ผู้ชายที่ผู้หญิงชอบมาติด รัก หลงใหล


<
ผู้ชายที่ผู้หญิงชอบมาติด รัก หลงใหล

เมื่อวันก่อน ผมได้ไปประกอบพิธีแก้ไขกรรมให้กับคนอื่น แล้วพบเจอผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนนี้เขาเปลี่ยนผู้หญิงหลายคน เท่าที่ทราบ ยังเป็นเหตุให้ผู้หญิงแย่งชิงกันเพื่อที่จะให้ได้เขา แม้ว่าเขาผู้นั้นจะมีครอบครัวแล้วก็ตามแต่ก็ยังมาชอบพอผู้ชายคนนี้ และปัจจุบัน ผู้หญิงทั้งสองฝ่ายได้เลิกลากลับผู้ชายคนนี้แล้ว แต่ยังแค้นอาฆาตกันอยู่อีก และผู้หญิงหนึ่งในนั้น ผมรู้จัก ผมจึงได้ซักถามเขาว่าทำไมจึงไปชอบผู้ชายคนนี้ เขาตอบด้วยความจริงใจว่า ที่ชอบเขาเพราะอยู่ใกล้แล้วอบอุ่น

เพราะเหตุอะไรผลจึงเป็นเช่นนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะวิบากกรรม เพราะเล่นของ เพราะมีวิชา

๑. เนื่องด้วยวิบากกรรม คือ ผู้ชายคนนี้มีวิบากกรรมกับผู้หญิง เป็นกรรมสาธารณภัย ผู้หญิงจะมารักชอบพอกัน แต่อยู่ๆ ไปผู้ชายคนนี้จะเลิกแล้วไปมีแฟนใหม่ จะทำอย่างนี้หลายคน จะเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ แต่จะอยู่ด้วยกันไม่นาน แต่ถ้าผู้ชายคนนี้เกิดปักใจจะรักผู้หญิงคนนี้ละ จะจริงใจ รัก ชอบกับผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงก็จะสลัดเลิกกับผู้ชายคนนี้ ทำให้ชายคนนี้ต้องเจ็บปวดใจ นี่เป็นเพราะวิบากกรรม แต่ถ้าถามว่าไม่สงสารผู้หญิงเหล่านี้เหรอ ก็ต้องตอบว่า ผู้หญิงเหล่านี้รู้แต่ยังขืนทำอยู่อีก ก็สุดแล้วแต่วิบากกรรม ถ้าผู้หญิงรู้ก็ต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว

๒. เนื่องด้วยเล่นของ คือ มีของดี ของขลัง เช่น พระขุนแผน น้ำมันพราย รักยม ฯลฯ

๓. เนื่องด้วยมีวิชา คือ เขารู้จักเอาใจผู้หญิงเก่ง รู้ใจผู้หญิง ว่าทำอย่างไรให้ผู้หญิงชอบหรือไม่ชอบ มีจิตวิทยาในการจูงใจ จูงจิตของผู้หญิง เป็นต้น

ผู้ชายทั่วไปคิดไปไหนมีผู้หญิงชอบ ผู้หญิงรัก หลง ตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แต่ในสิ่งที่ดีแฝงไว้ด้วยเคราะห์กรรม เคราะห์ภัยต่างๆ ทำแล้วมีผลทางลบตามมา กลับเป็นสิ่งที่ไม่ดี จะมีวิบากกรรมทางอกุศล

ที่ผู้ชายเป็นอย่างนี้ บางครั้งเป็นเพราะผู้ชายอาสาสมัครอยากจะเป็น เพราะคิดว่าดี มีผู้หญิงมาชอบมากๆ แต่บางกรณีอาจเป็นเพราะอดีตชาติ ผู้ชายคนนี้ได้ถูกผู้หญิงทิ้ง จึงอาฆาตแค้น ก่อนตายได้อธิษฐานไว้ ต่อไปชาติหน้าขอให้ผู้หญิงต้องมารักกู กลายเป็นคำสัญญาไว้

ถ้าเราอยากแก้กรรมตรงที่สัญญานี้เราก็ต้องเปลี่ยนสัญญาใหม่ แล้วผลก็จะออกมาใหม่ เมื่อเราประกาศกรรมวิบากเช่นนี้ชีวิตเราก็จะดำเนินไปตามแรงกรรมแห่งการอธิษฐาน โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าเราเคยอธิษฐานไว้เช่นนี้ ต้องรีบเข้าหาครูบาอาจารย์แก้ไขกรรม

จากสิ่งที่ผมถามผู้หญิงคนนั้นว่า อยู่กับผู้ชายคนนี้แล้วรู้สึกอบอุ่น แต่ทำไมถึงเลิกกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ เราห่มผ้านี้รู้สึกอบอุ่น แต่ห่มไปก็จะรู้สึกร้อน หรือห่มผ้าผืนนี้อะไรอยู่ข้างในหรือเปล่า เช่น ตะขาบ ถ้าโดนตะขาบกัดทีหนึ่งแล้วเราจะอบอุ่นอยู่หรือเปล่า? เราอบอุ่นก็จริงอยู่ แต่เราจะโดนทนกัดได้มั้ย เราจึงทนอยู่ไม่ได้เราจึงเผ่นหนี เหมือนกับผู้หญิงคนนี้ที่ไปรักชอบพอเขา แต่สุดท้ายก็เลิก ผู้ชายคนนี้อยู่ใกล้แล้วอบอุ่นก็จริงอยู่ แต่ข้างในแฝงไว้ด้วยอะไรหลายอย่าง จึงทำให้ผู้หญิงหลายคนต้องจากเขาไป

บางคน โคตรอบอุ่น รักปานจะกลืน เฟอเฟ็คทุกอย่าง แต่เวลามีเพศสัมพันธ์กัน ขั้นที่ ๑ ขั้น ๒ ดี แต่พอขั้นที่ ๓ เบรคไม่อยู่บางทีทำให้อวัยวะเพศของผู้หญิงฉีก เลือดออก เจ็บ เกิดปัญหาก็มี หรือต้องทำร้ายผู้หญิงจึงจะถึงจุดสุดยอด เพราะเมื่อเข้าสู่ภาวะเช่นนั้น ควบคุมไม่ได้ จึงทำให้ผู้หญิงอยู่ด้วยไม่ได้ก็มี แรกๆ ผู้หญิงก็ทนได้แต่พอนานๆ ไปก็ไม่ค่อยไหว

วิธีแก้ไขกรรมของผู้ชายคนนี้ คือ ต้องเอาความรักแปรเปลี่ยน แต่อย่าเอาแบบรักราคะ ต้องหยุดราคะแบบบังคับข่มขืนจิตใจเขา ต้องสร้างราคะแบบมุฑิตาจิต

ราคะมีด้วยกัน ๒ อย่าง คือ

๑. ราคะแบบบังคับข่มขืนจิตใจ คือ เขาไม่อยากทำก็บังคับให้เขาทำตามใจเรา

๒. ราคะแบบยินยอม คือ เรารักใครคนหนึ่ง ถ้าผู้หญิงไปมองผู้ชายแล้วเราจะเกิดอาการหึงหวง ฉะนั้น เราต้องมีราคะแบบยินยอมด้วยมุฑิตาจิต คือ ผู้หญิงเขาหันไปมองเพราะอาจจะพูดคุยทางธุรกิจ คือ คิดบวก ไม่ใช่คิดลบว่าเขาจะไปมีอะไรกัน หรือแอบชอบกัน เป็นต้น

ยกตัวอย่าง แฟนของเราไปจับมือหนุ่มคนหนึ่ง เราเหลือบไปมองเห็น ถ้าเรามีราคะแบบมิจฉา สายอารมณ์ เราก็จะเกิดอาการแบบหึงหวง เข้าไปชกตี หรือต่อว่าเสียๆ หายๆ แต่ถ้าเป็นราคะแบบสัมมา จะคิดว่า เขาอาจจะส่งของกันหรือเปล่า

ยกตัวอย่าง คิดไปในทางลบ กำลังทอนเงินกันอยู่ จะเอาเงินให้แล้วเงินหล่น แล้วทั้งสองคนก้มลงจะไปเก็บเงิน ทั้งสองคนหัวชนกันแล้วหัวเราะ แล้วเราก็ครุ่นคิดว่าสองคนนี้กำลังทำอะไรกันว่ะ

ราคะแบบยินยอม คือ ยอมเข้ามาผูกพันธ์กัน ถ้าเป็นราคะมาผูกกันถึงแม้จะยินยอมแต่เป็นราคะเปอร์เซ็นต์สูงก็เป็นมิจฉาสูง ก็จะเกิดแต่อารมณ์มาตัดสิน จะไม่ความคิด ไม่ใช่ปัญญามาตัดสิน

ถ้าเป็นราคะแบบสัมมา เราจะวางใจเป็นกลาง ไม่ใช้อารมณ์มาตัดสิน รู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นไปอย่างไร จึงจะตัดสินว่าเป็นอะไร

ฟังแล้วอาจจะตกใจ ตัณหา ราคะเป็นภาวะการณ์หนึ่งในธรรม ราคะเป็นตัวขับเคลื่อนในธรรม มันอยู่กับว่าเราจะเอาอะไรบวกเข้าไปต่างหาก เราจะเอาตัวมิจฉาบวก หรือว่าจะเอามุฑิตาบวก พูดง่ายๆ คือ จะเป็นตัณหาราคะฝ่ายดี หรือตัณหา ราคะฝ่ายไม่ดี

ตัณหา ราคะเป็นตัวกลางๆ เป็นกลไกหนึ่งในธรรมที่ทำให้ในธรรมต่างๆ ขับเคลื่อนไปได้ เพราะว่ามีตัณหาและราคะ ถ้าไม่มีตัณหาราคะ โลกหยุดหมุน จักวาลหยุดนิ่งหมดเลย ทำให้ธรรมพิการ หรือโลกพิการ

คนที่บอกว่าจะต้องกำจัดตัณหา ราคะ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ถ้าเรากำจัดตัณหาและราคะ ในธรรมจะพิการเลย ทุกอย่างมันหยุดนิ่งหมดเลย ไม่มีการเคลื่อนไหว ฉะนั้น เราจะบอกว่าไม่เอาหมดไม่ได้ ไม่มีไม่ได้ ต้องมีในธรรม คือ ตัณหา ราคะ แต่เราจะเอาอะไรบวกเข้าไป จะใช้ยังไงต่างหาก เหมือนกับเราเอาก๋วยเตี๋ยวมา แล้วเราจะเอาอะไรใส่เข้าไป จะใส่พริก น้ำปลา เกลือ ฯลฯ จะใส่ตัวมิจฉาหรือตัวสัมมา ถ้าเราใส่ตัวมิจฉาก็ต้องมีจริตแห่งความมิจฉา เช่น ความหึงหวง ถ้าใส่ตัวมุฑิตาจิตเข้าไป ก็จะปรารถนาดีต่อกัน

บางคนบอกว่า ตัณหาและราคะต้องฆ่าทิ้ง หรือเผาทิ้งเลย กิเลสต้องฆ่าทิ้ง เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ถ้าโลกนี้ปราศจากตัณหา ราคะ กิเลส จะทำให้โลกหรือธรรมนี้พิการเลย ไม่เคลื่อนที่ เหตุที่ทำให้โลก ธรรมเคลื่อนที่เพราะว่ามี ๓ ตัวนี้ เมื่อ ๓ ตัวนี้เคลื่อนที่ จึงก่อให้เกิดธรรมเคลื่อนที่ โลกเคลื่อนที่ โลกนี้จึงหมุนต่อ มีพระจันทร์ขึ้น พระอาทิตย์ขึ้น ไปเรื่อยๆ สรรพสิ่งในจักรวาลจะหมุนต่อ มีชีวิตชีวา ถ้าขาด ๓ ตัวนี้ ภาวะการณ์จะจบ ฤดูกาลไม่มี ตายหมด ไม่มีเหลืออยู่เลย

ฉะนั้น ตัณหา ราคะ กิเลส เราไม่ใช่ไปฆ่าเขา แต่เราต้องเรียนรู้ให้เกิดวิชา รู้จักใช้เขา ๓ ตัว

ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา

อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์   




 6,415 

  ความคิดเห็น


RELATED STORIES



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย