เราต้องยอมรับว่า
"กรรม" นี้แหละเป็นผู้บันดาล ชีวิตเราจะดีจะชั่วก้าวหน้า
ถอยหลังหรือรุ่งโรจน์สดใส แม้จะไม่ถึงขั้นโชติช่วงชัชวาลก็ตาม หาใช่เป็นเพราะพระพรหม
หรือพระเจ้าเป็นผู้ลิขิต ดังบางท่านเข้าใจก็หาไม่ ชีวิตจะสุขทุกข์ขาดทุนหรือกำไร
ขึ้นอยู่กับกรรมคือ การกระทำเท่านั้น
มิใช่เพราะสิ่งอื่น
หรืออำนาจภายนอกบันดาลให้
.
มิใช่เทวาดอกมาอุ้มสม
มิใช่พระพรหมดอกมาเสกสรร
มิใช่ศุกร์เสาร์หรืออาทิตย์จันทร์
จะมาดลบันดาลให้เราชั่วดี
แต่กรรมลิขิตชีวิตของคน
จะยากดีมีจนก็สุดแต่วิถี
กฎแห่งกรรมทำดีได้ดี
ถ้าทำชั่วแล้วก็มีแต่เลวทราม ฯ
หรือว่า
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
คนชั่วดี อยู่ที่กรรม นำจำแนก
ให้ดูแตก ต่างกัน ชั้นยศฐาน
ให้ทุกข์สุข สรรเสริญ และนินทา
กัมมุนา วัตตะตี ที่แจกแจง (โดยถิรธัมม์)
ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากรรม
เท่านั้นเป็นผู้ลิขิต ท่านจะเห็นด้วย หรือไม่ก็ตาม แต่ผู้เขียนขอยืนยันว่า
ทางพระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อกรรม จะเสื่อม หรือเจริญขึ้นอยู่กับกรรมที่เราประกอบขึ้นมาเอง
อะไรบ้างที่เป็นความดี ความชั่วอยู่ในวิสัยที่ท่านทั้งหลาย ย่อมจะพิจารณาและเข้าใจได้ด้วยตนเอง
แต่ก็นั่นแหละสังคมไทยมักจะมีจุดอ่อนเสมอ สังคมไทยที่เกิดปัญหาเดือดร้อนทุกวันนี้ไม่ใช่เกิดจากผู้ไม่รู้
ล้วนเกิดจากผู้รู้แล้วทั้งสิ้น แต่ก็มักเข้าตำราที่ว่า "ผู้รู้ดีแต่ไม่ทำดี
ผู้รู้ชั่วแต่ไม่เว้นชั่ว" เสียส่วนมาก นี่ต่างหาก คือต้นตอที่กอให้เกิดปัญหา
ถ้าทุกคนรู้ดี แล้วแข่งขันกันทำดี รับรองสังคมยอมปลอดภัย แต่เท่าที่ปรากฏทุกวันนี้มักจะมีแต่ผู้รู้ชั่วแล้วแข่งขันกันประกอบความชั่วจึงเป็นเหตุให้สังคมระส่ำระสาย
โดยเฉพาะข้าราชการ ซึ่งมีหน้าที่ทำงานเพื่อให้เกิดความชุ่มชื่นใจแก่ประชาชน
ถ้ามีจิตสำนึก และพยายามปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ตามที่รู้
และได้รับมอบหมายแล้ว ข้าราชการจะน่ารักไม่น้อย เท่าที่เป็นอยู่
มีแต่รับ
"ชอบ"
ส่วน
"ผิด" รีบปฏิเสธทันที
อนึ่ง
ผู้ที่กำหนดหัวใจประชาชนทั้งประเทศนั้นคือ ข้าราชการ ยิ่งเป็นทหารด้วยแล้ว
หน้าที่ย่อมมีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ และการเป็นอยู่ของประชาชนเคยได้ยินคนแต่ก่อนพูดเป็นเชิงยกย่องว่า
"ตำรวจเป็นบ้านทหารเป็นรั้ว" แสดงให้เห็นว่าบ้านใด เมืองใดถ้าขาดรั้วขาดกำแพงเยี่ยงตำรวจ
ทหาร แล้วบ้านนั้นเมืองนั้นย่อมไม่มั่นคง หมิ่นเหม่ต่ออันตรายรอบด้าน
ท่านเป็นข้าราชการสังกัดกองทัพเรือ ทำอย่างไรจึงจะก่อให้เกิดความชื่นใจแก่ประชาชน
และกองทัพของท่าน ผู้เขียนขอเสนอแนะตามแบบพุทธวิธีว่าขณะที่ท่านทำงานทุกอย่างนั้นคือ
ท่านกำลังประกอบกรรมเพื่อส่วนรวมคือ ประเทศชาติ แต่ความมั่นใจใจงานที่ทำนอกจากปัญญาคือ
ความรู้แล้ว จะต้องอาศัยสติสัมปชัญญะเข้าควบคุมทุกขณะ ทั้งนี้ เพื่อมิให้งานนั้นพลาด
เหมือนขับรถ ถ้าขาดสติสัมปชัญญะแล้วไม่รู้สึกสำนึกตัวว่ากำลังทำอะไร
หรือจะไปไหน แทนที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางก็จะกลายเป็นว่าจุดหมายปลายทางนั้นคือ
"ป่าช้า"
ฉะนั้นนักทำงานทุกคนต้องสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าทำงานนั้น
ทำทำไม ทำเพื่ออะไร ถามตัวเองให้รู้จุดประสงค์ เสียก่อน แล้วค่อยลงมือทำงานนั้น
แล้วความผิดพลาดก็จะเกิดได้ยาก
..
|