Warning: file(../../ad468-2.txt): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/randomad468-2.php on line 4
 
 
พระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย อินเดียยุคพุทธกาล
ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย
The History of Buddhism in India

<๓. การอุบัติขึ้นของพุทธศาสนา (Buddhism Period)


เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ณ ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งชมพูทวีป ดินแดนที่เต็มไปด้วยนักคิด นักปราชญ์ นักตรรกะ นักวิจารณ์ เจ้าสำนัก เจ้าลัทธิมากมาย ณ นครเล็ก ๆ ใกล้เชิงเขาหิมาลัยราวร้อยกว่ากิโลเมตรชื่อว่า กบิลพัสดุ์ อันเป็นเมืองหลวงศากยวงศ์ที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากรา ต้นตระกูลศากยวงศ์หรืออาทิตย์วงศ์ ซึ่งเป็นอารยันเผ่าหนึ่ง ได้อพยพมาตั้งบ้านเรือนที่นี่

คำว่ากบิลพัสดุ์แปลว่าเมืองที่ฤาษีกบิลเคยอาศัยอยู่มาก่อน ต่อมาพระราชโอรส พระธิดาของพระเจ้าโอกากราชก็อพยพมาสร้างเมืองใหม่ที่นี่ ครั้นต่อมาจึงแยกออกเป็น ๒ เมืองคือกบิลพัสดุ์และเทวทหะ แต่ทั้งสองเมืองก็ยังอภิเษกสมรสระหว่างกันตลอดเวลา พระเจ้าสุทโธทนะก็ได้อภิเษกกับเจ้าหญิงมายาหรือสิริมหามายา พระธิดาของพระเจ้าอัญชนะ แห่งกรุงเทวทหะ หลังพระบิดาคือพระเจ้าสีหนุสวรรคตแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะ ก็ได้ครองราชสมบัติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์สืบมา

กล่าวถึงพระโพธิสัตว์ หลังจากเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรอันเป็นชาติสุดท้ายแล้ว ก็จุติไปประทับอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต เมื่อประทับที่สวรรค์พอสมควรแล้ว เทวดาในสวรรค์ทุกชั้นจึงอาราธนาให้มาจุติในโลก เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วสั่งสอนเวไยสัตว์ต่อไป ทรงรับการอาราธนานั้น จึงพิจารณาถึงเมื่อที่จะอุบัติ รวมทั้งพระบิดาพระมารดาทรงพิจารณาเห็นว่า พระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายาเป็นผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีร่วมกันมา และเหมาะสมที่จะไปอุบัติเป็นพระโอรส จึงเสด็จจากดุสิตมาจุติในพระครรภ์พระนางสิริมหามายา หลังจากนั้นพระนางก็สุบินนิมิตว่าได้เข้าไปป่าหิมพานต์ แล้วมีช้างเผือกเชือกหนึ่งลงมาจากยอดเขาสูงแล้วนำตอกบัวมาถวาย เมื่อตื่นบรรทมแล้วทรงเล่าให้โหราจารย์ฟัง เหล่าโหรทั้งหลายต่างทำนายว่า จะได้พระโอรสที่มีบุญญานุภาพมาอุบัติในพระครรภ์ตั้งแต่นั้นมา พระนางก็ได้ดูแลทะนุถนอมพระครรภ์มาอย่างดี โดยได้รับการเอาใจใส่จากพระสวามีเป็นอย่างดี

 

<๔. ประสูติ (Born)


ทรงประสูติที่สวนลุมพินี

พระนางสิริมหามายาเมื่อทรงพระครรภ์ ๑๐ เดือนแล้ว เมื่อรู้สึกพระองค์ว่าจะประสูติพระโอรส จึงกราบทูลพระสวามีให้ทรงทราบ เพื่อจะเสด็จพระราชดำเนินกลับเมืองเทวทหะ อันเป็นเมืองของพระองค์เอง เพื่อประสูติ พระโอรสที่นั่น อันเป็นธรรมนัยมโบราณที่ยึดถือมานาน พระเจ้าสุทโธทนะได้จัดขบวนเสด็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่เมื่อถึงอุทยานลุมพินีวัน อันเป็นเขตแดนระหว่างสองเมือง พระนางก็มีอาการปวดพระครรภ์ จึงได้หยุดพักโดยเหนี่ยวกิ่งต้นสาละ และยืนประสูติพระโอรสในสวนนั้นเอง ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ เดือนวิสาขะ ตรงกับวันศุกร์ ปีจอ ก่อนพุทธศา ๘๐ ปี ณ สวนลุมพินี (Lumbini) ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า รุมมินเด (Rummindie) ห่างจากเมืองกบิลพัสดุ์ ๒๒ กิโลเมตรโดยประมาณ เจ้าชายน้อยประสูติแล้วทรงเดินได้ ๗ ก้าวนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์พร้อมชี้นิ้วชี้ขวา และตรัสอาสภิวาจาว่า
          "เราเป็นผู้เลิศในโลกเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ชาติอื่น ภพอื่น ไม่มีอีกแล้ว"

ในการนี้ได้มีสิ่งที่เกิดพร้อมกับพระองค์ ๗ อย่างเรียกว่า สหชาติคือ
          ๑. พระนางพิมพา ๒.เจ้าชายอานนท์ ๓.อำมาตย์กาฬุทายี ๔.นายฉันนะ ๕.ม้ากัณฐกะ ๖.ต้นโพธิ์ ๗.ขุมทองทั้งสี่

ต่อมาในวันที่ ๓ นับจากประสูติมา อสิตดาบส (Asita Ascetic) หรือกาฬเทวิฬดาบสที่อาศัยในป่าหิมพานต์มีอิทธิฤทธิ์ ได้สมาบัติ ๘ และคุ้นเคยกับพระพุทธบิดาเป็นอย่างดี ได้เข้าเยี่ยมพระเจ้าสุทโธทนะ ณ พระราชวังพร้อมชมบารมีพระโอรส ดาบส ได้ชมพระบารมีและตรวจตราพระลักษณ์มหาบุรุษ ๓๒ ประการอย่างละเอียดก็ถึงกับตะลึง ได้ก้มลงกราบพระกุมารน้อยด้วยอาการเคารพอย่างสูง พร้อมกับหัวเราะและร้องไห้ไปด้วย สร้างความตกตะลึงให้แก่พระเจ้าสุทโธทนะอย่างยิ่ง จึงได้ตรัสถามว่า เหตุใดจึงหัวเราะและร้องไห้ ดาบสผู้เฒ่ากล่าวตอบว่า

"ที่หัวเราะ เพราะตื้นตันใจที่ได้เจอพระกุมารที่มีบุญญาบารมี มีลักษณะมหาบุรุษครบ ๓๒ ประการ นับว่าหาไม่ได้ในภัทรกัปป์นี้ ตัวเองมีวาสนาโดยแท้จึงได้เห็นและที่ร้องไห้เพราะพระโอรสเจริญวัยขึ้น จักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลก พระองค์จะแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางและที่สุด เสียดายที่อายุตัวแก่เหลือเกิน คงไม่อาจได้สดับฟังคำสอนของพระองค์จึงร้องไห้"

คำกล่าวนี่หาได้สร้างความยินดีปรีดาต่อพระราชาไม่ เพราะพระองค์มีพระโอรสพระองค์เดียว ทรงหวังอย่างยิ่งที่จะให้พระโอรสครองเศวตรฉัตรต่อจากพระองค์ ได้แต่หวังพระทัยว่าคำกล่าวของดาบสผู้เฒ่าจะไม่เป็นจริง ฝ่ายพระญาติฟังคำดาบสผู้เฒ่ากล่าวเช่นนั้น ก็บังเกิดความเลื่อมใส แล้วกราบกุมารเช่นเดียวกับพระดาบส

วันที่ ๕ พระบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะ ก็เชิญพราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ ที่เจนจบไตรเพทมาเลี้ยงที่พระราชวัง พราหมณ์ทั้งหลายพร้อมใจกันขนานนามพระโอรส "สิทธัตถะ (Siddhattha)" (ภาษาสันสกฤตและฮินดีเรียกว่า สิทธารถะ Siddhartha อันแปลว่า ผู้มีความต้องการอันสำเร็จ) ในบรรดา พราหมณ์ ๑๐๘ คน นั้นได้คัดกันเองเหลือ ๘ คนคือ ๑.รามพราหมณ์ ๒.ลักษณะพราหมณ์ ๓. ยัญญพราหมณ์ ๔.ธุชพราหมณ์ ๕. โภชพราหมณ์ ๖.สุทัตตพราหมณ์ ๗. สุยามพราหมณ์ ๘. โกณฑัญญพราหมณ์ ให้ทำนายพระโอรส พราหมณ์ทั้ง ๗ พยากรณ์เป็น ๒ นัย หากว่ายังครองราชสมบัติจักได้เป็นพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของชมพูทวีปแต่หากว่าออกผนวชจะได้เป็นพระศาสดาเอกของโลก สั่งสอนเวไนยสัตว์สืบไป คงมีแต่เพียงพราหมณ์หนุ่มนามว่า โกณฑัญญะ เท่านั้นที่กล้าประกาศชัดแจ้งว่า เจ้าชายน้อยจะออกผนวชแน่นอน และจักได้เป็นพระศาสดาเอกของโลกแน่ จึงเตรียมตัวเพื่อออกบวชตามปรนนิบัติดูแล ซึ่งต่อมากลายมาเป็นหัวหน้าปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ

วันที่ ๗ หลังประสูติ พระมารดาคือพระนางสิริมหามายาก็สวรรคตจากพระโอรสองค์น้อยไป นำความโศกเศร้ามาให้แก่พระเจ้าสุทโธทนะและพระญาติยิ่งนัก ภาระการดูแลพระโอรสจึงเป็นของพระนางมหาประชาบดีโคตมี ภคินีของพระพุทธมารดา ต่อมาพระนางก็มีพระโอรสกับพระเจ้าสุทโธทนะ อีกพระองค์คือ เจ้าชายนันทะ (Nanada) และพระธิดาอีกพระองค์นามว่า รูปนันทา (Rupananda) พระโอรสและพระธิดาทั้งหมดได้รับการดูแลอย่างดีอย่างเท่าเทียมกัน

พระชนมายุ ๗ พรรษา พระบิดาก็ประทานเครื่องทรงสำหรับยุวกษัตรย์ คือ จันทน์สำหรับทาผ้าโพกพระเศียร ชุดฉลองพระองค์ ผ้าทรงสะพักพระภูษา ทั้งหมดทำมาจากผ้าไหมกาสีซึ่งถือว่า มีชื่อเสียง มีค่ามากผู้มีฐานะดีเท่านั้นจะได้ใช้ นอกจากนั้น พระบิดายังขุดสระสำหรับสนาม ๓ สระ คือสระที่หนึ่งปลูกดอกอุบลขาว สระที่สองปลูกดอกปทุมบัวหลวง สระที่สามปลูกบุณฑริกสีขาว พร้อมกับการตกแต่งที่งดงามน่าทัศนาอย่างยิ่ง พร้อมกันนี้เจ้าชายก็ได้รับการศึกษาทั้ง ๑๘ ศาสตร์ เช่นการยิงธนู การบังคับม้า การใช้ดาบ การรบ เป็นต้น กับครูวิศวามิตร (Vishvamitra) ที่มีชื่อเสียง พระองค์ได้ศึกษาจนจบภายในเวลาอันรวดเร็ว

เมื่อพระชันษา ๑๖ พรรษา พระองค์ก็ทรงสำเร็จการศึกษาทั้ง ๑๘ ศาสตร์ พระบิดาได้สร้างปราสาท ๓ ฤดูคือ ๑.รัมยปราสาท สำหรับฤดูร้อน ๒. สุรัมยะปราสาท สำหรับฤดูหนาว ๓. สุภปราสาท สำหรับฤดูฝน ให้เป็นประทับเหมาะสมในสามฤดู ต่อมาพระองค์ก็ทรงเลืองคู่ครอง มีพระธิดาจากหลายเมืองมาให้เลือก แต่สุดท้ายก็ทรงเลือกและอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธรา (Yasodhara) หรือพิมพา พระธิดาของเจ้าสุปปพุทธ (Suppabuddha) และพระนางอมิตา (Amita) แห่งเทวทหะนคร

แม้พระองค์จะทรงอภิเษาสมรสนาน แต่ก็ได้หาได้มีพระโอรสธิดาไม่ จนพระชนม์ได้ ๒๙ พรรษาพระนางยโสธราจึงทรงพระครรภ์ และประสูติพระโอรสแล้วทรงให้พระนามว่า ราหุล (Rahul) อันหมายถึงบ่วง พระองค์มีพระหฤทัยสิเนหาในพระโอรสเป็นอย่างยิ่ง แต่เจ้าชายเป็น ผู้มีบุญบารมีอันบริบูรณ์จึงไม่พอใจชีวิตคฤหัสถ์ จึงเสด็จแอบประพาสอุทยานกับนายฉันนะ (Channa) นายสารถี ทรงได้เห็นเทวทูตทั้ง ๔ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ พระองค์จึงสังเวชพระทัยในชีวิตและทรงพอใจในการออกบวช จึงตัดสินในแน่วแน่ที่จะออกผนวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรมอันเป็นหนทางดับทุกข์ถาวร ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ในตอนกลางคืน จึงเสด็จไปปราสาททรงอำลาพระนางยโสธรา พระกุมารราหุล พระหฤทัยช่วงนี้เป็นกังวลอย่างมากเพราะอาลัยอาวรณ์ในพระชายาและพระโอรสน้อยที่พึ่งประสูติ


size="5" color="#CC0000">๕. ตรัสรู้ (Enlightenment)


เจ้าชาสิทธัตถะจึงได้เรียกนายฉันนะมาแล้ว สั่งให้นำม้ากัณฑกะที่ปราดเปรียว และรวดเร็วมาให้ทรง จากนั้นเสด็จออกประตูเมืองทางทิศตะวันออก เสด็จถึงฝั่งอโนมานที จึงตัดมวยผมและเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นดาบส เมื่อพระองค์เดินลับตาไป ม้ากัณฐกะ ผู้ภักดีก็อกแตกตาย สิ้นบุญ ณ ฝั่งอโนมานทีนั้นเอง คงได้กลับแต่นายฉันนะเท่านั้น พระองค์ในเครื่องทรงของนักบวชได้เดินทางไกลอันเดียวดายแต่พระองค์เดียว จนทะลุแคว้นมคธพระเจ้าพิมพิสาร พระราชาเมืองราชคฤห์ทรงทราบ ให้อาราธนามาประทับพร้อมจะมอบราชสมบัติให้ครองครึ่งหนึ่ง แต่พระองค์ปฏิเสธ พระเจ้าพิมพิสารได้ทูลต่อว่า ถ้าหากได้บรรลุสัจธรรมขอให้มาโปรดด้วย พระองค์รับคำอาราธนาทรงเดินทางต่อเพื่อศึกษากับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายสำนัก เช่น อาฬารดาบส กาลามโคตร จนชำนาญจนได้สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ จนมีความรู้เท่าเทียมอาจารย์และไม่สามารถสอนอะไรให้อีก จึงเสด็จไปศึกษากับอุทกดาบสรามบุตรที่มีชื่อเสียง

เมื่อลงมือปฏิบัติจนชำนาญตามคำแนะนำของอาจารย์แล้วจึงทราบว่านี้ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ บรรลุโพธิญาณตามที่มุ่งหวัง จึงเสด็จไปที่อุรุเวลาเสนานิคม ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอย่างยิ่งยวด ณ ทิวเขาดงคสิริ โดยมีปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ คอยปรนนิบัติการทำทุกกิริยา เช่น ทรงกดพระทนต์ (ฟัน) ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุ (เพดาล) ด้วยพระชิวหา(ลิ้น) กลั้นลมหายใจเข้าออก พระองค์ทำอยู่จนพระวรกายซูบผอมเห็นซี่โครงทั่วพระสรีระอย่างชัดเจน จนพระโลมา (ขน) หลุดออกจากขุมขนหมด การกระทำอย่างนี้เป็นที่ประทับใจต่อปัญจัควัคคีย์อย่างมาก เพราะพวกเขาคิดว่านี่คือทางแห่งการบรรลุธรรม แต่เมื่อพระองค์ทรงเห็นอุปมาดังพิณสามสาย ซึ่งแสดงให้ทราบโดยพระอินทร์ สายแรกเคร่งเกินไปดีดได้ไม่นานก็ขาด เส้นที่สองยานเกินไป เสียงไม่ไพเราะ ส่วนสายที่สามพอดี เสียงไพเราะน่าฟัง จึงละแนวทางเดิมหันมาเสวยภัตตาหาร และเริ่มปฏิบัติแนวทางใหม่ทำให้ปัญจวัคคีย์ๆไม่พอใจหนีจากไป

ทรงตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม

เช้าวันหนึ่งนางสุชาดาลูกสาวนายบ้านได้อธิษฐานกับเทวดาอารักษ์ว่า ถ้าได้สามีที่มีศักดิ์เสมอกันและได้บุตรชายจะทำการเซ่นสังเวยบวงสรวง ด้วยข้าวมธุปายาสและวัตถุ มีค่าแสนกหาปณะ เมื่อสมความปรารถนาจึงนำข้าวมธุปายาสมาเซ่นสรวง เมื่อเห็นมหาบุรุษมีลักษณะงดงามประทับนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ จึงคิดว่าเป็นเทวดาอารักษ์ จึงน้อมถวายข้าวมธุปายาส พระองค์ทรงรับหลังจากเสวย แล้วทรงลอยถาดที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา โดยอธิษฐานว่า ถ้าจะได้บรรลุสัมมาสัมมาสัมโพธิญาณขอให้ถาดใบนี้ลอยทวนกระแสน้ำ และผลก็เป็นไปอย่างที่พระองค์หวัง ถาดได้ลอยทวนกระแสและจมลงสู่ก้นแม่น้ำ ต่อมาโสตถิยพราหมณ์เห็นมหาบุรุษที่กิริยาอาการงดงามน่าเลื่อมใส จึงถวายหญ้ากุสะเพื่อปูประทับนั้ง พระองค์เสด็จนั่งบำเพ็ญสมณธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในที่สุด ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือน ๖ เดือนวิสาขะ ก็ทรงบรรลุพระอรหันต์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา (Buddhagaya) รัฐพิหารปัจจุบัน ผู้กลายเป็นพระศาสดาเอกของชาวโลก

 

<๖. แสดงพระธรรมเทศนา (Teaching the Dhamma)


เมื่อตรัสรู้แล้วทรงเสวยสุข ณ ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา ๗ สัปดาห์ ทรงรำพึงว่าธรรมมะที่พระองค์ตรัสรู้ เป็นการยากสำหรับผู้คนโดยทั่วไป จึงทรงเบื่อหน่าย ท้อถอยไม่ประสงค์สั่งสอนเวไนยสัตว์ พระพรหมทราบวาระจิต จึงทรงอาราธนาโดยเปรีบบมนุษย์เหมือนดอกบัว ๔ เหล่าคือ
          ๑. อุคฆติตัญญู ผู้สามารถรู้ธรรมได้เร็ว เพียงเมื่อยกหัวข้อมาแสดงเปรียบดังบัวพ้นน้ำ เมื่อถูกแสงแดดย่อมสามารถบานได้ทันที
          ๒. วิปจิตัญญู ผู้สามารถรู้ธรรมได้ต่อเมื่ออธิบายเนื้อความให้ชัดเจนเปรียบเหมือนบัวในระหว่างน้ำหรือเสมอน้ำ ซึ่งจะบานในวันรุ่งขึ้น
          ๓. เนยยะ หมายถึงผู้ที่พอจะแนะนำได้ บุคคลประเภทนี้ต้องอาศัยการสั่งสอน ความพยายามเอาจริงเอาจังของผู้สอนจึงจะบรรลุได้ เปรียบเหมือนใบบัวในน้ำ ซึ่งจะต้องพยายามเพื่อการผลิบานในช่วงต่อไป
          ๔. ปทปรมะ ผู้ที่มีปัญญาทึบไม่สามารถสั่งสอนได้บุคคลประเภทนี้บางทีแม่มีปัญญาดี แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเชื่อที่สุดโต่ง ก็ไม่สามารถสอนได้ เช่น เจ้าลัทธิหรือพวกพราหมณ์หัวเก่าบางคน เปรียบเหมือนบัวที่เพิ่งผลิอาจจะต้องกลายเป็นอาหารของสัตว์น้ำ เช่น ปลาและเต่า เป็นต้น

ดังนั้น จึงเปลี่ยนพระทัยน้อมไปในการแสดงธรรม ทรงพิจารณาดูผู้เหมาะสมต่อการแสดงธรรมโปรด ตอนแรกทรงเห็นอาฬารดาบสและอุทกดาบส แต่ท่านทั้งสองก็เสียชีวิต แล้วสุดท้ายจึงเสด็จไปป่าอิสิปตนมิคทายวัน เมืองพาราณสี (Varanasi) เพื่อแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ ที่หลีกหนีไปเพราะเห็นว่ามหาบุรุษละความเพียร เวียนมาซึ่งความมักมากและเสวยพระกระยาหาร

ระหว่างทางเจอกับอุปกาชีว ทรงแสดงธรรมให้อุปกาชีวกฟัง แต่เขาก็ไม่อาจเข้าใจธรรมที่พระองค์ทรงตรัสทรงตรัสสอนไม่ ได้แต่แลบลิ้นส่ายศีรษะเดินหนีไป ถ้าเขาเข้าใจคงจะกลายเป็นพระสาวกองค์แรกแทนพระอัญญาโกณฑัญญะแน่นอน

แสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕

เมื่อไปถึงเหล่าปัญจวัคคีย์คิดว่าจะไม่แสดงความเคราพ แต่สุดท้ายก็ลืม เผลอแสดงความเคารพ แต่ยังมีกิริยาอาการกระด้างกระเดื่องอยู่ แต่สุดท้ายทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตร แก่พระปัญจวัคคีย์ทั้งห้าในท้ายสุดแห่งการแสดงปฐมเทศนา

พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วทูลขออุปสมบท พระองค์จึงประทานการบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ต่อมาพระองค์ก็แสดงธรรมต่อจนท่านทั้งสี่คือวัปปะ ภัททิยะ มหานามะและอัสสชิได้ดวงตาเห็นธรรมและบรรลุพระอรหันต์ตามลำดับ

จึงนับว่าพระรัตนตรัยครบองค์สามวันนี้ ต่อมาทรงโปรดยสะบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี จนบรรลุพระอรหันต์ ยสกุลบุตรพร้อมสหายก็ได้ออกบวช ส่วนบิดามารดาและญาติของพระยสะก็ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จึงนับว่าเป็นคหบดี เมืองพาราณสี ตระกูลแรกที่นับถือพุทธศาสนา เพราะเมืองพาราณสีเป็นศูนย์กลางศาสนาพราหมณ์ที่เข้มแข็ง เมื่อออกพรรษาแล้วจึงส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาในทิศทั้งสี่

พระองค์เองเสด็จไปอุรุเวลาเสนานิคมทรงโปรดชฏิล อุรุเวลกัสสปะ พร้อมบริวาร ๕๐๐ คน ด้วยอาทิตตปริยายสูตร จนในที่สุดน้องชายทั้งสองคือ นทีกิสสปะพร้อมบริวาร ๓๐๐ และคยากัสสปะพร้อมบริวาร ๒๐๐ ก็ขอการอุปสมบทเช่นเดียวกับพี่ชาย

ชฏิลทั้งหมดได้รับฟังธรรมเทศนาจนบรรลุพระอรหันต์ พระองค์พร้อมพระสาวกเสด็จโปรดพระเจ้าพิมพิสาร และชาวเมือง ณ สวนตาลหนุ่ม นอกเมือง จอมราชันย์แห่งนครราชคฤห์และชาวเมืองก็ได้ดวงตาเห็นธรรมและบรรลุโสดาบัน ต่อมาพระสาวกองค์สำศัญ ก็เข้ามาอุปสมบทเช่น พระมหากัสสปะ พระอุทายี พระนันทะ พระราหุล พระอนุรุทธะ พระอานนท์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระรัฐบาล พระสิวลี พระองคุลีมาล เป็นต้น

ดังนั้นนับตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติจนกระทั่งสั่งสอนสาวกรุ่นแรกที่ป่าอิสิปตนมิคทายวันเป็นเวลา ๓๕ พรรษา พุทธศาสนาจึงอุบัติขึ้นอย่างสมบูรณ์ การที่พระพุทธองค์สามารถประดิษฐานพุทธศาสนาลงในชมพูทวีป อันเป็นดินแดนของศาสนาพราหมณ์และลัทธิอื่น ๆ ที่แข็งแกร่งอย่างมากมายได้นั้น เป็นเพราะความพยายามของพระพุทธองค์และพระสาวก และความดีเด่นของพุทธศาสนานั้นเองถ้าไม่มีความดีเด่นในตัวแล้วคงไม่สามารถแย่งชิงกับศาสนาเจ้าถิ่นได้

 

<๗. ปรินิพพาน (Passed away)


พระพุทธองค์ทรงพุทธกิจอยู่จนพระชนม์มายุได้ ๘๐ พรรษา ก็เสด็จจำพรรษา ณ เมืองเวสาลีเป็นพรรษาสุดท้าย แล้วดำเนินจากเมืองเวสาลีสู่กรุงกุสินาเพื่อเสด็จปรินิพพาน และพระองค์ก็เหลียวมองกรุงเวสาลีอีกครั้ง เป็นการทัศนาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินทางต่อจนถึงเมืองปาวา ฉันพระกระยาหารมื้อสุดท้ายที่บ้านนายจุนทะ เขาพร้อมพุทธบริษัทได้ถวายสูกรมัทวะ ซึ่งหมายถึงเห็ดชนิดหนึ่งที่หมูชอบกิน แต่บางมติว่าเป็นหมู มาถึงตอนนี้พระองค์อาพาธอย่างยิ่ง จนจวนเจียนจะปรินิพพานแต่ก็ข่มอาพาธด้วยสมาบัติแล้วประคองพระองค์จนถึงสาวลวโนทยานของเจ้ามัลละ กษัตรย์เมืองกุสินารา
เสด็จปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ กรุงกุสินารา

ก่อนเสด็จดับขันทธปรินิพพาน พระองค์็ให้การอุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพพาชก นับเป็นสาวกองค์สุดท้ายที่พระองค์บวชให้ ขณะกำลังใกล้ปรินิพพาน พระอานนท์แอบไปร้องไห้คนเดียว เพราะคิดว่าพระพุทธองค์จะเสด็จด่วนจากไปซะแล้ว ในขณะที่ตนเองยังไม่ได้บรรลุอะไรยังเป็นปุถุชนอยู่ จักมีใครเป็นที่พึ่งได้ต่อไปความทราบถึงพระองค์ จึงตรัสให้เรียกพระอานนท์มาและปลอบว่า

พระอานนท์เป็นยอดอุปัฏฐาก รู้เวลาอันควรไม่ควรและในอนาคตจักได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แน่นอน พระโอวาทนี้ทำให้พระอานนท์คลายเศร้าโศกลงบ้าง

ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และปุถุชน พระราชาชาวเมืองกุสินาราและจากแคว้นต่าง ๆ เทวดาทั่วหมื่นโลกธาตุ พระพุทธองค์ได้ตรัสพระดำรัสครั้งสำคัญว่า

"โย โว อานนฺท ธมฺโม จ วินโย มยา เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา" อันแปลว่า "ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัย อันใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"

และแล้วเมื่อถึงปัจฉิมยามของวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำเดือน ๖ อันตรงกับเดือนวิสาขะ ก็ทรงดับขันธปรินิพพาน ณ สาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา (Kushinagar) ของอำเภอกาเซีย (Kasiya) จังหวัดโครักขปุระ รัฐอุตตรประเทศในปัจจุบัน เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว โทณพราหมณ์ก็ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ออกเป็น ๘ ส่วน โดยแบ่งให้เมืองเวสาลี เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองอัลกัปปะเมืองรามคาม เมืองเวฏฐทีปกะ เมืองปาวา เมืองราชคฤห์ และเมืองกุสินารา ได้ส่งตัวแทนมาขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปสักการะบูชาในเมืองของตน

สรุปพุทธกิจในรอบวันของพระพุทธองค์
          ๑. ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาตเพื่อโปรดเวไนยสัตว์
          ๒. สายณฺเห ธมฺมเทสนํ ตอนเย็นทรงแสดงธรรมโปรดมหาชนที่เข้าเฝ้าถวาย
          ๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ ตอนหัวค่ำประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งเก่าและใหม่
          ๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหานํ ตอนเที่ยงคืนทรงวิสัชชนาปัญหาให้เทวดาชั้นต่าง ๆ สามารถและไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แล้วเสด็จไปโปรดถึงที่ แม้ว่าหนทางจะลำบากแค่ไหนก็ตาม

ที่มา : หนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย โดย พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ
[ จำนวนคนอ่าน 4625 คน ]
หน้าแรก พระพุทธศาสนา ประวัติพระพุทธสาวก หัวข้อธรรม ธรรมปฏิบัติ ศาสนพิธี วันสำคัญทางศาสนา ทศชาติชาดก วิทยุธรรมะไทย
พุทธศาสนสุภาษิต พจนานุกรมพุทธศาสน์ ทำเนียบวัดไทย คลังแสงแห่งธรรม พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ข่าวธรรมะ กิจกรรมธรรมะ สมุดเยี่ยม
ธรรมะไทย - dhammathai.org Warning: include(../../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter02_3.php on line 665 Warning: include(../../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter02_3.php on line 665 Warning: include(): Failed opening '../../useronline.php' for inclusion (include_path='.:/usr/local/lib/php') in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter02_3.php on line 665