<๔.
อาศรม ๔ (Four Ashrams)
คำว่า อาศรม
(Ashrams) ในความหมายโดยทั่วไป หมายถึงที่อยู่อาศัยของนักบวชหรือดาบส
แต่ในที่นี้หมายถึง ช่วงระยะเวลาของชีวิตที่ต้องปฏิบัติตาม
คนในวรรณะสูงทั้งสามคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์
(เว้นศูทร) ต้องปฏิบัติตามอาศรม ๔ อย่างนี้คือ
๑.
พรหมจารี คือช่วงชีวิตสำหรับการศึกษาเล่าเรียน
เพื่อนำความรู้มาแสวงหาทรัพย์ สมบัติ ทางโลก
บุคคลที่อยู่ในอาศรมคือพรหมจารีต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนอย่างเคร่งครัด
๒.
คฤหัสถ์ คือช่วงหาความสุขทางโลก มีครอบครัว
มีบุตรธิดา แสวงหาทรัพย์สมบัติ ประกอบยัญพิธี
และรับผิดชอบต่อชุมชน บุคคลที่อยู่ในช่วงนี้คือคฤหัสถ์
๓.
วนปรัตถ์ คือ ช่วงที่จะต้องปล่อยว่างวิถีชีวิตคฤหัสถ์แล้วหันมาปฏิบัติธรรม
ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรรม โดยการออกไปพำนักอยู่ในอาศรมในป่า
บำเพ็ญตบะและข้อปฏิบัติอื่นๆ ทางศาสนาอย่างเคร่งครัด
เรียกว่า วนปรัตถ์
๔.
สันยาสี คือการปฏิบัติเพื่อบรรลุโมกษะ
อันเป็นจุดหมายของชาวฮินดู เป็นช่วงที่สละทุกอย่างเหลือแต่ผ้านุ่งกับภาชนะสำหรับภิกขาจารและหม้อน้ำ
เที่ยวจาริกทั่วไป บุคคลที่อยู่ในอาศรมนี้เรียกว่า
สันยาสี
ทั้งสี่อาศรมนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอัตถะ
กามะ ธรรมะ และโมกษะ
<๕.
วรรณะทั้ง ๔ (4 Castes)
ชนชาวอารยันนับเป็นชนชาติเดียวในโลกที่แบ่งคนออกเป็น
๔ วรรณะตามความเชื่ออย่างเคร่งครัด ทั้งนี้สืบเนืองมาจากอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ดั่งเดิม
วรรณะทั้ง ๔ คือ
๑.
กษัตริย์ (Kshatriya) เกิดจากอกของพระพรหม
ถือว่าสืบเชื้อสายมาจากพระอาทิตย์ มีเครื่องแต่งกายสีแดง
เป็นชนชั้นปกครองหรือนักรบ ปัจจุบันวรรณะนี้เป็นบุคคลทั่วไป
ไม่จำเป็นว่าต้องกษัตริย์เสมอไป
๒.
พราหมณ์ (Brahmana) เกิดจากพระโอษฐ์ของพระพรหม
มีเครื่องแต่งกายประจำคือสีขาว อันแสดงถึงความบริสุทธิ์
มีหน้าที่กล่าวมนต์ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้แก่ผู้คนโดยทั่วไป
เป็นพวกศึกษาเล่าเรียน คัมภีร์พระเวท เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
๓.
แพศย์ (Vaishaya) เกิดจากตะโพก (บางแห่งว่าจากตัก)
ของพระพรหม มีเครื่องแต่งกายประจำคือสีเหลือง
เป็นพวกแสวงหาทรัพย์สมบัติจัดเป็นพวกพ่อค้า
วาณิช ทำเกษตรกรรม เป็นพลเรือนโดยทั่วไป
๔.
ศูทร (Sudra) เกิดจากฝ่าเท้าของพระพรหม
มีเครื่องแต่งกายคือสีดำหรือสีอื่น ๆ ที่ไม่มีความสดใส
เป็นกรรมกร มีอาชีพชั้นต่ำ เป็นที่ดูถูกในสังคม
และยังมีวรรณะพิเศษอีกพวกที่ไม่ถูกจัดเข้าพวกนั้นคือจัณฑาลหรืออธิศูทร
(Adhisudra) หรือหริชน เป็นวรรณะที่ต่ำต้อยที่สุดที่ไม่ได้รับอภิสิทธิ์ใด
ๆ จากสังคม มีสถานะต่ำยิ่งกว่าสัตว์เสียเอีก
พวกวรรณะจัณฑาลกล่าวกันว่ามาจากพวกที่แต่งงานข้ามวรรณะลูกที่ออกมาจึงกลายเป็นจัณฑาล
ทฤษฎีนี้ไม่ถูกต้องเสมอไป มีอีกมากมาย ที่คนแต่งงานข้ามวรรณะแล้วก็ยังมีหน้ามีตาทางสังคม
ปัจจุบันวรรณะนี้มีหลายร้อยล้านคนในอินเดีย
<๖.สำนักปรัชญาทั้ง
๖ (6 Theories)
๑.
ลัทธิเวทานตะ (Vedanta) ลัทธินี้แปลว่า
ตอนสุดท้ายแห่งพระเวท โดยแสดงว่าความจริงอย่างแท้จริงมีอยู่สิ่งเดียวคือปรมาตมัน
ๆ แตกตัวจากอาตมันคือวิญญาณของบุคคล มันสิงอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน
เพียงแต่เขาอาจจะไม่ทราบเท่านั้น หลักการนี้พุทธศาสนามหายานก็นำไปใช้
โดยกล่าวว่ามนุษย์ทุกคนมีธาตุแห่งความเป็นพุทธะอยู่แล้วในตัวทุกคน
ลัทธินี้เป็นระบบปรัชญาที่เกิดจากอุปนิษัท โดยอุปนิษัทเรียกร้องศรัทธา
เวทานตะเรียกร้องเหตุผลจากมนุษย์ ปรัชญาหลักของเวทานตะคือ
ความไม่รู้เท่าทันความจริงที่ว่า จิตของเราแต่ละคนเป็นอาตมัน
เป็นอย่างเดียวกับจิตของพรหมคือ ปรมาตมัน คนเราจึงกระทำกรรมถือกรรมต่าง
ๆ เป็นตัวตนของเขา ดังนั้นจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกนี้
เมื่อใดกำจัดอวิชชา ความไม่รู้ไห้หมดไปแล้วอาตมันจะเข้าร่วมกับปรมาตมัน
คนที่สำเร็จจะกลายเป็นพรหม ลัทธินี้รวบรวมโดยอวยาส
๒.
ลัทธินยายะ (Nyaya) แปลว่าเข้าไปในธรรม
เป็นหลักการค้นคว้าหาความจริงอย่างอนุมานและพิจารณาเรื่องทุกข์
ชาติ พฤติกรรมโทษพร้อมทั้งอวิชชา ซึ่งนยายะสอนให้เปลื้อง
ตั้งแต่ปลายไปหาต้น แล้วจะบรรลุความหลุดพ้น
วาตสยายนะ อาจารย์สอนชื่อดังของลัทธินี้กล่าวว่า
"อวิชชา คือ ความไม่รู้นำมาซึ่งความเกาะเกี่ยว
ความแห้งแล้ง ความริษยา ความเห็นผิดความประมาท
อหังการและความโลภตามลำดับ บุคคลผู้มีอวิชชา
ย่อมประกอบประทุษกรรมต่าง ๆ มีการลักขโมย ประพฤติผิดในกาม
เป็นต้นนี้เป็นอกุศลทั้งสิ้น บุคคลใดมีความประพฤติดีรู้จักให้ทาน
มีความเมตตากรุณา มีความสัตย์ บำเพ็ญประโยชน์
พูดจามีสาระย่อมได้ชื่อว่าประกอบกุศลกรรม การเกาะเกี่ยวชีวิต
ทำให้มีการเกิดและนำมาซึ่งความทุกข์ อุปมาว่าอาหารที่คลุกเคล้าด้วยน้ำผึ้งและยาพิษก็ควรทิ้งไปให้หมดเพราะเป็นสุขที่เจือด้วยทุกข์"
ลัทธินี้รวบรวมโดยท่านฤๅษีโคตมะ ซึ่งมีชื่อพ้องกับพระพุทธเจ้าและหลักคำสอนก็คล้ายคลึงอย่างมาก
๓.
ลัทธิไวเศษิกะ (Vaisesika) ลัทธินี้สอนว่าโลกเกิดจากพลังอันมองไม่เห็นที่สืบมาจากกรรมในภพก่อน
แต่ก็มีจิตอันยิ่งใหญ่ที่สุดคือปรมาตมันเป็นใหญ่อยู่ในสากลโลก
จิตอันยิ่งใหญ่นี้แยกเป็นวิญญาณ ส่วนบุคคลเรียกว่าชีวาตมัน
ปรมาตมันเป็นอมตะ ไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีการทำลายแตกดับแผ่ซ่านทั่วไปโดยปราศจากรูปร่างและเป็นผู้สร้างสากลโลกขึ้นก่อตั้งโดยกณาทะ
๔.
ลัทธิสางขยะ (Sankhya) มาจากคำว่าสังขยา
แปลว่าการนับก่อตั้งโดยกบิลมุนี เป็นลัทธิที่มีอิทธิพลมากพอสมควรในยุคก่อนพุทธกาล
แนวปรัชญาของลัทธินี้อยู่ในประเภททวินิยม คือสองส่วนโดยชี้ให้เห็นว่าปุรุษะถูกขังอยู่ในประกฤติ
จึงได้ประกอบกรรมอันนำมาซึ่งความทุกข์ เมื่อทราบดังนี้แล้วจึงต้องพยายามหาทางถอนวิญญาณของตนออกจากวัตถุธาตุทั้งมวล
เพื่อเข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิญญาณสากล
หรือปรมาตมันต่อไป
๕.
ลัทธิโยคะ (Yoga) ก่อตั้งโดย ฤๅษีตัญชลี
ในยุคต้นฝึกบำเพ็ญตบะ โดยหวังไปทางโลกิตสุข
ต่อมาฝึกเน้นหนักไปในทางทำจิตให้สะอาดเพื่อจะได้รวมกับพระพรหมในโอกาสต่อไป
คำว่าโยคะแปลว่าการดับพฤติของจิต หรือสกัดกั้นความเคลื่อนไหวของจิต
ลัทธินี้ให้หลักการไว้ว่า จิตมักจะแสดงอาการให้เห็น
๔ ลักษณะ คือ ๑. พุทธะ ความเข้าใจหรือแน่วแน่
๒. จิตความตริตรอง ๓. สมฤติ ความระลึกทรงจำ
๔. อหังการ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ
จิตมีฤติ ๔ ประการ คือ ๑.ประมาณความวิปลาส ๒.ความสมมติผิด
๓.ความหลับ ๔.และความระลึกความทรงจำ
วิธีการของโยคะคือบังคับการระบายและตั้งลมหายใจเข้าออก
เพ่งบางส่วนของร่างกายให้เกิดสมาธิ ต้องมีความข่มการดิ้นรนให้หมดไป
โดยตั้งใจเพ่งพระอิศวรเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นบุรุษหรืออาตมัน
อันพ้นแล้วจากกรรมหรือความเสื่อมเสียทั้งปวง
มีทางเข้าถึงโยคะ ๘ สาย การปฏิบัติโยคะนี้ต้องปฏิบัติเป็นขั้น
ๆ ไป และจะเกิดความสำเร็จเป็นขั้น ๆ เช่นกัน
บางครั้งอาจเกิดมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ขึ้นมา
ซึ่งเป็นผลพลอยได้ แต่เป้าหมายที่แท้จริงก็เพื่อการดับพฤติของจิต
ปัจจุบันลัทธินี้ยังคงแพร่หลาย แม้ในเมืองไทยเราเอง
ก็มีการเปิดหลักสูตรโยคะอยู่ทั่วไป
๖.
ลัทธิมิมางสา (Mimamsa) ลัทธินี้มีหลักคล้ายโยคะมาก
ผิดกันเฉพาะตอนที่สอนให้ทำพิธีต่าง ๆ ไม่ได้สอนให้ใช้การเพ่งด้วยการคิดอันเป็นหลักของโยคะ
ก่อตั้งโดยไชมินิ จึงไม่มีความสำคัญมากนัก
|