมาจาริกแสวงบุญ
พระองค์ทรงอนุญาตตามความประสงค์ วัดลังกาจึงได้รับการก่อสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกที่อินเดีย
พระเจ้าสมุทร์คุปตะปกครองอินเดียมาจนถึง พ.ศ.๙๑๙
จึงสวรรคต รวมเวลา ๔๑ ปี
๔.
พระเจ้าจันทรคุปตะที่ ๒ (Chandragupta 2nd) |
พ.ศ.๙๑๙
พระโอรสของพระเจ้าสมุทรคุปตะคือพระเจ้าจันทรคุปตะที่
๒ (Chandragupta 2nd) ก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อมา
ในยุคนี้อินเดียก็ถูกรวบรวมเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง
เหตุการณ์สำคัญอันหนึ่งคือพระองค์ยกกองทัพต่อสู้กับสกะและสุดท้ายพระองค์มีชัยต่อกองทัพพวกสกะ
จึงทำให้พระองค์มีอาณาเขตกว้างขวางมากขึ้น ต่อมาก็ทรงส่งกองทหารเข้าปราบปรามแคว้นเบงกอลจนราบคาบ
พุทธศาสนาในยุคนี้ก็มีความเจริญขึ้น พระเจ้าจันทรคุปตะที่
๒ สวรรคต เมื่อ พ.ศ.๙๕๘ รวมเวลาที่ครองราชย์
๓๙ ปี กษัตริย์บางองค์ราชวงศ์นี้แม้จะนับถือศาสนาฮินดูแต่อุปถัมภ์พุทธศาสนาด้วย
๕.
จดหมายเหตุพระฟาเหียน (Fa Hien) |
|
พระฟาเหียนเริ่มข้ามแม่น้ำสินธุกับเพื่อน |
พระอาจารย์ฟาเหียน
นามเดิมว่า กัง เป็นชาววูยัง จังหวัดปิยัง มณฑลชานสี
ประเทศจีน เกิดเมื่อ พ.ศ.๙๒๔ มีพี่น้อง ๓ คน
บิดานำไปบรรพชาเป็นสามเณรที่วัด หลังจากบิดาถึงแก่กรรมแล้ว
จึงได้รับการอุปสมบทเป็นภิกษุ ได้รับการยอมรับจากเพื่อนว่าเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดเฉียบแหลม
ต่อมาเห็นความบกพร่องของคำสอนทางพุทธศาสนาในจีนจึงคิดเดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมที่
อินเดีย พ.ศ. ๙๔๒ เพื่อสืบต่อพระศาสนาและนำพระไตรปิฎกสู่จีน
การเดินทางของท่านตอนไปเดินทางบกด้วยเท้า ส่วนขากลับมาทางน้ำผ่านเกาะสุมาตราจนขึ้นฝั่งที่นานกิง
ท่านได้รายงานถึงสถานการณ์ของพุทธศาสนาในยุคนั้นว่า
ที่แคว้นโขตาน
ปัจจุบัน อยู่ในเขตซินเกียงของจีน มีพระสงฆ์ราวหมื่นรูปล้วนเป็นฝ่ายมหายาน
พระราชาเคารพในหมู่สงฆ์เป็นอย่างดี และมีการแห่พระพุทธปฏิมาทุกๆ
ปี โดยมีพระราชาเป็นเจ้าภาพ ท่านฟาเหียนก็ยังได้ชมการแห่นี้ด้วย
แคว้นตโอลายห์
(หรือทรทะรัฐตอนเหนือของอินเดีย) มีพระสงฆ์เป็นจำนวนมาก
ทั้งหมดเป็นนิกายหินยาน ที่นี่ยังมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรย์
สูง ๘๐ ศอก ทำด้วยไม้แก่น ในวันอุโบสถรูปปั้นจะเปล่งรัศมีอย่างงดงามพระราชาประเทศนี้เคารพพระรัตนตรัยเป็นอย่างดี
ต่างประกวดประชันกันเพื่อนำมาสักการะบูชารูปปั้นนี้
แคว้นอุทยาน
มีสังฆาราม ๕๐๐ แห่งพระสงฆ์เป็นนิกายหินยานทั้งหมด
ที่นี่มีรอยพระพุทธบาทอยู่แห่งหนึ่งและยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เชื่อกันว่าพระพุทธองค์ทรงตากผ้า
เป็นศิลาสูง ๔๐ ศอกและกว้าง ๔๐ ศอก
เมืองปุรุษปุระ
(ปัจจุบันเรียกว่าเปชวาร์ อยู่ในเขตปากีสถาน)
เมืองหลวงของพระเจ้ากนิษกะ มีพระสงฆ์อยู่มากมาย
และมีวัดใหญ่วัดหนึ่งมีพระสงฆ์ถึง ๗๐๐ รูป พระเจ้ากนิษกะได้สร้างสถูปหลายแห่งไว้เป็นที่สักการะบูชา
นอกนั้นยังมีบาตรของพระพุทธองค์ปรากฎอยู่ที่เมืองนี้อีกด้วย
แคว้นนคาระ
มีพระสถูปที่บรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธองค์
มีการสักการะทุกปี ห่างไป ๑ โยชน์ เป็นเนินเขาที่บรรจุไม้ทานพระกรของพระพุทธองค์ที่ทำจากไม้โคศรีษะจันทนะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี
ห่างไปครึ่งโยชน์มีถ้ำพระพุทธฉายที่พระพุทธองค์ฉายพระฉายไว้
ห่างออกไปยังมีอารามที่มีพระสงฆ์อยู่ถึง ๗๐๐
รูป
เมืองมถุรา
พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ประชาชนให้ความเคารพต่อพระศาสนาอย่างสูง
ที่นี่มีพุทธรูปที่สวยงามอยู่มากมาย พระสงฆ์ส่วนมากสังกัดนิกายหินยาน
เมืองกันยากุพชะ
(ปัจจุบันเรียกว่า ลัคเนาว์ เมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศ)
มีอาราม ๒ แห่ง พระภิกษุในนครนี้ศึกษานิกายหินยาน
นอกนั้นยังสถูปอีกหลายองค์ใกล้ตัวเมือง
เมืองสาวัตถี
มีซากโบราณสถานหลายแห่ง เช่น พระเชตวันมหาวิหาร
วิหารของพระนางมหาปชาบดี ซากบ้านเศรษฐีอนาถปิณฑิกะ
หรือสุทัตตะ นอกนั้นยังมีเสาหินสองต้น เสาแรกมีล้อบนยอด
อีกเสามีรูปโคบนยอดเสา ณ พระเชตวัน ท่านได้พบพระสงฆ์อินเดียที่ดูแลพระเชตวัน
เมื่อทราบว่ามาจากประเทศฮั่น (จีน) อันไกลโพ้น
ทุกรูปแปลกใจและตะลึงถึงความอุตสาหะและความพยายามอันแรงกล้าของท่าน
เมืองกบิลพัสดุ์
มีแต่ความรกร้างว่างมีพระสงฆ์บ้างเล็กน้อย
มีชาวบ้าน ๒๒ ครอบครัว นอกนั้นยังพบสถูปอีกหลายแห่ง
พื้นที่โดยทั่วไปรกร้างปราศจากผู้คน
เมืองเวสาลี
มีวิหารสูง ๒ ชั้นหลังหนึ่ง สถูปบรรจุอัฐิพระอานนท์
วิหารของอัมพปาลี และสถูปอีกหลายแห่ง
จดหมายของท่านฟาเหียน
ทำให้เราทราบความเป็นไปของพุทธศาสนาใน พ.ศ.
๒๔๒ ค่อนข้างละเอียด ท่านอยู่อินเดียได้ปีก็กลับโดยทางเรือผ่านเกาะสิงหลถึงชวา
ที่นี่ศาสนาฮินดูกำลังเจริญรุ่งเรือง ส่วนพุทธศาสนานั้นกำลังอับแสง
จากนั้น ฟาเหียนก็เดินทางต่อไปในทะเล ผ่านเหตุการณ์ที่น่ากลัวอันตรายหลายอย่างจนถึงเมืองจีนโดยสวัสดิภาพ
หลังจากพระอาจารย์ฟาเหียนเดินทางกลับจากอินเดียแล้ว
ก็เป็นแรงบันดาลใจให้พระสงฆ์จีนรุ่นหนุ่มหลายรูปพยายามเดินทางเข้าสู่อินเดียหลายรูปที่ทำสำเร็จ
พระสงฆ์หลายรูปก็ต้องมารณาภาพเสียกลางทาง แต่ก็ไม่ทำให้คนรุ่นหลังย่อท้อที่จะมาสืบพระศาสนาและกราบสังเวชนียสถานที่อินเดีย
|