ความเข้าใจ "พญานาค" ที่แท้จริงในธรรม


<
พระคาถาพ่อพญานาค

โอม อะงะสะ๛ (๙ จบ)

ลูกขอนอบน้อมคารวะสักการะบูชา พ่อพญานาค ด้วยจิตศรัทธา ผู้ดูแลน้ำ ให้น้ำ ปกป้องน้ำ ส่งน้ำเลี้ยงดูชาวประชา

บัดนี้ ลูกขอตั้งจิตอธิษฐาน จะบำบัดทุกข์ บำรุงสุขชาวประชา

บัดนี้ ลูกขอน้อมถวายของบูชา (ชื่อของถวาย...) ขอองค์พ่อโปรดเมตตารับ และขอบารมีองค์พ่อฯ โปรดเมตตาประทานพร ให้ลูกตั้งใจเจริญรอยตามองค์พ่อพญานาค มีความพากเพียรพยายาม มีความสดชื่น เบิกบาน มีพลังความสมบูรณ์ สุขสันติ สุขสันติ สันติสุข โอม๛




พญานาคจริงแท้เป็นเช่นใด

พญานาคมีจริงหรือไม่อย่างไร แล้วพญานาคแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร จะขออธิบายตามลำดับดังนี้

ตามที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา พญานาคบางครั้งก็เป็นคน บางครั้งก็เป็นงู บางครั้งก็เป็นพลัง อย่างนี้คล้ายๆ กับว่าเราต้องติดในรูปของคำว่าพญานาคมั้ย และคำว่าติดรูป แล้วเราจะไปไหน ก็ต้องอยู่ในรูป คือ พอพญานาคต้องเป็นเช่นนี้ๆ จะเป็นอย่างอื่นแล้วไม่ใช่ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง

สมมติ เวลานี้เราเห็นลมหรือเปล่า ถ้าเราไม่เห็นธงสบัดเราก็จะมองไม่เห็นลมใช่มั้ย ถ้าลมไม่มาสัมผัสเรา เราก็ไม่รู้ว่ามีลมใช่มั้ย ทำไมสิ่งที่มาสัมผัสเราเรียกว่า "ลม"

ลมนี้ ภาษาฝรั่งเรียกว่า ไวด์ (Wind) เขาก็เถียงกันหัวปักหัวปำ แต่ที่จริงก็คืออันเดียวกัน เป็นพลัง พญานาคเป็นพลัง ใครจะยิดตรงไหนก็ว่ากันไป แต่ที่จริงแล้ว พญานาคเป็นพลังในธรรม พลังแห่งความเจริญ การดูแลน้ำ ให้น้ำ ปกป้องน้ำ

พญานาคที่เราเห็นมีหงอน แต่ถ้าเราไปที่ประเทศอินเดียเราหาพญานาคแบบมีหงอนไม่เจอ มีแต่งู นาคของอินเดียก็คืองูเห่า

ทำไมพญานาคถึงต้องมีหงอน แนวคิดนี้จะอยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนที่อยู่แถบแม่น้ำโขงนี้นับถือพญานาคแบบมีหงอนหมด

ถ้าเราหลับตาแล้วเอารูปพญานาคมาดู เดี๋ยวเราก็เห็นพญานาคโผล่ไปโผล่มา เพราะว่าสายน้ำทำให้เราคิด เป็นจินตะ แต่ถามว่าในสายน้ำมีพญานาคมั้ย ตอบว่า "มี" คือมีพลังของการขับเคลื่อนตรงนั้น ถ้าไม่มีพลังขับเคลื่อนน้ำจะใหลหรือไม่ ก็ไม่ใหล

ถ้าน้ำใหล ทำให้ขับเคลื่อนไหม ก็ไม่ทั้งหมด แต่เป็นเพราะว่า แรงดึงดู แรงสูงต่ำ ทำให้เกิดน้ำใหล น้ำใหลก็ทำให้เกิดพลัง พลังสะสมดันให้น้ำเป็นรูปขึ้นมา พอคนเห็นจะเรียกว่ายังไงดี ก็เรียกว่า "พญานาค" เพราะว่าพลังตรงนี้ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร

ถ้าเราบอกว่า พลังนั้นๆ พลังนั้นๆ เราก็ไม่รู้เรื่อง เราก็ต้องตั้งชื่อ แบบคน คนทั่วไปถึงจะรู้จัก เช่น ชื่อดาว ชื่อนัท ชื่อแพนเค้ก เราก็รู้ทันที ชัดเจน

พญานาคเป็นชื่อคนตั้งขึ้นมา แต่ "พลัง" เป็นของธรรม

ทุกอย่างเป็นธรรมหมด เช่น องค์พ่อพรหมที่อินเดีย เราหาองค์พ่อพรหมอย่างประเทศไทย หาไม่เจอแน่ๆ แขกเขาบอกว่าไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าเป็นพ่อพรหมหนวดยาวๆ นี่รู้ และพ่อพรหมต้องแก่ด้วย

แต่พลังเป็นพลังเดียวกัน ถ้าเราหลงติดรูปลักษณ์แล้ว แล้วไม่เข้าใจถึงพลัง เราก็จะเวียนหัว เถียงกันไม่จบ

พลังพญานาค จะเป็นพลังหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโตขึ้น สังเกตได้จากการสร้างบ้านแปลงเมืองสมัยโบราณกาลจะต้องสร้างอยู่ใกล้กับแม่น้ำ ถึงจะเจริญรุ่งเรืองได้ เช่น อียิปต์ ก็จะตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำไนล์ (Nile)

แม่น้ำไนล์เกิดจากการรวมตัวของแม่น้ำสายใหญ่ ๒ สายคือ แม่น้ำบลูไนล์ (Blue Nile) จากประเทศเอธิโอเปีย และแม่น้ำไวท์ไนล์ (White Nile) จากบริเวณแอฟริกาตะวันออก มารวมตัวกันในประเทศซูดาน จากนั้นไหลผ่านประเทศอียิปต์ และไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ถือว่าแม่น้ำไนล์เป็นพลังพญานาคที่จะทำให้การสร้างประเทศตรงนั้นเจริญรุ่งเรือง เลี้ยงดูให้เจริญรุ่งเรือง

ประเทศจีนก็จะมีแม่น้ำแยงซีเกียง(揚子江) หรือแม่น้ำฉางเจียง(長江)เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในทวีปเอเชีย และเป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับที่ ๓ ของโลก รองจากแม่น้ำไนล์ในทวีปแอฟริกาและแม่น้ำอะเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แม่น้ำแยงซียาว ๖,๓๐๐ กิโลเมตรต้นน้ำอยู่ที่มณฑลชิงไห่และทิเบต ในทิศตะวันตกของสาธารณรัฐประชาชนจีน และไหลมาทางทิศตะวันออก ออกสู่ทะเลจีนตะวันออก

ประเทศไทยก็จะมีแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำโขง เป็นต้น

พญานาคกับพระแม่คงคาเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร?

พระแม่คงคากับพ่อพญานาคมีความแตกกต่างกัน น้ำจะเป็นของพระแม่คงคา ผู้ที่จะบริหารจัดการน้ำนี่เป็นหน้าที่ของพญานาค หรือจะพูดง่ายๆ ว่า พญานาคจะเป็นอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ น้ำบาดาล แต่น้ำเป็นของพระแม่คงคา พระแม่คงคามอบหน้าที่ให้พญานาคมาดูแลน้ำของโลก

พระแม่คงคาก็เสด็จลงมายุ่งเกี่ยวกับน้ำเช่นเดียวกัน เพราะว่าเป็นเจ้าของแห่งน้ำทั้งหมด องค์พ่อพญานาคเป็นผู้ปฏิบัติงาน เหมือนกับพระแม่ธรณี มีพ่อเวสสุวรรณเป็นผู้ปฏิบัติงาน แต่ก็ต้องมีพระแม่ฯ เป็นประธาน ประธานจะบอกว่าฉันไม่เกี่ยวเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นประธานต้องดูแลน้ำทั้งหมด แต่ว่าท่านได้มอบหมายให้พ่อพญานาคดูแลให้แล้ว

สมมติว่าเป็นประธานกรรมการบริษัท ก็ต้องมีผู้จัดการ แต่ละสายก็เป็นผู้จัดการแต่ละสายที่ถูกมอบหมายให้ไปทำหน้าที่ ทั้งไปจัดการ ทั้งหมดนี้ก็ต้องมาที่ประธานให้รับรู้

การกระเพิ่มของสายน้ำ เราถือว่าเป็นเกล็ดของพญนาค แม้ว่าเราไปดูรูปพญานาคก็จะออกมาเหมือนกับสายน้ำเลย แม้แต่มังกรก็เหมือนกัน คล้ายๆ กัน ต้องมีเกล็ด

แต่ถ้าบางคนที่มีภูมิปัญญาไม่ลึก ตื้นๆ ก็จะดูแต่รูปธรรม จะไม่เข้าถึงพลัง ที่เป็นนามธรรม

ถ้าออกจากมิติของพลังแล้วออกมาเป็นรูปธรรม เขาก็จะมองเห็นพลังนี้กลายเป็นรูปพญานาคใช่หรือไม่ ตอบว่าไม่ใช่
ขอเริ่มต้นพญานาคก่อน จะเริ่มต้นจากพลังก่อน ผู้ที่มีภูมิปัญญาสูงเข้าถึงพญานาคก็จะเห็นพญานาค แต่ถ้าให้คนที่มีภูมิปัญญาทางนี้ต่ำจับเป็นพลังก็จะจับไม่ถูก สัมผัสพลังพญานาคไม่ได้ มนุษย์ยังเป็นภูมิต่ำ ยังไม่ได้ ผู้มีที่ภูมิปัญญาสูง ผู้รู้ท่านก็จะเห็นเกิดเป็นนิมิต นิมิตตรงนี้ก็คือจินตะ (จินตนาการ) ให้เห็นก็จะตกแต่งออกมาให้เหมือน เป็นรูปธรรมออกมาให้เขาได้จับ ให้คนทั่วไปได้เข้าถึงพญานาคได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่มีรูปองค์พญานาค คิดแต่เพียงเป็นพลัง คนที่ภูมิต่ำก็จะยังไม่เข้าใจ แม้ทำยังไงก็จะไม่เข้าใจอยู่ดีว่า พญานาคเป็นเช่นใด

สมมติว่า คนพวกหนึ่งมาคลุกคลีกับสิ่งแวดล้อม ณ สถานที่ที่แห่งหนึ่ง เขาก็จะจินตะเป็นพญานาค ทางจีนเขาก็เป็นพลังของมังกร

บางคนเข้าถึงจินตะ บางครั้งก็ฝันเห็นเป็นพญานาคมาหา พญานาคก็มาหาจริงๆ ตามที่จินตะไว้ตามภาพที่จินตะเป็นรูปธรรม

เช่นเหมือนกับเวลานี้ โทรศัพท์มือถือ มีรูปร่างรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดูอย่างนี้เรื่อยๆ เราก็คิดแบบตามนี้ว่า มือถือเป็นเช่นนี้ รูปลักษณ์ยาวๆ สี่เหลี่ยมยาว ต้องคิดแบบตามนี้ จะคิดเหนือข้างในไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ เพราะว่าผู้รู้ได้สร้างรูปแบบมา เช่น โทรศัพท์มือถือเมื่อก่อนเล็กนิดเดียว แต่ปัจจุบันพัฒนาขึ้นมาให้ใหญ่ขึ้น มีลูกเล่นได้เยอะขึ้น เวลาดูมือถือก็จะเก็บไปฝัน ไปคิด เป็นรูปธรรมที่จะเข้าภาพของเรา สมองของเราที่จะเก็บภาพ

และอีกอย่างหนึ่ง มีครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เคยลงไปเมืองบาดาลอย่างนี้ ที่ท่านลงไปเมืองบาดาลเกิดจากการจินตะ หรือว่าจิตของท่านพุ่งเข้าไปในเมืองบาดาลที่จินตะนี้ ตัวท่านไม่ได้ลงไปจริงๆ

ครูบาอาจารย์ระดับนี้ยังอยู่ในภูมิแห่งความเป็นรูปธรรม ยังไม่หลุดออกจากสิ่งที่เป็นรูปธรรม เข้าสู่นามธรรมไม่ได้ อย่าไปคิดว่าเป็นหลวงปู่แล้วจะเข้าไปถึงตรงนั้นได้ ไม่ใช่ เพราะท่านยังอยู่ในโลกแห่งรูปธรรม
แล้วอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ว่าสามเณรเข้าไปในหลุมบ่อพญานาค จะเป็นกี่อย่างก็ได้ก็เหมือนกันหมด เขาก็ยังอยู่ในรูปธรรม ก็แล้วแต่รูปธรรมของสิ่งแวดล้อม คติของเขาที่จะไปปรุงแต่งขึ้นมา เราจะต้องแยกให้ออกอย่าไปหลงกล ถ้าเข้าไปหลงกลแล้วเราจะทะเลาะกันไม่จบ อันนั้นเป็นสิ่งนิมิตปรุงแต่ง แต่ว่าเป็นพลังต่างๆ นี้เป็นในธรรม แต่พลังในธรรมจะดำรงอยู่ แต่รูปธรรมนี้ก็จะแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แปรเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อม ตามเหตุปัจจัย เหตุคติ ฯลฯ

เช่น คติของเอเชีย พญานาคจะต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไปประเทศอินเดียพญานาคไม่ใช่อย่างไทย แต่จะเป็นงูเห่าเฉยๆ แต่ถ้าไปดูประเทศจีนก็จะเป็นมังกร ถ้าไปดูของฝรั่งก็จะมีปีก เขาอยู่ในรูปของนิมิตจินตะ จินตะของรูปธรรม ถ้าเข้าสู่นิมิตจินตะของพลัง พลังจะยังคงมีความลึกตื้นหนาบางไปเรื่อยๆ

บั้งไฟพญานาคเกิดจากอะไร เกิดจากนิมิตจินตะ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ในเว็บไซต์ของผู้จัดการออนไลน์กล่าวว่า
ในจังหวัดหนองคาย มีการเกิดปรากฏการณ์ประหลาดมีลูกไฟสีชมพูพุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง ตั้งแต่ระดับ ๑-๓๐ เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ ๕๐-๑๕๐ เมตร เป็นเวลาประมาณ ๕-๑๐ วินาที ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง ชาวบ้านเรียกว่า บั้งไฟผี หรือ บั้งไฟพญานาค โดยจะเกิดปีละ ๑ ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑

จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของไทยหลายฉบับสรุปว่า บั้งไฟพญานาค คือ ก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน ที่เกิดจากการอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างแบคทีเรียที่ทนต่อออกซิเจนได้ ณ ความลึกของแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำข้างเคียง ๔.๕๕ - ๑๓.๔๐ เมตร ตำแหน่งที่มีสารอินทรีย์พอเหมาะใต้ผิวโคลน หรือทรายท้องแม่น้ำโขง ซึ่งระดับน้ำขนาดนี้จะมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า ๑๕ องศาเซลเซียส (ปริมาณออกซิเจนน้อย)

ทั้งนี้ในวันที่เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค คือวันที่แสงแดดส่องลงมาในช่วงเวลาประมาณ ๑๐,๑๓ และ๑๖ นาฬิกา มีอุณหภูมิมากกว่า ๒๖ องศาเซลเซียสทำให้มีความร้อนมากพอที่จะย่อยสลายอินทรีย์ และจะมีก๊าซมีเทนจากการหมักมากว่า ๓-๔ ชั่วโมง ซึ่งมากที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าชในผิวทรายทำให้ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ

ฟองก๊าซที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำบางส่วนจะฟุ้งกระจายออกไป ส่วนแกนในของก๊าซขนาดเท่าหัวแม่มือจะพุ่งขึ้นสูงกระทบกับออกซิเจน รวมกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงของคืนที่เกิดเหตุการณ์ทำให้เกิดการสันดาปอย่างรวดเร็วจนติดไฟได้ ดังนั้นดวงไฟหลากสีที่เราพบเห็นจะเป็นสีแดงอำพัน (เหลือง)

ทั้งนี้ช่วงเวลาที่เกิดบั้งไฟพญานาคจะเป็นเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม กันยายน และตุลาคม เพราะโลกโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดทำให้รังสีอัลตร้าไวโอเล็ตเพิ่มปริมาณสูงขึ้นและเจาะทะลวงยังพื้นโลกได้มากขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ตั้งอยู่ในแถบแนวเส้นศูนย์สูตรที่สามารถรับแสงอาทิตย์ได้มาก

เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเองในแกนที่เอียงทำมุม ๒๓.๕ องศา กับดวงอาทิตย์ทำให้ซีกโลกในเวลากลางคืนของประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูด ๑๕-๔๕ องศาเหนือและองศาใต้ อยู่ห่างจากแนวแรงรวมของแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ โลก และดวงอาทิตย์ไม่เกิน ๒๕ องศาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนกันยายน,ตุลาคม,เมษายน และพฤษภาคม ทำให้มีปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นในหลายประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว

สิ่งที่พุ่งขึ้นมานี้เป็นพลัง คนที่มีนิมิตจินตะ ก็จะนิมิตจินตะเป็นพญานาคพ่นพุ่งขึ้นมาจากสายน้ำ
ทำไมลูกไฟจะต้องพุ่งขึ้นตรงกับวันออกพรรษา เพราะว่า ในคืนนั้นมีอ็อกซิเจน ก๊าซที่ช่วยให้ติดไฟสูงสุดในรอบปี ซึ่งก็เกิดจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงพลังงานรังสีของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก เป็นวาระของธรรม

จะเห็นได้ว่าเป็นวาระแห่งธรรม บางปีก็พุ่งลูกไฟมาก บางปีก็มีน้อย ไม่ใช่แน่นอนทุกปี บางปีก็ไปโผล่ขึ้นอีกที่หนึ่ง แต่เป็นระหว่างตรงนั้น เหมือนกับพระจันทร์ พอถึงวาระก็เต็มดวง แต่บางวันจันทร์เพ็ญเราเห็นแต่บางจันทร์เพ็ญเราไม่เห็น ต้องขึ้นกับสิ่งแวดล้อมของเมฆ แต่ถ้าถึงวาระพระจันทร์ก็จะสว่างจันทร์เพ็ญเต็มดวง

อย่างเช่นหลวงพ่อท่านไปเห็นสวรรค์เป็นเช่นนี้ แล้วเราจะไปเถียงว่าสวรรค์ของคริสต์หรือเปล่า จะต้องไปเถียงสวรรค์ของอิสลามหรือไม่ คนละเรื่องกัน เถียงกันตายแต่เรื่องก็ยังไม่จบ แม้แต่นรกยมบาลของไทยแต่งชุดสีแดง นุ่งจูงกระเบน แต่ของจีนก็แต่งออกเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่งเป็นกี่เพ้า จะเถียงโต้แย้งกันไม่จบ เราต้องแยกว่านี่เป็นนิมิตจินตะ ยังอยู่ในโลกของรูปธรรม แต่พลังนี้อยู่ในโลกของนามธรรม นามธรรมยังถือว่ามีอย่างนี้ๆ จนในที่สุดไม่ใช่ เป็นพลังแห่งธรรม เราต้องแยกตรงนี้ให้ได้ แล้วเราจะเข้าใจทั้งหมด ทั้งองค์ธรรม แล้วเราจะไม่ขัดแย้งกัน รู้ว่ามาจากไหน

เช่น พญานาคนี้มีหงอน มาจากถิ่นภูมิศาสตร์ยังไง จะต้องมาจากตรงนี้ เป็นรูปธรรมของสิ่งนี้ แต่ในพลังเหมือนกัน

บางคนเห็นสวรรค์ นี่เป็นพลัง บางคนก็เห็นพระอินทร์ขี่ช้างเอราวัณ พระอินทร์ของฝรั่งไม่ได้ขี่ช้าง ของจีนเง็กเซียนฮ่องเต้ ไม่ก็ขี่ข้าง แต่ก็เป็นพลังเดียวกัน แล้วแต่ว่าเป็นนิมิตจินตะ แล้วแต่สิ่งแวดล้อม แล้วแต่ชนชาติของใครเขา เพราะสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน

คนที่มีภูมิปัญญาเข้าถึงพลัง ได้พยายามปริวัฒน์พลังแห่งพญานาคนี้ให้ออกมาเป็นรูปธรรม ของท้องถิ่นของเขา เพื่ิอให้เขาเข้าใจแล้วมีที่จับต้องได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่จับต้องได้ เขาไม่สามารถดำรงความเป็นศรัทธาได้

สมมติว่าเราบอกว่าเป็นพลัง อีกคนหนึ่งเขาไม่รู้ ไม่รู้จะจับต้องอย่างไรในเมื่อของเขา จินตะของเขาอ่อน ถ้ามีรูปภาพ มีรูปปั้น มีองค์ให้เขาจับต้องได้ เขาก็จะเข้าใจง่าย เห็นด้วยตา สัมผัสได้

แล้วทำไมพ่อพญานาคต้องพ่นไฟได้ พ่นน้ำได้ เป็นปริศนาธรรมว่า พญานาคมีทั้งทางด้านลบ (-) และด้านบวก (+) มีธาตุทั้ง ๔ อยู่ในตัว พ่นไฟ เป็นธาตุไฟ พ่นน้ำ เป็นธาตุน้ำ เหาะเหินเดินอากาศได้เป็นธาตุลม เนื้อตัวของท่านเป็นธาตุดิน ยังไงธาตุทั้ง ๔ ก็อยู่ตัวองค์พญานาค
แต่ละพลังหนีไม่พ้นว่าธาตุทั้ง ๔ อยู่ในนั้น เพียงแต่ธาตุไหนจะเป็นประธาน บางกรณีธาตุไฟเป็นประธาน บางกรณีไปถึงตรงนั้นจะให้น้ำเป็นหล่อเลี้ยงก็ให้ธาตุน้ำเป็นประธาน

ถ้าหากว่ามีสิ่งเกินเลย ก็จะถล่มทลาย เช่น น้ำมีมากใหลมากลายเป็นน้ำป่าใหลหลาก กลายเป็นน้ำท่วม คนก็จะต้องเดือดร้อน คนเขาก็จะระลึกว่าตนเองได้ทำสิ่งใดผิดแน่ๆ พญานาคลงโทษ ก็จะกลายเป็นคำเตือน เป็นอุทธาหรณ์สิ่งต่างๆ ของธรรม อะไรมันเกินก็จะเป็นโทษ เช่น ทำร้ายธรรมชาติตรงนี้เกินไป น้ำก็จะท่วม เป็นอุทธาหรณ์วาระของธรรม

ที่นี่ทางผู้รู้ก็จะจัดสรรออกมาเป็นรูปธรรมให้เป็นกฎกติกา ให้คนยึดถือไว้ ก็จะสมดุล
ถ้าน้ำแห้งแล้ง แสดงว่าเราจะต้องทำอะไรผิด ถูกพญานาคไม่ได้ให้น้ำเรา เราก็จะต้องมาสำนึกผิดว่า สิ่งไหนเราผิดเราก็จะมาขอโทษ มีการไหว้ บนบานศาลกล่าวอะไรต่างๆ

ในประวัติศาสตร์ไทยหรือจีน น้ำแห้งแล้งเกินไปหรือน้ำท่วมเกินไป จักรพรรดิ กษัตริย์ ราชาผู้ปกครองก็จะมีการไปบวงสรวงบอกกล่าวฟ้าดิน แสดงว่ามีอะไรผิดแล้ว เพราะว่าถือว่ากษัตริย์เป็นผู้น้ำ เหมือนกับเป็นพ่อของเรา แต่เป็นลูกของฟ้า

การบวงสรวงแล้วจะให้ฝนตกนี้ได้หรือไม่ ตอบว่า ได้ เพราะว่า คิดง่ายๆ สิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดแคลนสิ่งใด ขาดแคลนพลังอะไร ก็จะเกิดเหตุ เกิดผลเช่นนั้น การบวงสรวงเป็นการไปเติมส่วนที่ขาดบกพร่องนั้นให้เต็มขึ้นมา
สิ่งเหล่านี้เป็นรูปธรรม แต่สิ่งที่เข้าไปนี่เป็นตัวจิต เป็นตัวพลัง ตัวนามธรรม พอนามธรรมถูกสมดุลแล้ว รูปธรรมก็สมดุลตาม เพราะว่าเป็นของคู่กัน เราอย่าลืมว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว

เราจะสังเกตได้จากบางคน ถ้าจิตเขารู้สึกอิ่ม เต็ม ใบหน้าเขาก็จะเอิบอิ่ม เต็มเปี่ยม ใบหน้าบางคนเศร้าหมอง ก็เพราะในจิตใจเขาเศร้าหมองตลอด นี่แหละจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว

การบวงสรวงเป็นการเติมเต็มทางจิตวิญญาณ คือทางจิต เพราะถ้าข้างในตัวพลังเติม เต็มถูกต้อง ข้างนอกก็จะถูกต้อง

ยกตัวอย่าง บางคนเวลานี้เขาละเลยไม่นับถือ นับถือจิตอีกข้างหนึ่ง บกพร่องใช่มั้ย พอมาบวงสรวงทุกคนกลับมานับถือ จิตตัวศรัทธาตรงนี้ก็จะเต็มขึ้นมา ข้างในก็จะเกิดความสมดุล ความสมดุลก็จะส่งผลให้เป็นรูปธรรมตามนั้น สิ่งเหล่านี้อธิบายได้ เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ลึก แต่ต้องเป็นคนมีภูมิปัญญาถึงจึงจะอธิบายให้เข้าใจได้ เพราะถ้าไม่สูง เข้าไปสู่พลังข้างในเขาจะจับต้องไม่ได้ จิตเขาไม่ละเอียดพอ ความชำนาญของจิตไม่พอ เขาก็จับต้องไม่ได้ มองไม่ออก เข้าไม่ถึง ไม่เข้าใจ แต่จริงๆ สัมพันธ์กันหมด

ทำไมเราต้องไหว้องค์เทพเทวดาบ่อยๆ

แล้วทำไมเราต้องไหว้องค์เทพ เทวดาบ่อยๆ ก็เพราะว่าจะเป็นการเตือนใจเรา สมมติว่าเวลานี้ภูมิปัญญาของเรายังไม่แข็งแรงที่จะดำรงรักษา เราจะต้องไหว้บ่อยๆ เพื่อเป็นการเตือนเรา เป็นการให้ อุทธาหรณ์แก่เรา เป็นการให้สิ่งที่บ่มเพาะ เพราะว่าเรายังอ่อนต้องบ่มเพาะ

ทำไมอาจารย์ที่เข้าถึงธรรมแล้ว ต้องไหว้ฟ้าดิน ถ้าเราไหว้ฟ้าดินเป็นการไหว้ที่เข้าถึงธรรม ธรรมย่อมที่จะแผ่ได้ทั้งหมด พวกที่มีภูมิปัญญาสูงแล้ว เข้าถึงแล้วเขาก็จะไหว้ที่เข้าถึงแล้ว ที่ข้างล่างก็ไม่จำเป็น แต่ต้องนำพาผู้ที่เข้ายังไม่ถึงธรรม ยังไม่รู้ ได้กราบไหว้ เหมือนกับบันได เราสามารถวิ่งขึ้นลงได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องไปจับราวบันได เหมือนกับหลวงพ่อท่านหนึ่งท่านวิ่งขึ้นบันไดได้โดยไม่ต้องถือราวบันได แต่ลูกศิษย์ของท่านวิ่งขึ้นบันไดไม่ได้ถ้าไม่ได้จับราว ลูกศิษย์ก็ต้องจับราวบันไดขึ้นไป จะให้ทุกคนเหมือนกับอาจารย์ไม่ได้ เพราะว่าอาจารย์ท่านแข็งแรง ชำนาญการแล้ว แต่เรายังเดินขึ้นบันไดยังไม่ชำนาญการเพียงพอ เราก็ต้องจับราวบันได ฉะนั้น เราก็จับราวบันไดไปก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน เมื่อถึงเวลาเราก็ปล่อยราวบันไดแล้วก็เดินก้าวขึ้นไปบันไดไปอย่างสบาย

แล้วที่เป็นพญานาคตามที่ผู้คนต่างๆ นิมิตจินตะออกมาว่า มีพญานาคสายต่างๆ ก็จะมีการแบ่งเพื่อให้เป็ฯกลุ่ม เหมือนกับดอกบัวสี่เหล่า ก็ต้องมีกลุ่ม พระพุทธเจ้าทำไมต้องมาอธิบายดอกบัวสี่เหล่า เพราะว่าจัดให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ให้เข้าได้ศรัทธาแน่นแฟ้นมากขึ้น ให้เกิดมามีครอบครัวขึ้นมา เหมือนกับการเอาพญานาคมาเปรียบเทียบกับคน คนต้องมีครอบครัว พอมีครอบครัวก็จะรู้สึกแน่นแฟ้น หลากหลาย บางคนไม่ชอบพญานาคสีเขียว ชอบพญานาคสีขาวก็กราบไหว้ได้ บางคนชอบพญานาคสีเขียวก็เอาสีเขียว เดี๋ยวนี้พญานาคมีเป็นองค์สีดำด้วย ก็แล้วแต่ใครชอบ ไปปั้นตกแต่งขึ้นมา

อย่างเช่น สายพญานาคที่ทั่วไปแบ่งกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น

พญานาคแบ่งออกเป็น ๔ ตระกูลใหญ่ คือ

๑. ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง
๒. ตระกูลเอราปถะ พญานาคตระกูลสีเขียว
๓. ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง
๔. ตระกูลกัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ


พญานาคแบ่งประเภทตามการเกิดได้ทั้ง ๔ แบบ ดังนี้
๑. แบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที
๒. แบบสังเสทชะ เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม
๓. แบบชลาพุชะ เกิดจากครรภ์
๔. แบบอัณฑชะ เกิดจากฟองไข่

พญานาคแบ่งประเภทตามหน้าที่ ๔ จำพวกใหญ่ๆ ดังนี้
๑. นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝนนาคสวรรค์
๒. นาคโลกบาดาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำคลอง
๓. นาคปู่โสม มีหน้าที่รักษาขุมทรัพย์
๔. นาคเทวา มีหน้าที่เฝ้าวิมานเทพ และเทวดา

จำแนกตามวังของพญานาคต่างๆ มีกษัตริย์ปกครอง ๙ พระองค์ ดังนี้
๑. พญาอนันตนาคราช
๒. พญามุจลินท์นาคราช
๓. พญาภุชงค์นาคราช
๔. พญาศรีสุทโธนาคราช
๕. พญาศรีสัตตนาคราช
๖. พญาเพชรภัทรนาคราช หรือพญาเกล็ดแก้วนาคราช
๗. พญานาคดำแสนศิริจันทรานาคราช
๘. พญายัสมันนาคราช
๙. พญาครรตะศรีเทวานาคราช

บางคนเป็นร่างทรงพญานาคสิ่งเหล่านี้ก็มี ต้องบอกว่าทรงในไหน ทรงในนิมิตจินตะ ในเมื่อร่างทรงเขามีนิมิตจินตะเป็นเช่นนี้เขาก็ทรงในภูมิตรงนี้ เป็นรูปธรรมตรงนี้ เขาเรียกว่า ภาวะภูมิ จริงๆ แล้วภาวะภูมิตรงนี้เป็นสิ่งสมมติทั้งหมดเลย ถ้าเราเข้าใจถึงข้างบน เข้าใจถึงในธรรม เราจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นอนิจจัง แต่เป็นภูมิ ณ เวลานี้ ปัจจุบันนี้เขาต้องอาศัยอยู่ตรงนี้ เขาก็จะเอาศัยนิมิตจินตะอันนี้เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยว เป็นสรณะของเขา

สมมติว่าสายนี้เขามาจินตะตรงนี้เป็นพญานาคไทย แต่อีกสายร่างทรงหนึ่งเขาไปทรงเป็นมังกรบินได้ ถ้าร่างทรงจินตะทางคริสต์ก็จะเป็นมังกรบินมีปีก เราจะต้องเข้าใจคำว่า "นิมิตจินตะ"

"จินตะ" แปลว่า จินตนาการ

"นิมิต" แปลว่า เห็นแล้วน่าจะเหมือน

สมมติว่าเราเห็นตรงนี้ เป็นแท่งยาวๆ แล้วเรานิมิตว่าเป็นกระบอง น่าจะเหมือนเป็นกระบอง เขาก็จะจินตะต่อเลยว่า กระบองนี้ทำอะไรๆ จะแต่งสีสรรยังไง จะเป็นสายอยู่ทางรูปธรรม ทางนามธรรมก็มีจินตะเหมือนกัน มีเป็นขั้นๆ ไปจนถึงที่สุด

อันนี้ก็เหมือนกันเป็นรูปธรรม ก็จะเป็นขั้นๆ ไปจนถึงสูงสุดได้

สมมติว่าเวลานี้เราจินตะ พ่อพรหมเอราวัณ ถ้าเราไปประเทศอินเดียก็ไม่มีเช่นนี้ ถามว่าพ่อพรหมจะแต่งเครื่องทรงอย่างไทยนี้หรือไม่ ไม่ใช่เลย แต่ถ้าในพลังก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง

เราต้องแยกระหว่างโลกุตตระกับโลกิยะ ในรูปธรรมอย่างนี้ยังอยู่ในภูมิที่เป็นโลกิยะ โลกุตตระเรื่องก็จะเป็นไปทางนามธรรมแล้ว แล้วก็จะไต่เต้าเป็นขั้นๆ ขึ้นไป เข้าไปถึงขั้นสูงก็จะเป็นโลกุตตระ

ถ้ายังไม่ขึ้นสูงก็จะต้องไต่เต้าจากนามในโลกิยะขึ้นไป รูปธรรมก็เหมือนกัน รูปธรรมจากนามโลกิยะขึ้นไป จนในที่สุดเป็นโลกิยะ เข้าสู่โลกุตตระแล้วก็เข้าสู่ธรรม

ใหม่ๆ เราก็จะต้องรู้จากรูปก่อน แล้วค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นไปสู่ธรรม โลกุตตระได้ เหมือนกับการขึ้นบันไดเราก็จะต้องขึ้นขั้นที่หนึ่งก่อน เราไต่เต้าขึ้นไปก็ต้องมีราวบันไดให้จับ พอเราจับราวแข็งแรงแล้ว ชำนาญการได้แล้ว เราก็ปล่อยราว แล้วเราก็เดินขึ้นไป แต่ถ้าเราไม่ปล่อยราวบันได ก็ติดราว เราก็จะอยู่ตรงนั้น เขาเรียกว่าติดศาลา

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า ตอนนี้เราสมควรที่จะปล่อยราวบันได ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ เข้าใจเรื่องต่างๆ คำว่า "ภูมิปัญญาความรู้" พอเรามีภูมิความรู้ ก็เปรียบเสมือนว่า เราถือเทียนไว้ ตราบได้ถ้าเราจุดเทียนนี้ให้แสงสว่าง เราก็ย่อมที่จะเห็น แต่จะสว่างได้แค่ไหนนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเทียน ๑ เล่มก็เห็นได้เห็นแสงสว่างแค่นี้ แต่ถ้าเรามี ๕ แรงเทียนความสว่างก็จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตราบใดถ้าเราจุดไฟสว่าง สว่างปั้บความมืดก็จะหายไปเป็นอัตโนมัติ ตราบใดแสงสว่างจบ ความมืดก็จะเข้ามาแทนที่ โดยอัตโนมัติในธรรม

ที่นี่ เราเข้าใจอย่างนี้แล้วเราฝึกบ่อยๆ ถ้าใครมาถามอะไรเราก็จะสามารถตอบได้หมด อธิบายอย่างมีเหตุผล ร่างทรงเขาทรงอย่างไร เราก็รู้ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เราก็สามารถอธิบายได้ แล้วภูมิอย่างนี้แล้วมีอย่างนี้ก็เป็นเรื่องปกติ เราก็ต้องให้เขาอยู่ตรงนี้ แต่เราก็ต้องบอกว่าเขา ถ้าจะขึ้นไปก็ต้องปล่อยราวบันไดนะ ถ้ายึดราวไว้ก็ขึ้นไม่ได้ นี่จึงเป็นหน้าที่ของคุรุ ครูบาอาจารย์ แต่ก็ต้องเริ่มจากข้างล่างก่อนทั้งนั้น

นิมิตจินตะรูปธรรม เราต้องแบ่งสายให้ถูก ถ้าเราแยกถูกเราก็จะสามารถอธิบายได้

โลกุตตรธรรมที่เป็นรูปธรรมนี้เป็นเช่นใด คือ ถ้าเราเข้าใจรูปธรรมตรงนี้ เราสามารถรู้รูปธรรมจากนี้มาจากไหน เปลี่ยนจากนั้นเข้ามาสู่ภาวะแห่งโลกุตตรนามธรรมได้ยังไง

ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็เชื่อมไม่ติด ไม่รู้ว่าจะเชื่อมจากไหน

ยกตัวอย่างโลกุตตรรูปธรรมเชื่อมโยงโลกุตตรนามธรรม เช่น พ่อพรหม เป็นรูปธรรมๆๆๆ ไปแล้วจะรู้ว่ารูปธรรมข้างในเป็นพลังของพ่อพรหมคืออะไร มาจากไหน เชื่อมโยงได้ ก็จะหลุดออกจากรูปธรรม รูปธรรมไม่มีหนวดก็ได้ ไม่มีสี่หน้าก็ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะเถียงกันตาย เป็นพ่อพรหมไม่ได้ พ่อพรหมต้องมี ๔ หน้า ๘ มือ เถียงกันตาย อันนั้นก็ไม่ใช่พ่อพรหม พ่อพรหมต้องมี ๔ หน้า ๔ มือ เถียงกันไม่รู้จักจบ เพราะว่ารูปธรรมไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราเข้าสู่ภาวะตรงนี้ พอเข้าสู่รูปธรรมของโลกุตตระนามธรรม จะ ๘ หน้า หรือ ๔ หน้าก็ได้ ใบหน้าพ่อพรหมมีหนวดก็ได้ หรือไม่มีหนวดก็ได้ จะหลุดออกจากรูปธรรม ถ้าไม่อย่างนี้ก็จะติดกับรูปธรรม มีแนวคิดว่าพ่อศิวะต้องนุ่งหนังเสือ แต่พอไปเจอพ่อศิวะไม่ได้นุ่งหนังเสือก็บอกว่าไม่ใช่พ่อศิวะแล้ว อย่างนี้ไม่ใช่

ถ้าเป็นโลกิยะนามธรรม ต้องเข้าใจจากเบื้องล่างก่อน เช่น สวดมนต์แล้วต้องได้อะไร ไม่มีรูปธรรม แต่สวดแล้วจะได้อะไร สวดมนต์ตรงนี้ต้องสวดบ่อยๆ สวดร้อยจบ สวดแล้วมีสมาธิ แล้วค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นไป

อย่างกับรูปองค์พ่อพรหม ถ้าไม่เหมือนกับที่โบราณวาดไว้แล้วจะเป็นอย่างไร แล้วจะมีพลังมั้ย ก็เนื่องจากโบราณกาลจะต้องมีคัมภีร์ที่แสดงองค์พ่อพรหมมา ถ้าเราไปขัดแย้งก็จะทำให้คนรับรู้ยาก พลังเข้ายาก ยกตัวอย่าง โดเรมอนจะต้องเป็นแมว แต่ถ้าโดเรมอนเป็นเสือ คนทั่วไปก็ไม่รู้จะคิดยังไง ถูกต้องตามโดเรมอนที่เคยเห็นมาหรือเปล่า เราต้องไปดูว่าเขาสืบอะไรมา มีวัฒนธรรมอยู่ มีรูปแบบอยู่ มีพฤติกรรมอยู่ มีจริตอยู่ มีอุทธาหรณ์อยู่ก็จะเชื่อมง่าย แต่ถ้าไม่มีก็เชื่อมยาก

เหมือนกับรหัสเบอร์โทรศัพท์ ถ้าเบอร์โทรผิดหรือตกหล่นไปหนึ่งตัวก็โทรหาคู่ของเราไม่ติด

ทำไมพญานาคกับพญาครุฑถึงไม่ถูกกัน เป็นจินตะเป็นรูปธรรม เพื่อเปรียบเทียบตัวอย่างให้เห็น เพราะในธรรมชาติเค้าเป็นอย่างนี้ นกจะกินงู แล้วเราก็จะมาจินตะให้เห็นว่าพลัง ๒ อย่างนี้จะถ่วงดุลกัน ถ้าไม่มีการถ่วงดุล ตัวใดตัวหนึ่งก็จะเกินไปโดยธรรม ในธรรมไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นหนึ่งเดียวต้องมีตัวถ่วงดุล ขนาดตรงนี้มีพิษยังต้องมีสิ่งที่แก้พิษไว้ เพียงแต่ว่าเรารู้หรือเปล่า เพราะว่าเป็นสัจจะโลกิยะของธรรม เพราะมีเดี่ยวไม่ได้ ถ้าเดี่ยวจะเกิดเป็นอันตราย

พญานาคเป็นพลังให้ก่อเกิดเจริญงอกงาม อย่างเช่น ต้นไม้เหี่ยวๆ รดน้ำทำไมต้นไม้สดชื่นได้ ต้นไม้กินน้ำไปก็เบิกบานได้ ต้นไม้กินน้ำข้างในน้ำก็จะมีธาตุสารอาหารของเค้า เช่น สารอาหารที่จำเป็นสำหรับพืช สามารถแบ่งตามปริมาณที่ปรากฏในเนื้อเยื่อพืช จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้ดังนี้

๑. ธาตุอาหารหลัก (primary macronutrients) ได้แก่ ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P), และ โพแตสเซียม (K)

๒. ธาตุอาหารรอง (secondary macronutrients) ได้แก่ แคลเซียม (Ca),แมกนีเซียม (Mg), และ ซัลเฟอร์(กำมะถัน) (S)

๓. ธาตุรอาหารเสริม (micronutrients) ได้แก่ แมงกานีส (Mn),คอปเปอร์ (ทองแดง) (Cu), คลอรีน (Cl), เฟอรัส (เหล็ก) (Fe), โบรอน (B), ซิงค์ (สังกะสี) (Zn), โมลิบดินัม (Mo)

เหมือนกับเราหายใจ ทำไมเราปิดจมูก ปิดลมหายใจ ไม่หายใจเข้าออกเราก็จะต้องตาย ถ้าเราหายใจเอาลมเข้าไปแล้วทำให้เรามีชีวิตอยู่ เพราะว่าในลมหายใจที่เราหายใจเข้ามาจะมีอะไรหลายๆ อย่างอยู่ในลมหายใจนั้น เช่น ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ ได้อธิบายว่า


องค์ประกอบหลักของอากาศ

๑. ไนโตรเจน (N2) เกิดขึ้นจากการสลายตัวของแร่ธาตุในเปลือกโลก เช่น โปแตสเซียมไนเตรท โซเดียมไนเตรท และเกลือแอมโมเนีย แก๊สไนโตรเจนมีสมบัติไม่ทำปฏิกิริยาเคมีกับสารอื่น แต่เมื่ออะตอมเดี่ยวของมันแยกออกมาจะรวมเข้าเป็นองค์ประกอบของสารอื่น เช่น สารไนเตรท มีบทบาทสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต

๒. ออกซิเจน (O2) เป็นผลผลิตจากการสังเคราะห์แสงของพืช แพลงตอนพืช และสาหร่ายสีเขียว เป็นแก๊สที่ว่องไวในการทำปฏิกิริยากับสารอื่น และช่วยให้ไฟติด ถ้าปริมาณของออกซิเจนในอากาศมีมากกว่า ๓๕% โลกทั้งดวงจะลุกไหม้ติดไฟ ดังนั้นธรรมชาติจึงวิวัฒนาการสัตว์กินพืชขึ้นมา เพื่อควบคุมปริมาณของแก๊สออกซิเจนในบรรยากาศ

๓. อาร์กอน (Ar) เป็นแก๊สเฉื่อยไม่ทำปฏิกิริยากับธาตุอื่น เกิดขึ้นจากการสลายตัว (ซากกัมมันตภาพรังสี) ของธาตุโปแตสเซียมภายในโลก

๔. คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นแก๊สที่มีอยู่ในบรรรยากาศแต่ดั้งเดิม น้ำฝนและพืชตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ลงมาบนพื้นดิน ทำให้ปัจจุบันมีปริมาณอยู่ในบรรยากาศเพียง ๐.๐๓๖% แต่ก็มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเนื่องจาก เป็นแหล่งอาหารของพืชและห่วงลูกโซ่อาหาร และทำให้โลกอบอุ่น

องค์ประกอบผันแปรของอากาศ

นอกจากแก๊สต่างๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักมีปริมาณคงที่แล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ซึ่งมีปริมาณผันแปร ขึ้นอยู่กับสถานที่และเวลา องค์ประกอบผันแปรนี้แม้ว่าจะมีจำนวนอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศและภูมิอากาศเป็นอันมาก

๑. ไอน้ำ (H2O) มีปริมาณ ๐ – ๔% ในบรรยากาศขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและสถานที่ ไอน้ำคือน้ำในสถานะแก๊ส เมื่อน้ำเปลี่ยนจากสถานะหนึ่งไปสู่อีกสถานะหนึ่ง เช่น ของแข็ง ของเหลว แก๊ส จะเกิดการดูดกลืนและคายความร้อนแฝง (Latent heat) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ทำให้เกิดพายุ ไอน้ำเป็นแก๊สเรือนกระจกเช่นเดียวกับคาร์บอนไดออกไซด์ จึงมีสมบัติในการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดที่แผ่ออกจากโลก นอกจากนั้นเมื่อไอน้ำกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ หรือ เมฆ จะมีความสามารถในการสะท้อนแสงอาทิตย์และแผ่รังสีอินฟราเรด ทำให้พื้นผิวโลกไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป

๒. โอโซน (O3) เกิดจากการ

ทำไมพระแม่คงคาใหญ่กว่าพ่อพญานาค

พระแม่คงคาเป็นน้ำ ส่วนองค์พ่อพญานาคให้น้ำ เป็นพลังให้การก่อเกิดให้มีน้ำขึ้นมา มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน แล้วทำไมพระแม่คงคาถึงใหญ่กว่าองค์พ่อพญานาค

พญานาคเป็นธรรมชาติผู้ดูแลน้ำ ให้น้ำ ปกป้องน้ำ ส่งน้ำเลี้ยงดูชาวโลก

ส่วนพระแม่คงคาดูแลน้ำสวรรค์ พระแม่คงคานำน้ำสวรรค์ลงมายังโลก พระแม่คงคาจึงยิ่งใหญ่กว่า เพราะพระแม่คงคาเป็นน้ำแห่งสวรรค์ลงมาในโลก พญานาคจึงสามารถให้น้ำได้ ทำให้มนุษย์มีน้ำกินน้ำใช้ ถ้าไม่มีพระแม่คงคา พญานาคก็ไม่สามารถเอาน้ำที่ไหนมาให้ได้

พญานาค

พญานาคเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ ให้น้ำ อันนี้เป็นคติทางฮินดู แต่ถ้าทางไทยเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา บวชนาค นาคบวชไมได้ แต่ซึ้งอยากบวช จึงขอพระพุทธเจ้าไว้ว่าถ้าจะบวชพระขอให้บวชเป็นนาคก่อน ส่วนฤทธิ์ของท่านเป็นไฟ เพราะว่าพิษของท่านเปรียบเสมือนไฟ ทางจีนท่านจะนับถือมังกร มังกรท่านจะมีหน้าที่ให้น้ำ ให้ฝนตก มังกรของจีนถือว่าเป็นธาตุทั้ง ๔ รวมกันอยู่ในร่างของมังกร
เวลาเราไหว้พญานาค ให้ระลึกถึงความร่มเย็น ความอุดมสมบูรณ์

๑. ภูมิธรรม สายอิม ปกป้อง ดูแลน้ำ

๒. ทิพยพลัง พลังแห่งการดูแล ป้องกัน

๓. การบูชา
๓.๑ พิธีกรรม การปฏิบัติ คือ ถวายผลไม้, ไข่ไก่
๓.๒ จิตวิญญาณ คือ เมตตา กรุณา   




 7,212 

  ความคิดเห็น


RELATED STORIES



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย