<๘.
กษัตริย์องค์สำคัญยุคพุทธกาล (The Great Buddhist
Kings)
ในบรรดา ๑๖
แคว้นใหญ่ และ ๕ แคว้นเล็ก ยุคพุทธกาลนั้น มีพระราชาใน
๔ แคว้นเท่านั้นที่มีอานุภาพมากกว่าองค์อื่น
ๆ ซึ่งต่อมาได้แผ่บารมีปกป้องคุ้มครองพุทธศาสนา
ให้เจริญรุ่งเรืองตลอดยุคสมัยของพระองค์ทั้ง
๔ พระองค์เป็นพุทธมามกะที่เคร่งครัดนั้นคือ
พระเจ้าพิมพิสาร ,พระเจ้าปเสนทิโกศล, พระเจ้าจันฑปัชโชต,
พระเจ้าอุเทน โดยมีรายละเอียดดังนี้
face="Tahoma" size="4" color="#990000">ก.
พระเจ้าพิมพิสาร (King Bimbisara)
 |
พระเจ้าพิมพิสารหลั่งน้ำถวาย
เวฬุวนารามแด่พระพุทธองค์
|
พระเจ้าพิมพิสารในคัมภีร์ปุราณะกล่าวว่า
เป็นพระโอรสของพระเจ้ากษัตราชาส แห่งราชวงศ์ไศศุนาค
(Sisunaga Dynasty) ได้ปกครองอาณาจักรมคธต่อจากปิดา
เมื่อพระชนมายุ ๑๕ ปี โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่
เมืองราชคฤห์ หลังจากขึ้นครองราชย์แล้วพระองค์เลื่อมใสในเจ้าลัทธิหลายองค์ในสมัยนั้น
แม้กระทั้งชฎิลสามพี่น้อ งคืออุรุเวละกัสสปะ
นทีกัสสปะ คยากัสสปะ หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดาที่สวนตาลหนุ่ม
นอกเมืองราชคฤห์แล้ว พระองค์บรรลุพระโสดาบัน
จึงกลายเป็นพุทธมามกะที่เข้มแข็ง ประกอบกับแคว้นมคธเป็นรัฐมหาอำนาจในยุคนั้น
จึงทำให้พุทธศาสนากระจายไปอย่างรวดเร็ว ในตำนานของศาสนาเชนกล่าวว่าพระองค์นับถือศาสนาเชน
แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมหากษัตริย์ที่นับถือพุทธศาสนามักถวาย
ความอุปถัมภ์แก่ทุกศาสนาด้วยจนถูกทึกทักว่านับถือศาสนานั้นด้วย
เช่น พระเจ้าอโศก ศาสนาเชนก็กล่าวว่าพระองค์เป็นเชนศาสนิก
หรือพระเจ้าหรรษวรรษนะก็ถูกทึกทักว่า เป็นผู้นับถือฮินดูที่ยิ่งใหญ่ด้วย
พระเจ้าพิมพิสาร มีพระมเหสีหลายพระองค์ แต่ที่สำคัญคือ
๑. พระนางเวเทหิ
พระธิดาพระเจ้ามหาโกศล เมืองสาวัตถี ต่อมาให้กำเนิดเจ้าชายอภัยราชกุมาร
และชัยเสนกุมาร
๒. พระนางเขมา
เป็นพระธิดาเจ้าครองนครสาคล แห่งมัทรัฐ มีสิริโฉมงดงามยิ่ง
ต่อมาอุปสมบทเป็นภิกษุณี จนได้บรรลุพระอรหัต
๓. พระนางอมรปาลี
เป็นธิดาเจ้าลิจฉวี เมืองเวสาลี มีโอรส
๕ พระองค์ คือ ๑. เจ้าชายกุณิกะ ๒.เจ้าชายอชาตศัตรู
๓. เจ้าชายวิมาลา โกณฑัญญะ ๔.เจ้าชายเวหัลละ
๕.เจ้าชายสีลวัต และถ้านับเจ้าชายชัยเสนกุมารตามหนังสือภูมิประวัติพุทธศาสนาแล้วก็รวมเป็น
๖ พระองค์
พระองค์ปกครองมคธถึง
๕๒ ปี ก่อนจะถูกพระโอรสองค์โต คือเจ้าชายอชาตศัตรูยึดอำนาจและสิ้นพระชนม์ในคุก
ก่อนที่พระพุทธองค์จะปรินิพพานเพียง ๘ ปีในยุคพุทธกาล
แคว้นมคธเป็นรัฐที่มีอำนาจมากที่สุด
face="Tahoma" size="4" color="#990000">ข.
พระเจ้าปเสนทิโกศล (Pasinadi or Prasenajit)
พระเจ้าปเสนทิโกศล
ในปกร์ฝ่ายสันสกฤตเรียกพระองค์ว่า พระเจ้าประเสนชิต
เป็นพระราชาปกครองแคว้นโกศล โดยมีเมืองสาวัตถึ
(Savatthi) หรือศราวัสตี (Sravasti) ในภาษาสันสกฤตเป็นราชธานี
เป็นพระโอรสของพระเจ้ามหาโกศล ในวัยเด็กพระองค์ได้รับการศึกษาจากอาจารย์ทิศาปาโมกข์
ณ เมืองตักกสิลา หลังการสำเร็จการศึกษาจากตักกสิลามาแล้ว
พระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติ ต่อจากพระบิดา
ราชอาณาจักรมีความกว้างขวางรองจากอาณาจักรมคธ
จากแม่น้ำคุมติ (Gumti) ถึงเมืองคันฑัก (Gandak)
และจากชายแดนเนปาลในปัจจุบันถึงฝั่งแม่น้ำคงคา
ต่อมาพระองค์ก็ได้ผนวกแคว้นกาสี อันมีเมืองพาราณสีอยู่ในราชอาณาจักรอีกด้วย
พระเจ้าปเสนทิโกศลมีพระชนมายุเท่ากับพระพุทธองค์
และในบรรดาพระมหากษัตริย์หลายเมืองพระองค์นับว่ามีความใกล้ชิดกับพระพุทธองค์มากที่สุด
พระทุทธองค์ประทับอยู่เมืองสาวัตถีนานที่สุด
พระองค์มีสรีระที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ แม้จะเสด็จไปไหนก็ไม่สะดวก
ทรงอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลเคยทำสงครามกับพระเจ้าอชาตศัตรู
แคว้นมคธผู้เป็นหลาน ๔ ครั้ง แต่ก็ต้องแพ้ทั้ง
๔ ครั้งเช่นกัน สาเหตุเพราะแย่งอาณาเขตแคว้นกาสี
แต่ครั้งที่ ๕ พระเจ้าปเสนทิโกศลชนะ เพราะจารบุรุษของพระองค์ได้แอบฟังเทคนิคการรบจากพระธนุคคหติสสะสนทนากับพระทันตเถระ
ที่เชตวันมหาวิหาร ด้วยว่าพระธนุคคหติสสะก่อนบวช
เป็นนายทหารที่ฉลาดหลักแหลมและออกรบอย่างอาจหาญมาตลอด
พระเจ้าอชาตศัตรูจึงถูกจับขังคุกที่สาวัตถีหลายปี
แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเห็นว่าเป็นหลานก็เลยปล่อยกลับไป
พระองค์มีพระมเหสีหลายพระองค์ แต่ที่เด่น ๆ
คือ ๑. พระนางมัลลิกา ๒. พระนางวาสภขัตติยา
มีพระโอรส หลายพระองค์ คือ ๑.เจ้าชายพรหมทัต(Brahmadatta)
๒. เจ้าชายวิฑูฑภะ (Vidudabha) ต่อมาเจ้าชายพรหมทัตก็ได้ออกบวชจนบรรลุพระอรหันต์
ส่วนเจ้าชายวิฑูฑภะยึดอำนาจจากพระองค์แล้วครองราชย์สมบัติต่อมา
ก่อนที่เจ้าชายวิฑูโภะจะสวรรคตที่ริมฝั่งแม่น้ำ
หลังนำทัพเข้าโจมตี เมืองกบิลดุ์ได้ไม่นาน
face="Tahoma" size="4" color="#990000">ค.
พระเจ้าจันฑปัชโชต (Candapajjota)
พระเจ้าจันฑปัชโชต
หรือ ปรัทโยตะ (Pradyota) ในภาษาสันสกฤตเป็นพระมหากษัตริย์ราชวงศ์อวันตี
(Avaanti Dynasty) โดยมีเมืองหลวงชื่อเมืองอุชเชนี
(Ujjeni) หรืออุชชายินี (Ujjayini) ในภาษาสันสกฤต
เมืองนี้อยู่ทางตอนกลางของประเทศอินเดีย พระองค์มีนิสัยดุร้ายจนมีคำว่า
จัณฑะ (ดุร้าย) นำหน้าทรงเอาแต่ใจตัวเอง มีทรัพย์สมบัติที่มั่นคั่งเมืองหนึ่ง
ในสมัยนั้นเป็นมิตรสหายของพระเจ้าปรันตปะแห่งเมืองโกสัมพี
ครั้งหนึ่งพระองค์ประชวรอย่างหนัก หมอทั่วราชอาณาจักรเข้ารักษาก็ไม่มีมครรักษาสำเร็จ
จนได้หมอชีวกโกมารภัจจ์จากรุงคฤห์มาช่วยรักษาอาการจึงหายเป็นปกติ
พระองค์มีพระธิดาที่เลอโฉมนาว่าวาสุลทีตตา หรือ
วาสวทัตตา (Vasavadatta)
face="Tahoma" size="4" color="#990000">ง.
พระเจ้าอุเทน (Udena or Udayan)
พระเจ้าอุเทน(Udena)
ในปกรณ์ฝ่ายสันสกฤตเรียกว่า พระเจ้าอุทยัน (Udayan)
เป็นพระมหากษัตริย์ราชวงศ์วัตสะ (Vatsa Dunasty)
ทรงปกครอง แคว้นวังสะ โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองโกสัมพี
(Kosambi) หรือเกศัมพี (Kaushambi) ในภาษาสันสกฤต
เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ใกล้เมืองอัลลาหบาดหรือประยาคในปัจจุบัน
พระบิดานามว่าปรันตปะ
 |
พระเจ้าอุเทนทรงช้างเลียบนครโกสัมพี |
พระเจ้าอุเทนประสูติในป่าเพราะพระมรดาถูกนกหัสดีลิงค์โฉบไปสู่ป่า
แต่ได้รับการช่วยเหลือจากดาบสอัลลกัปปะ พระนางประสูติพระโอรสตอนใกล้รุ่ง
จึงตั้งนามว่า อุเทน โดยได้รับการดูแลจากดาบสผู้เป็นพระบิดาเลี้ยง
และพระมารดา เจ้าชายอุเทนได้ศึกษามนต์ฝึกช้างจนช่ำชอง
และสามารถควบคุมช้างเป็นจำนวนมากได้ด้วยมนต์ที่ศึกษามาและยึดราชบัลลังก์นคร
โกสัมพีจนสำเร็จ ด้วยการยกทัพช้างล้อมพระนคร
พระเจ้าอุเทนมีพระมเหสี
๓ พระองค์ คือ ๑.พระนางสามาวดี ๒.พระนางวาสุลทัตตา
๓. พระนางมาคันทิยา ต่อมาพระมเหสีทั้งสอง คือพระนางสามาวดีก็สิ้นพระชนม์จากการลอบวางเพลิงของพระนางมาคันทิยา
ส่วนพระนางมาคันทิยาผู้อิจฉาก็ถูกราชอาญา เพราะทำผิดร้ายแรงด้วยการถูกเผาทั้งเป็นเช่นกัน
ในตำนานฝ่ายเชนกล่าวว่าพระองค์มีพระโอรสพระองค์เดียวจากพระนางวาสวทัตตา
คือเจ้าชายโพธิ (Prince Bodhi) ซึ่งต่อมาได้ปกครองราชบัลลังก์โกสัมพีแทนพระบิดา
พระเจ้าอุเทนได้หันมานับถือพุทธศาสนาเพราะพระนางสามาวดีพุทธสาวิกาที่มั่นคงพระองค์มีความสนิทสนมกับพระปิณโฑลภารทวาชะมาก
จนต่อมาโกสัมพีก็กลายเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา
ครั้งสมัยพุทธกาลเป็นต้นมา พระอารามใหญ่ ๆ ในเมืองนี้คือ
๑. โฆสิตาราม สร้างโดยโฆสิตเศรษฐี ๒. กุกกุฏาราม
สร้างโดย กุกกุฏเศรษฐี และ ๓. ปาวาริการามโดยเศรษฐีปาวริกะ
|